|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล. กิมเอ็ง เผยแผนปีหน้าเน้นฐานขยายฐานนักลงทุนรายย่อย คาดลูกค้าใหม่เปิดบัญชีอีก 1 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มี 7 หมื่นบัญชี "มนตรี" แจงเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได กระทบกำไรสุทธิลดลง 15% จากขนาดตลาดหุ้นไทยไม่เพิ่มขึ้น หวังงาน เซ็ตอินเดอะ ซิตี้ ได้ลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 พันบัญชี
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2553 บริษัทจะเน้นการขยายฐานนักลงทุนรายย่อย ซึ่งคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาเปิดบัญชี จำนวน 10,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มี ประมาณ 70,000 บัญชี และจากการร่วมจัดบูธในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจร SET in the City คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชี ไม่ต่ำกว่า 1,000 บัญชี
" บริษัทมีฐานนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อย โดยจะเน้นในเรื่องการทำงานวิจัยให้อ่านเข้าใจง่าย เพื่อช่วยนักลงทุนสามารถนำไปประกอบการรตัดสินใจในการลงทุนได้ง่ายและเรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่รองรับให้นักลงทุนสามารถเข้าถีงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ง่าย เราเราจึงมีแผนที่จะขยายนักลงทุนกล่มนี้ " นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ จากการขยายฐานนักลงทุนรายย่อยบริษัทคาดส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยูที่ระดับ 12-13% จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 12% และจากการที่ปีหน้าจะมีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันไดนั้น ลูกค้าของบริษัทที่มีการซื้อขายต่อวันมากกว่า 5 ล้านบาทไม่มากนัก โดยบริษัทคาดว่าจากการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้น จะส่งผลกระทบทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 15% หากขนาดตลาดหุ้นไทยไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่จากการที่ค่าคอมมิชชั่นมีการปรับตัวลดลงนั้น เชื่อว่าจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 240.84 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 89.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 152.21 ล้านบาท คิดเป็น 171.78 % เนื่องจากรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ส่วนรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลงจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงและจำนวนเงินสำรองเพื่อรองรับธุรกิจปกติสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
|
|
|
|
|