Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา ธันวาคม 2552
ชีวิตที่มืดและสว่างของเท็ด เทอร์เนอร์ (ตอนที่ 1)             
โดย มานิตา เข็มทอง
 


   
search resources

Ted Turner




จากผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ CNN สถานีโทรทัศน์ TBS และสถานีโทรทัศน์ TNT เจ้าของทีมเบสบอลมืออาชีพ Atlanta Braves และเจ้าของที่ดิน 2 ล้านเอเคอร์ นับเป็นผู้ที่ครอบครองที่ดินมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา วันนี้เท็ด เทอร์เนอร์ วัย 71 ปีเป็นหนึ่งในบรรดามหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้ให้แด่เพื่อนมนุษย์ แด่สิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าของร้านอาหาร Ted's Montana Grill ที่จำหน่ายเมนูเนื้อวัวป่าไบซันที่ขึ้นชื่อที่สุดในอเมริกา เป็นคาวบอยแห่งตะวันตกตัวจริง

เท็ด เทอร์เนอร์ มีชื่อเต็มว่าโรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เทอร์เนอร์ ที่ 3 (เท็ด) เกิดที่เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ เป็นบุตรชายของฟลอเรนซ์ และโรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เทอร์เนอร์ ที่ 2 (เอ็ด) ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจป้ายโฆษณา เท็ดมีน้องสาวอีกคนอายุห่างกัน 3 ปีชื่อแมรี่ จีน เวลาเกือบ 70 ปีนับตั้งแต่จำความได้ เท็ดผ่านการสูญเสียจนหัวใจแทบแหลกสลายหลายครั้งหลายครา นับตั้งแต่โรคร้ายคร่าชีวิตน้องสาวของเขาเมื่อเธออายุเพียง 17 ปี ตามด้วยบิดาของเขาปลิดชีวิตตนเองเมื่อเขาอายุเพียง 24 ปี ออกจากงานที่ Time Warner Inc. บริษัทที่ซื้อกิจการ CNN จากเขา เมื่อ 3 ปีก่อนแยกทางกับ Jane Fonda ภรรยาคนล่าสุดที่อยู่ด้วยกันมานาน 1 ทศวรรษและสูญเงินมูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ Time Warner ควบกิจการกับ AOL ทำให้เขาถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวกับจิตแพทย์ เพื่อเยียวยาความผิดหวังและความโดดเดี่ยวที่อาจนำไปสู่ประวัติศาสตร์เดียวกันกับบิดาของเขาได้

มุมมืดในชีวิตเท็ดถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เขาอยู่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยที่กำลังซึมซับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีเยี่ยม หลังจากที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 บิดาของเขาเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐฯ เท็ดถูกส่งเข้าเรียนประจำด้วยวัยเพียง 4 ขวบ ทุกคืนเขาหลับตาลงพร้อมกับความเศร้า ความโดดเดี่ยว และความไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาจึงถูกทอดทิ้งไว้ที่นี่เพียงคนเดียว ในขณะที่น้องสาวเขาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่ ความฝังใจในวัยเยาว์ส่งผลกระทบให้เป็นเท็ดในวันนี้ เขากลายเป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคงตลอดเวลา เขาไม่ชอบการอยู่คนเดียว ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้ใครมาล้อมกรอบสร้างกฎเกณฑ์ให้กับเขา เขาเล่าไว้ในหนังสือ Call Me Ted ของเขาว่า ชีวิต ในโรงเรียนประจำส่งผลต่อการรับประทานอาหารของเขา "ทุกๆ เช้า โรงเรียนจะทำข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้า ผ่านมา 65 ปีแล้ว ผมยังเกลียดข้าวโอ๊ต มาจนถึงทุกวันนี้"

ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กชายเท็ดไม่สู้จะราบรื่นนัก เขาเปลี่ยนโรงเรียนเกือบทุกๆ ปี ถูกบิดาที่กลายเป็นคนติดเหล้าติดบุหรี่อย่างหนักทุบตีทำโทษอยู่เสมอ เขานึกกลับไปในช่วงเวลานั้น เขาไม่แน่ใจว่า บิดาของเขาเปลี่ยนไปหลังจากที่กลับมาจากสงคราม เพราะเขาเองก็ยังเด็กมาก แต่เขาคิดว่าสงครามส่งผลไม่มากก็น้อยต่อสภาวะจิตใจและพฤติกรรมของบิดา ส่วนตัวเขาเองนั้นเกลียดสงครามเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า "สงครามเป็นสิ่งที่ล้าสมัย"

พออายุได้ 9 ขวบ เด็กชายเท็ดถูกส่งเข้าโรงเรียนกินนอนแบบทหาร แต่อยู่ได้เพียงปีเดียวก็ย้ายเข้าโรงเรียนรัฐบาลในซาแวนนาห์ จอร์เจีย ซึ่งครอบครัวเขาย้ายมาปักหลักทำธุรกิจป้ายโฆษณาที่นั่น เมื่อเท็ดย่างเข้าวัยรุ่น ขึ้นเกรด 7 เขาถูกส่งเข้าเรียนที่โรงเรียน McCallie ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน ชายล้วนแบบเตรียมทหาร ตั้งอยู่ในรัฐเทนเนสซี เขาต้องห่างจากครอบครัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากอดีต แทนที่จะเป็นผู้ถูกแกล้งถูกกระทำเหมือนเมื่อตลอด 10 ปีก่อน เขากลายเป็นหัวโจก หัวหน้าแก๊งตัวป่วนของโรงเรียน หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา จาก McCallie เขาคิดจะเข้าศึกษาต่อวิชาทหาร แต่บิดาเขากลับคัดค้าน ทั้งๆ ที่ให้เขาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารมาหลายปี

เนื่องจากธุรกิจป้ายโฆษณากำลังเจริญรุ่งเรือง บิดาต้องการให้เขาสืบทอดกิจการต่อไป เขาจึงเลือก มหาวิทยาลัยระดับชั้นนำแทน เขาสมัครเข้าฮาร์วาร์ด แต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากเกรดไม่ดีพอแต่เขาได้การตอบ รับจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และมหาวิทยาลัย บราวน์ในโรด ไอแลนด์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังไม่แพ้กัน เขาเลือกศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยบราวน์ จากคำแนะนำของเพื่อนร่วมธุรกิจของบิดา ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจากที่นั่น เขาเลือกเอกสาขาวรรณคดีคลาสสิก ซึ่งบิดาของเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ต่อมาเขาเปลี่ยนเป็นสาขาเศรษฐศาสตร์ แต่ยังไม่ทันได้สำเร็จรับปริญญา เท็ดถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยข้อหาพาเพื่อนหญิงเข้าห้องพักของเขาที่อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย

เมื่อศึกษาไม่สำเร็จ เท็ดต้องหาทางเลือกใหม่ เขากับปีเตอร์ เดมส์ คู่หูที่ถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยด้วยกัน ตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ฟลอริดา หางานทำ เก็บเงิน เพื่อแล่นเรือเที่ยวรอบโลก

เท็ดรักการเล่นเรือเป็นชีวิตจิตใจ เขาเล่าว่า เวลาที่เล่นเรือเป็นช่วงเวลาที่เขาเป็นตัวของตัวเองที่สุด ไม่ต้องฟังคำสั่งใคร เขาเป็นนักกีฬาเรือใบตัวยง เคยร่วมแข่งขันเรือใบที่ซาวานาห์ ยอชต์ คลับ เมื่ออายุเพียง 11 ปี และร่วมแข่งเพื่อไปโอลิมปิกเมื่ออายุได้ 26 ปี จนกระทั่งปี 1977 ช่วงอายุ 39 ปี เขาเป็นกัปตันพาเรือ Courageous ขนาด 12 เมตร ชนะถ้วยรางวัลอเมริกาคัพเป็นที่สำเร็จ และในปีเดียวกันนั้นเขาได้ขึ้นปก Sport Illustrated นิตยสารกีฬาดัง ต่อมาชื่อเขาปรากฏอยู่ในทำเนียบนักกีฬา ดีเด่นชนะเลิศอเมริกาคัพในปี 1993

แต่ความฝันที่จะแล่นเรือรอบ โลกของพวกเขาต้องล่มสลาย ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่ฟลอริดา เกิดพายุเฮอร์ริเคนถล่มระหว่างที่พวกเขาอยู่ที่รัฐเซาท์ แคโรไลนา เป็นเหตุให้ต้นไม้ล้มทับเรือ ของเท็ดแหลกเป็นเศษไม้ เดมท์จึงล้มเลิกความตั้งใจ และมุ่งหน้ากลับไปตั้งต้นใหม่ที่นิวยอร์ก เขาได้งานเป็นพนักงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ส่วนเท็ดเข้าเป็นหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งที่ฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในช่วง ที่เขาทำงานอยู่ที่นั่น เขาใช้เวลาในการไตร่ตรองอนาคตของเขา ในที่สุด เขาตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยบิดาของเขาดำเนินธุรกิจป้ายโฆษณา

เท็ดกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่จอร์เจีย โดยเข้าดูแล งานที่สำนักงานซาแวนนาห์ เวลานั้นตรงกลับฤดูใบไม้ผลิของปี 1959 ซึ่งเท็ดมีอายุได้ 21 ปี เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะมีครอบครัว เขาพบกับจูดี้ นาย แชมป์เรือใบสาวจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น เมื่อชื่นชอบกีฬาประเภทเดียวกัน เขาคิดว่า เธอเหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นภรรยาเขา เขาขอเธอแต่งงานหลังจากที่เดทระยะไกลกันเพียงไม่กี่ครั้ง เธอตกลงและกำหนดงานแต่งงานที่ชิคาโกในฤดูร้อน ถัดไป

แต่ก่อนที่จะถึงวันแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่ของทั้งสอง ครอบครัวเทอร์เนอร์สูญเสียแมรี่ จีน ที่ป่วยมาเป็นเวลานาน การเสียชีวิตของน้องสาว นำมาซึ่งความเจ็บปวดยากที่จะทานทน เขากล่าวว่า เขาบล็อกความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับความสูญเสียในครั้งนั้น เขาไม่จำแม้แต่รายละเอียดเดียว ภายหลังการแต่งงาน เท็ดและจูดี้ย้ายสู่เมืองมาคอนในจอร์เจีย โดยเท็ดเข้าดูแลกิจการที่สาขามาคอน ต่อมาทั้งสองเข้าใจดีว่าการแต่งงานนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก จนกระทั่งในปี 1961 ทั้งสองได้ลอร่า ลี บุตรสาวคนแรกมาช่วยประสานรอยร้าว มาเป็นศูนย์กลางของความรัก แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้น ในที่สุดทั้งสองตัดสินใจแยก ทางกัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูดี้รู้ตัวว่าตั้งครรภ์บุตรคนที่สองที่เท็ดภูมิใจตั้งชื่อว่า โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เทอร์เนอร์ที่ 4 (เท็ดดี้) ทั้งสองจึงกลับมาอยู่ด้วยกัน ใหม่

ต่อมาในปี 1962 บิดาของเขาเข้าซื้อกิจการบริษัทเจนเนอร์รัล เอาท์ดอร์ แห่งแอตแลนตา ทำให้ กิจการป้ายโฆษณาของตระกูลเทอร์เนอร์กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตอนใต้ของสหรัฐฯ ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไปได้ดี กลับมาสะดุด เมื่อบิดาของเขาเริ่มหวั่นวิตกว่าจะไม่สามารถดูแลกิจการใหญ่ โตนี้ได้อยู่รอด ในขณะที่เท็ดคิดว่าทุกอย่างไปได้ดี จากพื้นฐานของบิดาของเขาที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ติดบุหรี่ และติดยา ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ที่แปรปรวน ดีขึ้น

วันหนึ่งเท็ดได้รับโทรศัพท์จากบิดาว่า ได้ขาย กิจการของบริษัททั้งส่วนเดิมและส่วนที่เพิ่งซื้อมาใหม่แล้ว เท็ดแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เขาตอบกลับไปว่า "ตลอดทั้งชีวิต พ่อสอนผมว่าให้ทำงานหนัก ไม่ให้หยุด แต่ตอนนี้พ่อคือคนที่หยุดเอง" จากนั้นอีกสองสามวันต่อมา เท็ดได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเจน ดิลลาร์ด มารดาเลี้ยงของเขา เพื่อส่งข่าวว่า เอ็ด บิดาของเขาเสียชีวิตแล้ว...

ที่มา: หนังสือ Call Me Ted   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us