กลุ่มยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค เตรียมเปิดศึกตลาดรองรับอาฟตามีผลใช้ ช่วยลดภาษีสินค้านำเข้าหลายประเภทเหลือ
0-5 % "พีแอนด์จี" สบช่องเล็งทำตลาดผงซักฟอกและสบู่ถล่มบรีสและลักส์ของค่ายยูนิลีเวอร์
ด้าน "ธนิต"เชื่อรัฐบาลไทยเร่งแก้ภาษีสุราซ้ำซ้อนให้เหล้าไทย แข่งขันได้
ชี้อาฟตาทำให้เหล้าต่างประเทศโจมตีตลาดไทยหนัก ขณะที่ส่งออกไทยไม่ได้รับการยอม
รับ ส่วนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าป่วนหนัก ญี่ปุ่น-เกาหลี-ไทย เจอสงครามราคา
ความเคลื่อนไหวหลังอาฟตาจะมีผลบังคับใช้ในปี 2548 ส่งผลให้บรรดาบริษัทเจ้าของสินค้าต่างๆ
โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติเริ่มวางแผนที่จะนำสินค้าเข้ามาตีตลาดในประเทศไทย โดยอาศัยผลประโยชน์
จากการที่อัตราภาษีลดลง จะทำให้สามารถนำสินค้าเข้ามาตีตลาดได้แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบกับสินค้า
ของคนไทยรวมไปถึงสินค้าของต่างประเทศที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว
พีแอนด์จีส่งสินค้าโต้ยูนิลีเวอร์
สำหรับตลาดอุปโภคบริโภค ค่ายพีแอนด์จีมีสินค้าคอนซูเมอร์สำคัญอีก 3 กลุ่มที่ยังไม่ได้ทำตลาดในไทยอย่างจริงจังเพราะไม่มีโรงงานผลิตในประเทศ
คือ ผงซักฟอก สบู่เพื่อความงาม และยาสีฟัน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าภายใต้ข้อตกลงร่วมของประเทศกลุ่ม
สมาชิกอาเซียนทั้ง 6 ที่เร่งรัดให้ลดภาษีการนำเข้าให้เหลือ 0% จะเปิดทางให้พีแอนด์จีมีโอกาส
บุกตลาดอุปโภคบริโภคในไทยมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ผลิตภัณฑ์สำคัญคือ ผงซักฟอก และสบู่ ที่มีแนวโน้มอย่างมากว่าพีแอนด์จีจะนำเข้ามาทำตลาดในไทย
เพราะเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ความต้องการของตลาดมีแน่นอน ซึ่งปัจจุบันพีแอนด์จีมีโรงงานผงซักฟอกในฟิลิปปินส์ และมีโรงงานผลิตสบู่ในมาเลเซีย ที่สามารถใช้เป็นฐานการผลิตและนำเข้ามาเมืองไทยได้
ทั้งนี้ หากภาษีนำเข้าลดลงเหลือ 0% จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าของสินค้าทั้งสองประเทศต่ำเทียบเท่ากับผลิตในประเทศ
โดยปัจจุบันพีแอนด์จีมีผงซักฟอกไทด์และสบู่หอมคาเมย์ ซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผู้นำตลาดในหลายประเทศมาแล้ว
ที่สำคัญพีแอนด์จีเคยทดลองตลาดผงซักฟอกชนิดน้ำด้วยการนำเข้าไทด์ และไอโวรี่ เข้ามาจำหน่ายในไทยในช่วงหนึ่งด้วย
แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเหตุผลสำคัญมาจากนำเข้ามาจากต่างประเทศจึงต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงราคาขายในไทยจึงสูงกว่าแบรนด์ที่ผลิตในเมืองไทยถึงสองเท่า
และแบรนด์ยังใหม่คนไทยยังไม่รู้จัก
เหล้าไทยเตรียมตัวเจ็บ
นายธนิต ธรรมสุคติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ กลุ่มบริษัท แสงโสม จำกัด เปิดเผย
"ผู้จัดการรายวัน" ว่าจากการที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีเหล้าและการลดหย่อนภาษีสุรา
เพื่อการแก้ไขปัญหาภาษีสุราซ้ำซ้อน จากเดิมผู้ประกอบการไทยจะเสียภาษีถึง 2 ต่อ
คือ การเสียภาษีนำเข้าหัวเชื้อจากต่างประเทศ และการเสียภาษีระหว่างการทำในโรงงานอุตสาหกรรม
ทำให้เหล้าไทยเสียภาษีมากกว่า 5%
ขณะที่เหล้าต่างประเทศที่ใช้ฐานการผลิตในประเทศอาเซียนตามข้อกำหนดที่ว่าจะต้องมีสัดส่วนวัตถุดิบ
หรือปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการผลิตในประเทศอาเซียนไม่ต่ำกว่า 40% จะได้รับการลดอากรศุลกากรจากอัตราปกติ
60% เหลือเพียง 5% ทำให้กลุ่มสุราที่ผลิตนอกกลุ่มประเทศอาเซียนสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวเพื่อใช้ฐานเป็นสินค้าที่ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว
การปรับลดภาษีเหล้าไทยในครั้งนี้ เชื่อว่ารัฐบาลไทยได้เตรียมตั้งรับกับข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรืออาฟตา
เพื่อแก้ไขให้เหล้าไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การเปิดเขตเสรีทางการค้าอาฟตา
ก็ยังส่งผลเสียสำหรับผู้ประกอบการเหล้าไทย คือ ทำให้คู่แข่งในการทำตลาดมีมากขึ้น
บริษัทเหล้าจากต่างประเทศจะมุ่งทำตลาดโดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากคนภายในประเทศมีพฤติกรรมการดื่มเหล้ามากกว่าประเทศในแถบอาเซียน
ขณะที่การทำตลาดเหล้าไทยในต่างประเทศของผู้ประกอบการนั้น ก็ยังคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากแบรนด์ไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ
จีนคู่ชกที่น่ากลัวในไทย
นายอนันต์ บรรเจิดธรรม ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาดและการขาย บริษัท กันยงวัฒนา
จำกัด เปิดเผยว่า หากไทยเปิดเขตการค้าเสรีอาฟตากับจีน เชื่อว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนจะเข้า
มาตีตลาดไทยอย่างหนักมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ราคาเข้ามาทำตลาด ซึ่งจะทำให้การแข่งขันตลาด
เครื่องใช้ไฟฟ้ามีความรุนแรงมากขึ้น ขณะแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก คือ แบรนด์
จากญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงผู้ประกอบการไทยด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแบรนด์ต่างๆเร่งปรับกลยุทธ์
การทำตลาดโดยหันมาเน้นนวัตกรรมของเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น
สำหรับกรณีที่เครื่องใช้ไฟฟ้าเนชั่นแนล ขณะนี้กำลังวางแผนที่จะปรับภาพลักษณ์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนภายใต้แบรนด์พานาโซนิคทั้งหมด
ทั้งนี้เชื่อว่าเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากการที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจีนเข้าโจมตีอย่างหนัก
โดยการปรับภาพลักษณ์ใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อต้องการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้ามากขึ้น
เนื่องจากภาพลักษณ์ของแบรนด์เนชั่นแนลเก่า ขณะที่พานาโซนิคจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยมากกว่า
ตลาดของเล่นไทยป่วน
นางดวงใจ คูห์ศรีวินิจ อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการธุรกิจของเล่นไทยจะต้องปรับตัว
เพื่อรองรับสถานการณ์การแข่งขันทางตลาด เนื่องจากของเล่นจากประเทศจีนจะเข้ามาตีตลาด
ไทยโดยใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญ และจากการสำรวจพบว่า ของเล่นจีนวางจำหน่ายตามท้องตลาดถูกกว่าของเล่นไทยโดยเฉลี่ย
20-50% และไม่เพียงจีนจะตีตลาดในไทยเท่านั้นทางด้านการส่งออกก็ใช้กลยุทธ์ราคาเช่นกัน
โดยด้านการส่งออกราคาของเล่นจากจีนถูกกว่าโดยเฉลี่ย 20-30% ของการส่งออกของเล่นไทย
ทั้งนี้ สาเหตุที่ประเทศจีนเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากจีนเริ่มมีการเปิดเขตเสรีทางการค้าตั้งแต่ปี
2545 ในขณะที่อาฟตา มีการกำหนดเกณฑ์ภาษีสินค้านำเข้าประเภทต่างๆ ในประเทศอาเซียนจะต้องปรับลดลง
0% ในปี 2547 และหนึ่งในนั้นก็มีปรับภาษีสินค้านำเข้าประเภทของเล่นเช่นกัน ทำให้ของเล่นจากจีนมีราคาที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับของเล่นของไทย