'แนวโน้มของธุรกิจโทรศัพท์มือถือจะเปลี่ยนไปแข่งขันด้านการให้บริการข้อมูล มากขึ้นในปีหน้า ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจสมาร์ทโฟนจะเติบโตอย่างมากเช่นกัน' ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าว
ดีแทคจึงตัดสินใจร่วมในการแข่งขันดังกล่าว โดยเริ่มจากการเปิดตัวโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี่ (บีบี) พร้อมเปิดแพกเกจสำหรับการให้บริการข้อมูลที่เริ่มต้นตั้งแต่ 350 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้าสำหรับบีบีเพิ่มขึ้น
'ดีแทคไม่ได้ลงมาเล่นในตลาดโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่มานาน การกลับมาในครั้งนี้เราคงยอมไม่ได้ และเราตั้งเป้าหมายจะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดบีบีให้ได้ก่อนสิ้นปีหน้า' ธนา กล่าว
'ดีแทคเข้ามาทำตลาดแบล็กเบอร์รี่เป็นรายที่ 3 แต่ได้เลือกรุ่นที่คุ้มค่าต่อการใช้งาน ทั้งราคา 'น่าดึงดูด' เพราะเมื่อรวมบริการต่างๆ แล้ว ไม่แตกต่างจากที่ขายเครื่องในมาบุญครอง
ทั้งนี้ ดีแทคได้นำแบล็กเบอร์รี่ 2 รุ่น มาทำตลาด ได้แก่
แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 8520
และแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9000
ด้านราคานั้น แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 8520 ขาย 12,999 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หากซื้อพร้อมแพกเกจโพสต์เพด จะลดเหลือ 9,999 บาท
และแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9000 ในราคาเครื่อง 22,999 บาท หากซื้อพร้อมแพกเกจจะลดเหลือ 19,999 บาท
ลูกค้าสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 ธ.ค. ขณะที่แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ สีขาว ได้เปิดให้ลูกค้าจองตั้งแต่วันที่ 2-20 ธ.ค.52 จำนวนจำกัด และรับเครื่องได้ในวันที่ 21 ธ.ค.52 ส่วนแพกเกจมีให้เลือกหลายราคา พร้อมดาต้าเป็นแพกเกจอันลิมิต 100 นาที 800 บาท โทร.ได้ 100 นาที
'แม้ว่าดีแทคจะมาเล่นบีบีเป็นรายหลังสุด แต่ลูกค้าสามารถมั่นใจคุณภาพโครงข่ายที่รับส่งข้อมูลดาต้าได้อย่างรวดเร็ว ทั่วไทย ราคาเครื่องไม่แพง ซึ่งมาพร้อมๆ กับรูปลักษณ์เครื่องที่สวยงาม แต่จะประมาณการตลาดได้หลังจากวางตลาดไปแล้ว 1 เดือน' ธนา กล่าว
ดีแทคชูจุดขายด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วกว่า การจัดแพกเกจที่มีความเหมาะสมกับลูกค้า รวมถึงการดูแลลูกค้าเก่าควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ รวมไปถึงการทำราคาเครื่องที่เหมาะสม ซึ่ง ณ ปัจจุบันลูกค้าดีแทคสามารถซื้อเครื่องได้ราคาถูกที่สุดในตลาด
'ดีแทคมองตลาดบีบีและตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตอย่างมากในปี 2553 และจะเป็นจุดแข่งขันของผู้ให้บริการทุกรายอย่างแน่นอน หลังจากที่แนวโน้มธุรกิจ 3จี จะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงปีหน้านี้'
ด้านทรูมูฟ ก็หวังจะเป็น 'ที่หนึ่ง' เช่นกัน
'ทรูมูฟคาดว่าจะมียอดขายแบล็กเบอร์รี่เป็นอันดับ 1 ในตลาด ด้วยยอดลูกค้าประมาณ 1 แสนราย จากปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 1 หมื่นราย โดยมุ่งลูกค้าต่างจังหวัด ที่ตลาดยังเล็ก' อาร์ม เวชชาชีวะ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ แผนกบริหารผลิตภัณฑ์ 3จี แบล็กเบอร์รี่ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด กล่าว
ด้วยกลยุทธ์ทั้งเรื่องแพกเกจโปรโมชั่นราคาที่น่าสนใจ และพรีเพดแพกเกจ พร้อมเครื่องล่าสุดแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 8520 มี 3 แพกเกจเติมเงิน แพกเกจแรก 60 บาท ใช้นาน 3 วัน แพกเกจ 140 บาท ใช้ 7 วัน และแพกเกจ 599 บาท ใช้ 30 วัน สามารถเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเอดจ์ และจีพีอาร์เอส ได้ไม่จำกัด ส่วน ราคาพร้อมแพกเกจ 12,900 บาท เครื่องเดี่ยวราคา 13,900 บาท
นอกจากนี้ ทรูมูฟจะเน้นให้ความสำคัญการกระจายสินค้าให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพิ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษา และผู้อยู่ในโซเชียล เน็ตเวิร์ก อาทิ การเปิด 'ทรูมูฟ แบล็กเบอร์รี่ เลานจ์' ในแหล่งชุมชน ทั้งสยามพารากอน สยามสแควร์ ซอย 3 และสีลม เพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาทดลองการใช้งานได้อย่างสะดวก
ขณะที่จุดเด่นของทรูกับผู้ให้บริการแบล็กเบอร์รี่รายอื่น คือ เรื่องของแอปพลิเคชั่น โดยเฉพาะการเข้าถึงไวไฟที่รวดเร็วด้วยปุ่มทรู อีซี่ ไวไฟปุ่มเดียว ทั้งมีแอปพลิเคชั่น ไกด์บุ๊ก แหล่งท่องเที่ยวหัวหิน โดยลูกค้าสามารถเข้าหาข้อมูลร้านอาหาร แหล่งชอปปิ้งได้จากการใช้งานแอปพลิเคชั่น เฉพาะแบล็กเบอร์รี่ ของทรูมูฟเท่านั้น โดยเตรียมขยายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย
'ทรูมูฟจะเน้นตลาดในต่างจังหวัดให้มากขึ้น เพราะตลาดเติบโตสูงและยังเล็ก จังหวัดที่มีแนวโน้มที่จะใช้งานมากเป็นจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ส่วนปีหน้าทรูมูฟจะนำเข้าแบล็กเบอร์รี่อีกประมาณ 4 รุ่น' อาร์ม กล่าว
กลยุทธ์ของดีแทค ซึ่งเข้าสู่ตลาดเป็นรายสุดท้าย คืออะไร? จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
ทั้งทรูมูฟ และเอไอเอส จะโต้ตอบหรือไม่ อย่างไร?
บทวิเคราะห์
การเข้าสู่ธุรกิจใดเป็นเจ้าแรกนั้นย่อมเป็นความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันที่เข้าตลาดทีหลัง แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้เข้าตลาดทีหลังจะเสียเปรียบทุกด้านเสมอไป
นักวางกลยุทธ์ที่เก่งฉกาจต้องหาโอกาสในการเขย่าสมดุลของอุตสาหกรรม แสวงหาโอกาสชนิดกัดไม่ปล่อยที่จะทำให้บริษัทของตนนั้นสามารถ 'Disrupt'สภาพปรกติสุขแห่งอุตสาหกรรม จากนั้นก้าวรุกสร้างเงื่อนไขใหม่เพื่อทำให้คู่แข่งขันเสียเปรียบ
ดีแทคเข้าตลาดทีหลัง ไม่ได้หมายความว่าไม่มี Smart Phone Strategy เหมือนเอไอเอสและทรูมูฟที่ทั้งสองค่ายค่อนข้างชัดเจนในเรื่องกลยุทธ์สมาร์ทโฟน โดยเอไอเอสเลือกถือหางบีบี (BlackBerry) ส่วนทรูมูฟแบ็กไอโฟน ถึงจะมีบีบีอยู่ด้วยก็ตาม
การเป็นที่สองในอุตสาหกรรมและปล่อยให้เบอร์หนึ่งและเบอร์สามล่วงหน้าไปก่อนนานนับปี ทั้งที่เทรนด์สมาร์ทโฟนบูมตูมตามทั่วโลกนั้นถือว่าดีแทคใจเย็นเป็นน้ำแข็ง
ซึ่งก็หมายความว่างานของดีแทคจะยากเข็ญอยู่ไม่ใช่น้อย ในวันที่ต้องกระโดดไปในตลาดสมาร์ทโฟนสุดฮิตที่ชื่อบีบี
แต่ก็อีกนั่นแหละการเข้าสู่ตลาดทีหลังย่อมเห็นข้อผิดพลาดของผู้ที่เข้าสู่ตลาดเป็นรายแรกอย่างชัดเจน อีกทั้งประหยัดเวลาไม่ต้อง Educate ผู้บริโภคให้รู้ว่าบีบีคืออะไร ใช้งานอย่างไร
ดีแทควิเคราะห์ได้ว่าจุดอ่อนของเอไอเอสคือตั้งราคาสูงเกินไป ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเอไอเอสจับตลาดพรีเมียม ขณะที่ทรูมูฟถึงจะตั้งราคาย่อมเยากว่าและแพกเกจต่างๆ ถูกกว่า แต่ผู้ใช้ทั้งประเทศย่อมรู้ว่าบีบีของทรูมูฟเป็นลูกเมียน้อย
ทรูมูฟย่อมแบ็กไอโฟนเป็นหลักอยู่แล้ว การมีแพกเกจบีบีก็เพื่อดึงลูกค้าจากค่ายอื่นที่ต้องการของถูกและเพื่อป้องกันมิให้ลูกค้าของตัวย้ายไปอยู่ค่ายคู่แข่งขัน เพราะทรูมูฟมีข้อเสียเปรียบในเรื่องโครงข่ายให้บริการถึงจะครอบคลุมแต่ก็ไม่เข้มแข็งและไม่มีประสิทธิผลเท่าเอไอเอสและดีแทค
ด้วยเหตุนี้เองถึงทรูมูฟจะขายถูกกว่าและแพกเกจราคาถูกกว่าเอไอเอส บีบีของทรูมูฟมีผู้ใช้บริการเพียงหนึ่งหมื่น ขณะที่เอไอเอสไม่มีตัวเลข แต่ทว่าคาดการณ์คร่าวๆ น่าจะเกิน 50,000 ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ เพราะที่อินโดนีเซียมีผู้ใช้บีบีสูงถึง 1,000,000
การเป็น Late Comer ของดีแทคจึงต้องละเอียดทุกเม็ด และทางเลือกในเชิงการตลาดมีไม่มากนัก
นั่นคือดีแทคต้องเลือกใช้กลยุทธ์ราคาเครื่องที่ถูกกว่าเอไอเอส แต่แพงกว่าทรูมูฟ แพกเกจ unlimited ราคาเดียวกับเอไอเอส แต่ Chat Only แพงกว่าเพียง 50 ซึ่งไม่ถือว่ามีความหมายอะไร
การเข้าตลาดของดีแทคด้วยการกดราคาเครื่องเช่นนี้ แสดงว่าดีแทคไม่ต้องการกำไรจากราคาเครื่อง และการตั้งราคาผู้เปิดเบอร์ใหม่ถูกกว่าหลายพันเช่นนี้แสดงว่าต้องการลูกค้า Post Paid เพิ่ม
ส่วนการใช้สีขาว ย่อมชี้ว่าดีแทคเน้นไปที่กลุ่มผู้หญิง Target คือวัยรุ่นและ First Jobber ที่พร้อมจ่ายราคาต่ำกว่าหมื่นและจ่ายเพื่อแชตและ Social Media เพียง 350
สงครามบีบีระหว่างสามก๊กมือถือเพิ่งเริ่มต้น
เพราะจากนี้จะได้เห็น 'สงครามราคา' อย่างแน่นอน
|