Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา ธันวาคม 2552
Al Gore กับแผนการใหม่ในการกู้โลก             
 

   
related stories

แผนกู้โลกความจริงที่อยู่แค่เอื้อม
ฉีกร่างกฎหมายแก้ปัญหาโลกร้อน

   
search resources

Environment
Al Gore




หนังสือเล่มใหม่ของ Al Gore หลังได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ

หนังสือเล่มใหม่ของ Al Gore อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ ยังคงเป็นเรื่องที่เขาถนัด ทำให้เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินั้น หนังสือเล่มใหม่หลังจากที่ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพนี้มีชื่อว่า Our Choice: A Plan to Solve the Climate Crisis พิมพ์ด้วยกระดาษรีไซเคิล 100% ช่วยชีวิตต้นไม้ได้ 1,513 ต้น และลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 126,000 ปอนด์ แต่หากมีส่วนใดในการผลิตที่ต้องมีการแพร่คาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกชดเชยคาร์บอนผ่านบริษัท Carbon Neutral Co กำไรทั้งหมดอุทิศให้แก่กลุ่ม Alliance for Climate Protection ซึ่ง Gore ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 เขายังบริจาคเงินรางวัล ทั้งหมดที่ได้รับจากรางวัลโนเบลในปี 2007 ให้กลุ่มดังกล่าว

Gore เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นจากการระดมผู้เชี่ยวชาญมาประชุม "สุดยอด" เป็นการประชุมที่ไม่เป็นที่เปิดเผย รู้เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นและเป็นการประชุมแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้น ที่นิวยอร์ก แนชวิล และอีก 3 เมือง การประชุมสุดยอดที่ว่านี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2007 เป็นการประชุมที่ Gore จะได้นั่งฟังผู้เชี่ยวชาญ ต่างๆ นำเสนอเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ "smart grid" ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงทรงประสิทธิภาพที่สามารถส่งกระแสไฟฟ้าครอบคลุม ทั้งทวีป

Gore ยังเชิญผู้เชี่ยวชาญบาง คนมาคุย "ซ้ำ" แบบตัวต่อตัวอีกต่างหาก เขาเก็บเกี่ยวความรู้รวมไปถึงผลงานล่าสุดของบรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เหล่านั้นจนหนำใจ และสุดท้ายจึงได้ออกมาเป็นโครงเรื่องที่มีความยาวถึง 40 หน้าราวกับสารานุกรม รวมทั้งข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเขียนหนังสือได้ 10 เล่ม

Our Choice เป็นหนังสือที่เหมือนตำราซึ่งอัดแน่นไปด้วยหลักฐานข้อมูลที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ ละเอียดยิบ และเต็มไปด้วยเหตุผล มีความเป็นวิชาการสูง และสมเหตุสมผล คล้ายกับเป็นตำราที่ว่าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ เชื้อเพลิงชีวภาพ การดักจับคาร์บอน (carbon sequestration) พลังงานนิวเคลียร์ การใช้ป่าดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และปัญหาเรื่องกฎระเบียบที่ขัดขวางการพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงอัจฉริยะ

แม้ Gore จะหวังให้ประชาชนคนธรรมดาเป็นผู้กดดันให้เกิดการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่เขาต้องยอมรับว่ามีแต่นักการเมือง และผู้นำธุรกิจเท่านั้นที่สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้จริงๆ ด้วยการออกกฎหมายหรือนโยบายใหม่ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว อันรวมไปถึงการเจรจาเพื่อให้ได้สนธิสัญญาแก้ปัญหาโลกร้อนฉบับใหม่ ซึ่งได้เริ่มการเจรจากันไปแล้วในเดือนนี้ (ธ.ค.) ที่เดนมาร์ก

แม้ Gore จะชื่นชมประธานาธิบดี Obama ที่เพิ่งประกาศ ทุ่มงบ 3.4 พันล้านดอลลาร์ กระตุ้นการเดินหน้า smart grid และชื่นชมที่หน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ตัดสินใจจะควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แต่ก็ยังเป็นการชื่นชมที่ไม่เต็มปากเต็มคำนัก Gore เตือนว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังจับตาดู ซึ่งเป็นสิ่งที่จะตัดสินว่า นโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนของรัฐบาลสหรัฐฯ จะได้ผลหรือไม่ ก็คือความสำเร็จในการเจรจาสนธิสัญญาแก้ปัญหา โลกร้อนที่เดนมาร์กดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง

สิ่งที่อาจจะน่าสนใจที่สุดในหนังสือ Our Choice อยู่ที่ประโยคเพียงประโยคเดียวของ Gore และอยู่ในบทสุดท้าย อันเป็นบทวิเคราะห์อุปสรรคทางจิตวิทยา ที่ทำให้คนอเมริกันไม่เห็นปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องจริงจัง Gore ซึ่งเคยล้มเหลวครั้งใหญ่ในการสื่อสารกับคนอเมริกันมาแล้วเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน ต้องยอมรับว่า การตัดสินใจของคนเราเกิดจากอารมณ์ หาใช่เหตุผลไม่ส่วนประโยคนั้นคือ "การเสนอแต่ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว ใช้ไม่ได้ผล"

Gore ชี้ให้เห็นมิติทางด้านจิตวิญญาณของการแก้ปัญหาโลกร้อนด้วย ด้วยความเชื่อที่ว่า พระเจ้าได้มอบหมายให้มนุษย์เป็นผู้จัดการดูแลโลกและการปกปักรักษาโลกเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง ก็เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ Gore จึงปรับวิธีการฝึกอบรมการนำเสนอสไลด์ปัญหาโลกร้อนของเขา ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของภาพยนตร์ An Inconvenient Truth อันโด่งดังของเขา ให้เหมาะสมกับกลุ่มอาสาสมัครที่เข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน Gore เดินทางอยู่เกือบตลอดเวลา เพื่อไปฝึกอบรมอาสาสมัครด้วยตัวเอง เขาเคยฝึกอบรมทั้งกลุ่มชาวคริสต์ มุสลิม และชาวยิวมาแล้ว และจะรวมไปถึงชาวฮินดูด้วย เขายังเคยฝึกอบรมพระในศาสนาคริสต์ และผู้นำชุมชนใน Nashvill ด้วยการปรับเนื้อหาในการอบรมให้อิงกับพระคัมภีร์

ในบทสุดท้าย ซึ่ง Gore ยอมรับว่า เพียงแค่การนำเสนอข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอนั้น Gore สมมุติว่าเราสามารถแก้ปัญหา โลกร้อนได้สำเร็จ เด็กรุ่นหลังจึงถามเราว่าเราทำได้อย่างไร เขาจินตนาการต่อไปว่า สหรัฐฯ สามารถผ่านกฎหมายแก้ปัญหาโลกร้อนได้สำเร็จในปีนี้ การเจรจาสนธิสัญญาแก้ปัญหาโลกร้อนก็เริ่มขึ้นได้สำเร็จ "และโลกจะต้องประหลาดใจว่า การเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่างในด้านพลังงานและการใช้พลังงานนั้น ไม่เพียงแต่ไม่แพงแต่ยังสร้างผลกำไรให้อีกด้วย"

Gore ใช้เวลาถึง 3 ปีในการวิจัยเพื่อเขียน Our Choice โดยข้อมูลหลักๆ ก็ได้มาจากการประชุมสุดยอดกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว ข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากบริษัท Kleiner Perkins Caufield & Byers ซึ่ง Gore เป็นหุ้นส่วนอยู่ เป็นคนคัดเลือกแขกรับเชิญส่วนใหญ่ที่มาจากโลกธุรกิจ ส่วน Gore ซึ่งมีเครือข่ายรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศและพลังงานหมุนเวียน พร้อมมูลอยู่ในมือมานานหลายทศวรรษได้ลงมือเลือกคนที่ล้วนแล้วแต่ระดับหัวกะทิ อาทิ CEO ของ Areva ยักษ์ใหญ่พลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส และ Amory Lovins เอตทัคคะด้านพลังงานหมุนเวียน

Gore ระดมยิงคำถามนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดกับเขาอย่างไม่หยุดยั้ง เช่น พลังงานนิวเคลียร์เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เทคโนโลยีแผงเซลล์สุริยะแบบใหม่ที่เรียกว่า photovoltaic (PV) เข้าสู่ตลาดได้ Gore ลงทุน เป็นผู้ดำเนินการประชุมเองทั้งหมด

แม้แต่นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญที่มาร่วมประชุมกับ Gore ต่างก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยรู้กลับไปเช่นกัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับพลังงาน สะอาด Gavin Schmidt จากสถาบันศึกษาอวกาศ Goddard ขององค์การ NASA กล่าวว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่เคยสนใจที่จะคุยกับพวกเขา มีแต่ Gore คนเดียวเท่านั้นที่สนใจในทุกรายละเอียดและมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในวิทยาศาสตร์

Gore ยังพร้อมเปิดรับความคิดใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง ตอนแรกเขาเคยคิดว่า พลังงานความร้อนจากแสง อาทิตย์แบบเข้มข้น (concentrated solar thermal power) ซึ่งใช้แสงอาทิตย์ต้มของเหลวเพื่อนำไปเป็นพลังงานในเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เป็นวิธีที่ดีกว่า photovoltaic หรือ PV เป็นแผงเซลล์สุริยะรุ่นใหม่ที่สามารถติดตั้งบนหลังคาบ้าน เพื่อนำแสงอาทิตย์มาผลิตเป็นไฟฟ้าใช้ในบ้านโดยตรง แต่เทคโนโลยี PV กลับสามารถสร้างเซอร์ไพรส์มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพราะมีพัฒนาที่รวดเร็ว แถมยังมีราคาถูกลงเรื่อยๆ

ข้อมูลใหม่นี้ทำให้ Gore ต้อง เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนมาทำนายว่า เทคโนโลยี photovoltaic จะแซงหน้าเทคโนโลยีพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์แบบเข้มข้น ภายในครึ่งปีนี้ รวมทั้งจะแซงหน้าเชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์ในอีกไม่นานนี้ Gore ชอบที่ PV ไม่กินที่ในการติดตั้ง เช่น สามารถติดตั้งบน หลังคาบ้านได้ ในขณะที่เทคโนโลยี พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ สิ้นเปลืองพื้นที่ในการติดตั้งมาก เขายังประทับใจที่ราคาของ PV ลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับประสิทธิ-ภาพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการพัฒนาวัสดุใหม่ๆ และเทคนิค การผลิตใหม่ๆ เข้ามาช่วย

ในบทที่ว่าด้วยพลังงานลม Gore บอกว่า เป็นพลังงานที่ถูกกว่าและเติบโตรวดเร็วกว่าพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นๆ ยกเว้น พลังงานความร้อนใต้พิภพ และยังสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์ได้ในบางจุด สหรัฐฯ เพิ่งใช้พลังงานลมผลิตกระแสไฟฟ้าเพียง 1% เท่านั้นของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ กำลังจะเพิ่มการใช้พลังงานลมในการผลิต ไฟฟ้าเป็น 20% ภายในปี 2023

Gore ให้ความสำคัญกับเรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างยิ่ง อ้างรายงานของ McKinsey & Co เมื่อเดือนกรกฎาคมที่สรุปว่า การเปลี่ยนมอเตอร์หน้าต่างที่ไร้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และอุปกรณ์ที่กินน้ำมันอื่นๆ ไปเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง จะช่วยลดการใช้พลังงานทั่วสหรัฐฯ ลงได้ถึง 23% ภายในปี 2023

ถ้าหากประสิทธิภาพการใช้พลังงานสามารถประหยัดได้ทั้งพลังงานและเงิน แต่เหตุใดธุรกิจจึงไม่สนใจเรื่องนี้ Gore ตอบว่า เป็นเพราะกฎเกณฑ์เรื่องการใช้พลังงานในสหรัฐฯ ไม่ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน แต่ธุรกิจกลับจะมีกำไรมากกว่า หากใช้เชื้อเพลิงและพลังงานอย่างสิ้นเปลือง Gore รู้สึกหงุดหงิดที่ผลสำรวจพบว่า 80% ของ CEO และ CFO ในสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขาจะไม่ยอมจ่ายเงินปรับปรุงโรงงานให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากขึ้น แม้จะทำให้สามารถประหยัดเงินได้ในระยะยาว ถ้าหากว่าการทำเช่นนั้นจะกระทบผลกำไรในไตรมาสหน้า "นี่เป็นความ คิดที่บ้าสิ้นดี" Gore กล่าวอย่าง หงุดหงิด

Gore รักพลังงานชีวภาพ แม้ว่าเรื่องนี้จะเคยเป็นประเด็นที่ทำให้ เขาพ่ายแพ้ทางการเมืองครั้งใหญ่มาก่อน เมื่อสมัยเป็นรองประธานาธิบดี Gore เป็นคนตัดสินใจริเริ่มโครงการผลิตเอทานอลเมื่อปี 1994 โดยไม่สนใจคำเตือนมากมาย Gore ยอมรับในหนังสือเล่มนี้ว่า มีคนเตือนเขามากมายว่า กระบวนการผลิตเอทานอลจากข้าวโพดจะแพร่ก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการใช้น้ำมันเบนซินเสียอีก อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นใหม่หมดปัญหานี้แล้ว

Gore คาดว่า พลังงานชีวภาพ รุ่นใหม่ซึ่งพัฒนามาจนถึงรุ่นที่ 3 แล้วในขณะนี้ ชนิดที่น่าจะมาแรงที่สุดคือ enzymatic hydrolysis คือการผลิตเอทานอลโดยการหมักกากเส้นใยพืช ด้วยการใช้เอนไซม์ย่อยสลายเส้นใยเซลลูโลสและสารลิกนิน เทคโนโลยีนี้จะทำให้ผลิตเอทานอลได้มากขึ้นอีกหลายลิตรต่อเฮกตาร์ เมื่อเทียบกับการผลิตเอทานอลรุ่นแรก Gore ระบุว่า ประโยชน์อย่างหนึ่งของเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 3 คือ เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพแบบที่เรียกว่า biobutanol อันหมายถึงไม่มีปัญหาในการผสมกับน้ำมัน และสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เลยโดยตรง นอกจากนี้การผลิตเอทานอลด้วยวิธี enzymatic hydrolysis ในทางทฤษฎีแล้วยังสามารถพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นได้เรื่อยๆ โดยไม่มีขีดจำกัด Gore จึงมั่นใจว่า เราจะได้เห็น การพัฒนาใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นจากเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นใหม่นี้

Gore ยังเป็นคนที่รักต้นไม้และดิน เขาบอกว่า ครั้งหนึ่ง การเผาทำลายป่าเคยเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของการแพร่ก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่มาจากการใช้รถยนต์ ทั่วโลกเสียอีก แต่ถูกแย่งตำแหน่งแชมป์แพร่ก๊าซเรือนกระจกไป โดยเชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์ในช่วงทศวรรษ 1980 แต่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ทศวรรษ 1800 เป็นต้นมา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาทำลายป่า เคยทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เพิ่มขึ้นถึง 40%

ข้อเท็จจริงที่ว่า ดินสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่ออกมาจากการผลิตไฟฟ้า จากโรงงานและจากไอเสียของรถได้ เป็นสิ่งที่ทำ Gore กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มีข้อมูลยืนยันว่า ดินสามารถจะกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้อีกด้วยซ้ำ ถ้าหากมีการจัด การดินที่ดีกว่านี้ Rattan Lal นักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องดินจาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ Ohio คำนวณว่า หากเกษตรกรปลูกพืชคลุมดิน โดยไม่ไถ ใช้เพียงพืชคลุมดินและปุ๋ย ธรรมชาติ จะทำให้พื้นที่เกษตรที่มีอยู่ 3,700 ล้านเอเคอร์ทั่วโลก สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 กิ๊กกะตันต่อปี หรือประมาณ 12% ของคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่แพร่ออกมาทั่วโลกในแต่ละปี

แต่ Timothy LaSalle ผู้เป็น CEO ของ Rodale Institute และได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดกับ Gore 2 ครั้ง มีข้อมูลที่ดียิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่า หากให้อาหารสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินและจัดการวัชพืชอย่างเหมาะสม ดินจะสามารถกักเก็บคาร์บอนที่แพร่ออกมาทั่วโลกไว้ได้ทั้งหมด

นี่คือจุดที่ทำให้ Gore กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหากบอกออกไปว่า ดินสามารถดูดซับคาร์บอนที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด คนทั้งโลกคงเลิกสนใจลดการแพร่คาร์บอน ผู้ช่วยของ Gore ถึงกับขอให้ LaSalle เพลาๆ ตัวเลขการประเมินของเขาให้ให้ต่ำลง

อย่างไรก็ตาม Gore ตัดสินใจเลือกเข้าข้างวิทยาศาสตร์มากกว่าการเมือง เขาเขียนในหนังสือเล่มนี้ว่า ดินสามารถกักเก็บ คาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น 15% ในแต่ละปี ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50 ส่วนในล้านส่วน (ppm) จากชั้นบรรยากาศตลอด 50 ปีข้างหน้า (ขณะนี้คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ 387 ppm หากสูงถึง 450 ppm จะเป็นอันตรายมาก)

เพื่อกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงวิธีทำเกษตร และส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอนในดิน Gore เสนอให้เปลี่ยนจากการอุดหนุนราคา พืชผลการเกษตร ไปเป็นการให้เงินแก่เกษตรกร ตามจำนวนคาร์บอนที่เกษตรกรสามารถกักเก็บเอาไว้ในดิน Gore เชื่อว่า การจ่ายเงินให้เกษตรกรเพื่อกักเก็บคาร์บอน อาจกระตุ้นให้เกิดความนิยมใช้ "biochar" หรือถ่านชีวภาพ เพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง Gore ขนานนาม biochar ว่าเป็น "หนึ่งในกลยุทธ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ในการเก็บรักษาคาร์บอนไว้ในดินที่ขาดแคลนธาตุอาหาร และยังช่วยให้เราสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในดินได้เป็นจำนวน มหาศาล"

Gore รู้จัก biochar ครั้งแรก เมื่อเขาเดินทางไปเยือน Amazon ในปี 1989 biochar คือถ่านที่มีความพรุนสูง ได้จากการเผาหญ้าแห้ง เปลือกข้าวโพด และกากพืชชนิดอื่นๆ สามารถ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เหมือนกับการทำหน้าที่ของตัวกรอง ในบุหรี่ Gore ประเมินว่า biochar สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 40% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกแพร่ออกมาในแต่ละปี

อีกประเด็นหนึ่งที่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ปะทะกับการเมืองว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อน ก็คือคำถามที่ว่า อะไรคือสาเหตุของปฏิกิริยาเรือนกระจก

เมื่อต้นปีนี้ Schmidt และ Drew Shindell 2 นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Goddard ของ NASA และทีมวิจัย กำลังทำ โครงการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุด เพื่อคำนวณว่าก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดนั้น แต่ละชนิดมีส่วนทำให้โลกร้อนมากน้อยต่างกันอย่างไร

ผลที่ได้แตกต่างจากการคำนวณแบบเก่าที่ไม่ละเอียดเท่า และพวกเขาเพิ่งรายงานผลการคำนวณนี้ลงในวารสาร Science เมื่อเดือนที่แล้วว่า มีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ มีส่วนทำให้โลกร้อน 27% ก๊าซ Halocarbon มีส่วนทำให้ โลกร้อน 8% black carbon (เขม่าดำที่เกิดจากการเผาไม้ มูลสัตว์และน้ำมันดีเซล) 12% คาร์บอนมอนอกไซด์และอินทรียสาร ในรูปของก๊าซอื่นๆ 7% และสุดท้าย คาร์บอนไดออกไซด์ทำให้โลกร้อน 43%

ผลการคำนวณของ NASA ทำให้เกิดความหวังใหม่ขึ้นการพยายามลดคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการโจมตีเส้นเลือดที่หล่อ เลี้ยงเศรษฐกิจโลกโดยตรง เพราะเป็นการโจมตีเชื้อเพลิงที่มาจาก ซากพืชซากสัตว์ ซึ่งเป็นพลังงานที่โลกใช้อยู่ถึง 86.5% แต่หากเปลี่ยนเป้าหมายไปลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ อาจจะคุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่า การพยายามลดคาร์บอนไดออกไซด์เพียงอย่างเดียว นี่คือ บทสรุปของทีมนักวิทยาศาสตร์จาก NASA ที่เขียนไว้ใน Science

ตัวอย่างเช่น เราสามารถลดการแพร่ก๊าซมีเทนได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนวิธีทำเกษตรและการดักจับมีเทนที่พบมากที่บ่อน้ำมัน และเพียงการลด black carbon เพียง 1 ตันเท่านั้น แต่จะมีค่าเท่ากับลดคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 2,000-3,000 ตันเลยทีเดียว

Veerabhadran Ramanathan นักภูมิอากาศวิทยา (climatologist) ชี้ว่า ความน่ารักของ black carbon คือ หากคุณลดมันลงในวันนี้ มันจะหายไปหมดภายในเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น เพราะฝนจะชะมันให้หายไปจากอากาศ ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์สามารถคงอยู่ไปได้ถึงหลายทศวรรษ

ดังนั้น การเปลี่ยนเป้าหมายหันไปลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ นอกเหนือจากคาร์บอนไดออกไซด์ จะช่วยเลื่อนเวลาออกไปได้ถึง 30-50 ปี กว่าที่ปัญหาโลกร้อนจะทำให้อุณหภูมิของโลกเราสูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส (หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 2 องศา ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น เกิดปัญหาความแห้งแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย)

อย่างไรก็ตาม การคว้า "สิบเบี้ยใกล้มือ" คือการหันไปลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ที่ไม่ใช่คาร์บอนไดออกไซด์ อาจทำให้คนหมดความกระตือรือร้นที่จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปเลย Gore ซึ่งเป็นผู้นำในการรณรงค์ลดคาร์บอนไดออกไซด์มานาน รู้สึกวิตกในเรื่องนี้หรือไม่ เขาตอบว่า เขายังคงคิดว่าควรเน้นการลดคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไป แต่เราก็ควรมีแผนแก้วิกฤตโลกร้อนแบบครอบคลุมด้วยเช่นกัน โดยขยายเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ให้ครอบคลุมไปถึงก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด ตามที่ระบุไว้ในผลการศึกษาของ NASA ข้างต้น

Gore รู้ดีว่า การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เวลา และการเมืองอาจชนะวิทยาศาสตร์ ผลสำรวจล่าสุดโดย Pew Research Center พบว่า จำนวนชาวอเมริกันที่เชื่อว่า มีหลักฐานแน่ชัดว่าโลกกำลังร้อนขึ้น ลดลงจาก 71% เหลือเพียง 57% ที่เคยสำรวจไว้ในเดือนเมษายน 2008 และคนที่เชื่อว่าปัญหาโลกร้อนเกิดจากฝีมือมนุษย์ ก็ลดลงจาก 47% เหลือ 36% Gore โทษว่าเป็นเพราะอุตสาหกรรมถ่านหินและน้ำมันที่ทุ่มเงินมหาศาล ทำให้คนทั่วไปสับสนในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน

Gore ได้ยกคำพูดของนักปรัชญา Theodor Adorno (1903-1969) ที่เขาโปรดปรานไว้ใน Our Choice "การเปลี่ยนคำถามเกี่ยวกับความจริงไปเป็นคำถามเกี่ยวกับอำนาจ คือการทำร้ายที่ตรงหัวใจของความแตกต่างระหว่างความจริงกับความเท็จ"

"ระบบการเมืองก็เหมือนกับภูมิอากาศนั่นแหละ มันไม่ได้เป็นเส้นตรง" Gore กล่าว "ผมรอมานานแล้วว่าเมื่อใดจึงจะถึงจุดที่นักการเมืองและสาธารณชนจะตระหนักพร้อมๆ กันถึงภัยคุกคามจากปัญหาโลกร้อนและลงมือแก้ไขมัน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า เราใกล้จะไปถึงจุดนั้นมากขึ้น เมื่อความจริงกำลังมาเคาะที่หน้าประตูบ้าน"

แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค 9 พฤศจิกายน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us