Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน16 พฤศจิกายน 2552
ลงทุนตรงจากตปท.10เดือนวูบ9หมื่นล.             
 


   
search resources

Investment




ผลพวงเศรษฐกิจ โลก 10 เดือนแรกปีนี้ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอมีมูลค่า 3.3 แสนล้านบาทลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนตรงต่างประเทศหรือ FDI มีมูลค่า 1.57 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9 หมื่นล้านบาทแต่สัญญาณช่วงก.ย.-ต.ค.เริ่มขยับจำนวนโครงการยื่นสูงสุดรอบ 10 เดือน บอร์ดบีโอไอเตรียมอนุมัติ 3 โครงการมูลค่า 4.4 หมื่นล้านบาท เผยผลสำรวจนักลงทุน ต่างชาติยันไม่มีการถอนลงทุนจากไทย

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยถึงยอด ขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่านบีโอไอ ในรอบ 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) พบว่า มีโครงการยื่นขอทั้งสิ้น 930 โครงการคิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 330,000 ล้านบาทโดยหากเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีที่ผ่านมาพบว่าจำนวนโครงการลดลงประมาณ 10% ส่วนมูลค่าการลงทุนลดลงประมาณ 9% โดยมูลค่าการลงทุนช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 367,000 ล้านบาท

สำหรับอุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจขอรับการส่งเสริมมากสุดเป็น อุตสาหกรรม บริการและสาธารณูปโภค มีมูลค่าการลงทุนรวม 180,600 ล้านบาท รองลงมาอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มี มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 47,400 ล้านบาท อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 39,700 ล้านบาท

ส่วนกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางหลังบีโอไอปรับเงื่อนไขและราคาจำหน่ายมีผู้สนใจยื่น 42 โครงการ ลงทุนรวมกว่า 3,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ที่มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมเพียง 3 โครงการ ลงทุนรวม 500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการ ลงทุนสร้างคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์

สำหรับยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากตรงจากต่างประเทศ(FDI) ช่วง 10 เดือน(ม.ค.-ต.ค.52) พบว่ามีมูลค่า 157,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุน 247,962 ล้านบาทคิดเป็นมูลค่าที่ลดลงประมาณ 90,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนประสบ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกทำให้การขยาย กิจการและการลงทุนใหม่ต้องชะลอออกไป

ทั้งนี้นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน มีมูลค่า 52,000 ล้านบาท รองมาคือ การลงทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า การลงทุนรวม 25,500 ล้านบาท กลุ่มประเทศอาเซียน มีมูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท และกลุ่มประเทศในยุโรป มีมูลค่ารวม 18,400 ล้านบาท ตามลำดับ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แจ้งว่าในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนวันที่ 16 พ.ย. นี้จะมีการพิจารณา อนุมัติโครงการลงทุน 3 โครงการมูลค่ารวม 44,500 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 1. บริษัท ชาร์พ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตเครื่องปรับอากาศปีละประมาณ 850,000 เครื่อง ตู้เย็นปีละประมาณ 750,000 เครื่อง และเครื่องปรับคุณภาพอากาศ ปีละประมาณ 1,000,000 เครื่อง มูลค่าเงิน ลงทุน 2,600 ล้านบาท 2. บริษัท เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 40,700 ล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้า 1,600 เมกะวัตต์ 3. บริษัท บริษัท เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ลงทุนให้บริการ ทดสอบและสำรวจโครงสร้างของแท่นขุดเจาะและตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,160 ล้านบาท

สำหรับผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำปี 2552 ซึ่งสำรวจระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2552 มีบริษัทฯ ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 576 ราย พบว่า ไม่มีนักลงทุนรายใดจะถอน การลงทุนออกจากประเทศไทย โดยนักลงทุน 58.9% ระบุว่า จะคงระดับการลงทุน ในไทยเท่ากับปัจจุบัน ในขณะที่นักลงทุน 24.7% จะขยายกิจการเล็กน้อย และนักลงทุน 5.2% มีแผนที่จะขยายการลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก เหตุผลในการตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทยต่อไป คือ อัตราค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสม สิทธิประโยชน์ และมาตรการส่งเสริมการลงทุน ความพร้อม ของโครงสร้างพื้นฐานในไทย แรงงานที่มีฝีมือ ความพร้อมของวัตถุดิบและชิ้นส่วน

อย่างไรก็ตาม พบว่า นักลงทุน 7.7% มีแผนลดขนาดการลงทุนลงเล็กน้อย และนักลงทุนประมาณ 3.6% จะลดขนาดการลงทุนในไทยลงอย่างมาก โดยมีสาเหตุจากเศรษฐกิจโลกถดถอย และเสถียรภาพ ทางการเมืองของไทย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us