Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน4 ธันวาคม 2552
จ่อหั่นเป้าหุ้นพลังงาน-ปิโตรฯ             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนคลายกังวลปัญหามาบตาพุด หวนคืนตลาดหุ้นไทย หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดกลับ 13 จุด ปิดที่ 706.84 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท บวกแรงผลักดันจากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ด้านนักวิเคราะห์แนะจับตาปัญหามาบตาพุดใกล้ชิด หลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเตรียมปรับลดประมาณการหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีใหม่

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วาานนี้ (3 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า และสามารถเคลื่อนไหวอยู่แดนบวกตลอดทั้งวัน โดยมีแรงซื้อขายมาให้หุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างเยอะในวันก่อนหน้า แต่ปัยจัยหลักที่นักลงทุนยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ เรื่องความคืบหน้าโครงการมาบตาพุด ที่คาดว่าจะยังคงยืดเยื้อต่อไป

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวแตะระดับต่ำสุดในช่วงเช้าที่ 695.81 จุด ก่อนจะขยับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งปิดการซื้อขาย ณ ระดับสูงสุดที่ 706.84 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 13.33 จุด หรือคิดเป็น 1.92% มูลค่าการซื้อขายรวม 24,433.93 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 18.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซ์อสุทธิ 29.73 ล้านบาท พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 681.23 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 692.83 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 227 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือคิดเป็น 0.89% มูลค่าการซื้อขาย 2,140.98 ล้านบาท บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) ปิดที่ 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 7.50% มูลค่า 1,498.81 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 86.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือ 5.79% มูลค่า 1,330.25 ล้านบาท

ส่วนความเคลื่อนไหวหลักทรัพย์อื่นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโครงการมาบตาพุด คือ PTTCH ปิดที่ 72.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 645.517 ล้านบาท , PTTAR ปิดที่ 23.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 3.48% มูลค่า 775.966 ล้านบาท , SCC ปิดที่ 223.00 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่า 1,279 ล้านบาท, TPC ปิดที่ 18.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.66% มูลค่าก 23.250 ล้านบาท, MILL ปิดที่ 7.55 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่า 35.073 ล้านบาท และ GSTEEL ปิดที่ 0.42 บาท มูลค่า 19.594 ล้านบาท

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในวันก่อนหน้า หลังได้รับแรงกดดันจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับลงทุน 65 โครงการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาสนับสนุนการลงทุน โดยดัชนีตลาดหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 690-715 จุด ส่วนกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะนัดชุมนุม เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ในวันที่ 10 ธ.ค.52 ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะรอซื้อเมื่อดัชนีตลาดหุ้นอ่อนตัวลง

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก แต่จะไม่หวือหวามากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนได้ตอบรับกับกระแสข่าวลบจากการที่ศาลปกครองสูงสุดได้สั่งระงับ 65 โครงการไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยการเมืองอย่างใกล้ชิด

“การลงทุนในช่วงนี้ แนะเก็งกำไรในหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหามาบตาพุด อาทิ PTTAR, IRPC, TVO, MCOT, TTA และ KBANK แต่ก็ทยอยซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับมาบตาพุด เพราะเชื่อว่าในอนาคตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากเกิดความชัดเจน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 698-693 จุด และแนวต้านที่ 713-718 จุด”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนต้องติดตามและระมัดระวังปัญหาโครงการมาบตาพุดที่จะยังคงยืดเยื้อต่อไป บวกกับนักวิเคราะห์เองจะต้องปรับประมาณการบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวใหม่ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่อาจจะมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงด้วย เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีตลาดหุ้นไทย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us