ธุรกิจค้าปลีก เฮโลอัดงบลงทุน เร่งผุดสาขาเพิ่ม รับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ธุรกิจค้าปลีกคึกคักปีขาล หลังไตรมาส 4 กำลังการซื้อเริ่มฟื้น โรบินสัน ชูแผน 3 ปี เท 4,000 ล้านบาท จ่อคิวขยาย 8 สาขา เท 80 ล้านบาท ส่ง 2 แคมเปญใหญ่โกยยอดขายไตรมาส 4 ด้านบิ๊กซี เท 6,000 ล้านบาท ผุด 12 สาขา
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนการลงทุนในระยะ 3 ปี ด้วยการทุ่มงบ 3,000 – 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่ม 8 สาขา หรือ 400-500 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งนี้การเร่งขยายสาขาเพิ่มขึ้นจากปกติขยาย 1-2 สาขาต่อปี
โดยปีนี้เปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นเพียงแห่งเดียวก็เพื่อรองรับการภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากนี้ โดยพบว่าในช่วงไตรมาส 4 พฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งการขยายสาขาคาดว่าใช้พื้นที่ 8,000-20,000 ตร.ม. มีทั้งในกรุงเทพฯ และโดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด เพื่อสอดคล้องกับนโยบายของโรบินสัน วางเป้าหมายเป็นห้างสรรพสินค้ามีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
“ปีนี้ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศติดลบ 3% ส่งผลให้ความถี่การซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสันลดลง โดยกำลังการซื้อเติบโต 5% หรือ 670 บาทต่อบิลต่อครั้ง แต่เดือนกันยายนสถานการณ์โดยรวมเริ่มดีขึ้น การเมืองเริ่มไม่มีความรุนแรง คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ธุรกิจค้าปลีกเริ่มกลับมาคึกคัก และจากนี้ไปแนวโน้มธุรกิจค้าปลีก จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหากไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง”
สำหรับปีหน้าทุ่มงบการตลาด 300 ล้านบาท ชูแผนการสร้างแบรนด์โรบินสัน ภายใต้คอนเซปต์”ไลฟ์สไตล์ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์” เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมสร้างความแตกต่างโดยนำเสนอสินค้าที่ทันสมัย และการเพิ่มสินค้าเอ็กซ์คูลซีฟและเฮาส์แบรนด์จาก 7% เป็น 10% ของยอดขาย ภายใน 2 ปี ตลอดจนการมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ตลอดจนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ ซึ่งในปีหน้านี้วางแผนขยายสาขา 1-2 แห่ง ภายใต้การใช้งบลงทุน 400-1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันการเติบโตสาขาเดิมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก
นายปรีชา กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินการตลาดเชิงรุกในช่วงไตรมาส 4 ทุ่มงบ 80 ล้านบาท เปิดตัว 2 แคมเปญใหญ่ คือ ”My Wish My Gift 2010” สร้างมูลค่าให้กับลูกค้าตั้งแต่วันที่ 18 พย. 52-17 มค.53 ซื้อสินค้าครบ 1,000 บาทขึ้นไป สามารถใช้บัตรเดอะวันการ์ดแลกคูปอง 50% เป็นต้น และแคมเปญ”Pink หัวใจสีชมพู” มอบส่วนลดเคาน์เตอร์ปกติ 20% พร้อมจัดกิจกรรม 21 สาขาทั่วประเทศ ส่งท้ายปลายปีและต้อนรับเทศกาลปีใหม่
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไตรมาส 4 เติบโต 10% จากในช่วงไตรมาส 3 โต 3% และผลประกอบการสิ้นปีตั้งเป้าโต 3-4% จากยอดขาย 9 เดือน ราว 9,889 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.5% เป็น 711 ล้านบาท
**บิ๊กซีทุ่ม 6 พัน ล.ผุด 12 สาขารับเศรษฐกิจฟื้น
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทวางแผนลงทุนระหว่างปี 2553-2555 โดยทุ่มงบ 6,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขา 12 แห่งภายใน 3 ปี หรือลงทุนปีละ 2,000 ล้านบาท ขยาย 4 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ภายใต้การใช้งบ 300-600 ล้านบาทต่อสาขา
ทั้งนี้การเร่งขยายสาขาในเชิงรุกเพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว จากแนวโน้มกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย ขณะที่ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกน่าจะกลับมาคักคักและฟื้นตัวดีขึ้น
“การลงทุนของบิ๊กซีคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ราคาน้ำมัน ซึ่งพบว่า มีแนวโน้มว่าสูงขึ้น อัตราการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และสินค้าเกษตร จากปีนี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย บิ๊กซีมีความระมัดระวังด้านการลงทุนเป็นอย่างมาก โดยเราขยายสาขาเพิ่ม 1 สาขาเท่านั้น ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาขยายสาขาถึง 12 แห่ง”
สำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าผู้ประกอบการเร่งสร้างยอดขาย ด้วยการสร้างความแตกต่างเพื่อดูดใจผู้บริโภค ล่าสุดบิ๊กซีเปิดตัวแคมเปญ”ช้อปสนุก…ถูกชัวร์” โดยจัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ราคาเริ่ม 259 -2,369 บาท ให้เลือกสรร พร้อมกันนี้ได้เปิดบริการบิ๊ก คลิ๊ก หรือสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งได้เปิดบริการ 2 สัปดาห์
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตทรงตัวหรือ 2% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งเป้า 4-5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 9% ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้โต 4-5% เท่ากับปีนี้ เนื่องจากบริษัทมีการบริหารต้นทุนที่ดี โดยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ราว 478 ล้านบาท โต 4.6%
**ชี้ พ.ร.บ.ค้าปลีกซ้ำซ้อนวอนเอื้อธุรกิจทุกกลุ่ม
นางสาวจริยา กล่าวถึงพรบ.ค้าปลีกว่า ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ถูกควบคุมจากกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนแนวคิดที่นำเสนอครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่มองว่าเป็นกฎหมายที่ซ้ำซ้อนกันมากกว่า ควรเลือกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมาใช้มากกว่า ส่วนด้านนายปรีชา กล่าวว่า ไม่ว่าพรบ.ค้าปลีกจะออกมาทิศทางใด ต้องการให้เป็นกฎหมายที่เอื้อให้กับทุกธุรกิจได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
|