Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน20 พฤศจิกายน 2552
ดอลล์ร่วงกดบาทแข็ง เก็งสิ้นปีแตะ32.90-ธปท.จ้องแทรก             
 


   
search resources

Currency Exchange Rates
ธิติ ตันติกุลานันท์




กสิกรไทยชี้แนวโน้มบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้แตะ 32.90-33.00 เหตุดอลลาร์ร่วงหลังเฟดแถลงเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่ง ต้องกดดอกเบี้ยต่ำต่อ แต่สถานการณ์เข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติเริ่มคลายตัวใช้วงเงินสำรองแค่ 300-400 ล้านดอลล์จากช่วงก่อนหน้าที่ต้องใช้ถึง 1,400-1,500 ล้านดอลล์ ด้านการปล่อยกู้สินเชื่อรายใหญ่ ล่าสุดร่วมกับกรุงไทย เอ็กซิมแบงก์ และมิซูโฮปล่อยกู้ให้บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ วงเงินรวม 200 ล้านดอลล์ เป็นส่วนของกสิกรไทย 100 ล้านดอลล์

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นปี 2552 นี้ธนาคารคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะที่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงมาก หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาประกาศว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งและจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำในการดูแลเศรษฐกิจต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2552 ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นประมาณ 4-5% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้าไปดูแลค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้มีการแข็งค่าเร็วจนเกินไป จึงส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง โดยช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท. ต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศดูแลค่าเงินบาท 1,400-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.เริ่มน้อยลดลง ทำให้ใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการดูแลค่าเงินบาทน้อยลงเหลือ 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์

“ค่าเงินบาทมีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในสิ้นปีนี้ เพราะในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอยู่ในระดับต่ำ และคงต่ำต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ แม้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ค่าเงินบาทจะอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ทางธปท.ก็เข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนที่แล้ว ธปท.เข้าไปดูแลค่อนข้างมาก ส่วน 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าดูแลค่อนข้างน้อยลง และขณะนี้เข้าดูแลระดับกลางๆ” นายธิติ กล่าว

สำหรับค่าเงินบาทวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆเปิดตลาดที่ระดับ 33.16-33.16 บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.165 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.205 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้คาดว่าจะมีทิศทางแข็งค่าต่อ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทไว้ที่ระดับ 33.15-33.30 บาทต่อดอลลาร์

ปล่อยกู้ร่วมTTA100ล้านดอลล์

นายธิติยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดธนาคารได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารมิซูโฮ ลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน (Syndicated Loan Facility) จำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลา 3 ปี แก่บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองรายใหญ่ของประเทศไทย

“สำหรับการปล่อยสินเชื่อร่วมครั้งนี้ ธนาคารได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการจัดหาสินเชื่อร่วม (Coordinator) โดยเป็นส่วนของธนาคารกสิกรไทยในการปล่อยสินเชื่อจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ธนาคารได้รับแต่งตั้งให้เป็น Security Agent และ Facility Agent ด้วย ซึ่งในปี 2552 นี้ธนาคารปล่อยซินดิเคทโลนที่เป็นรายใหญ่ๆ ให้กับบริษัท โทรีเซนไทยฯ เป็นรายสุดท้าย โดยซินดิเคทโลนของธนาคารจากการเริ่มปล่อยกู้ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-40% ของทั้งระบบตลาดที่ในแต่ละปีจะมีมูลค่าอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายธิติ กล่าว

ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อในครั้งนี้ บริษัทโทรีเซนไทยฯ มีแผนการจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับใช้ขยายธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า คือการขยายการลงทุนในธุรกิจขนส่ง ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สายธุรกิจมีความเข้มแข็งและขยายไปยังตลาดใหม่ รวมไปถึงดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการขนส่งสินค้า และค่าระวาง ประกอบกับพยายามกระจายกลุ่มลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินการและทางการเงิน สร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว

KTBโชว์10เดือนปล่อยกู้รายใหญ่1.5แสนล.

ด้านนางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า ในการปล่อยสินเชื่อร่วม 4 ธนาคาร ให้กับบริษัทโทรีเซนไทยฯ เป็นส่วนของธนาคารกรุงไทยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาขอสินเชื่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เพราะจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ประกอบกับธนาคารยังคงเน้นกลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภาคเอกชนที่ได้รับเหมาจากโครงการภาครัฐ ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท

“ทั้งปี 2552 นี้ธนาคารจะมีการเติบโตสินเชื่อรายใหญ่สุทธิที่ 1 หมื่นล้านบาท จากพอร์ตรวมของธนาคาร ซึ่งอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 30% ของพอร์ตรวม ขณะที่แผนธุรกิจของธนาคารทางด้านรายใหญ่ในปี 2553 นั้น ต้องการเติบโตสุทธิทั้งปีอีก 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารยังคงสนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการขนส่งระบบราง ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเกษตรเช่นเดิม” นางสาวสมพิศ กล่าว

ด้านการแข่งขันสินเชื่อรายใหญ่ในปี 2553 เชื่อว่าจะยังคงรุนแรงและเข้มข้นเหมือนเดิม เนื่องจากทางภาครัฐ ได้มีโครงการไทยเข้มแข็งออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการต้องการสินเชื่อมากขึ้น โดยในแต่ละธนาคารก็ต้องมีกลยุทธ์ที่จะเข้าไปนำเสนอให้กับลูกค้าด้วย

อนึ่ง การให้การสนับสนุนทางการเงินของ 4 ธนาคาร แก่บริษัทโทรีเซนไทยฯวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนี้ แบ่งเป็นในส่วนของธนาคารกสิกรไทยจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารกรุงไทย จำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจำนวน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธนาคารมิซูโฮ จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us