“พฤกษา” สยายปีกธุรกิจอสังหาฯต่างจังหวัด- ต่างประเทศ เผยเจรจารัฐบาลประเทศมัลดีฟจีบสร้างคอนโดฯปีละ 1,000 ยูนิต คาดโครงการแรกลงทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ เริ่มต้นปี 53 ส่วนแผนปีหน้าทุ่มงบกว่า 7,000 ล้านบาทซื้อที่ดิน 50 แปลง เปิด 48 โครงการใหม่ มูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้าน เผยสั่งซื้อวัสดุล่วงหน้า 1-2 ปีคุมต้นทุน
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด หรือ PS เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลประเทศมัลดีฟเข้ามาเจรจาให้บริษัทเข้าไปลงทุนสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนในมัลดีฟเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้และข้อกฎหมายในการลงทุนของมัลดีฟ โดยในเบื้องต้นรัฐบาลมัลดีฟระบุว่า มีความต้องการปีละ 1,000 ยูนิต และต้องการให้สร้างที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯสูง 4-5 ชั้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะต้องศึกษาต้นทุนการก่อสร้างที่คาดว่าจะแพงกว่าปกติ เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่บนเกาะ โดยโครงการแรกคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
“บริษัทได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุน ข้อกฎหมายของการลงทุนว่า สามารถลงทุนโดยตรง 100% ได้หรือไม่ หากไม่มีข้อบังคับก็จะตั้งบริษัทลูกขึ้นเพื่อลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งหลังจากซื้อที่ดินได้แล้วจะต้องขออนุญาตก่อสร้างใช้เวลาประมาณ 3 เดือนหรือประมาณต้นปี 53 จึงจะสามารถลงมือพัฒนาได้”
ส่วนการที่รัฐบาลได้ลงนามเพื่อสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนอสังหาฯและบริษัทออกแบบในต่างประเทศว่า เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะจะทำให้มีความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงด้านการลงทุน อีกทั้งการให้เงินกู้เพื่อลงทุนยิ่งเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการไทย ในส่วนบริษัทขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนที่อยู่ระหว่างศึกษาและสำรวจสถานที่
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนที่เมืองบังกะลอร์ ประเทศอินเดีย บริษัทได้ซื้อที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว จำนวน 65 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตจัดสรรโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ส่วนประเทศเวียดนามอยู่ระหว่างการจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนและดำเนินการซื้อที่ดิน ที่เมืองไฮฟอง จำนวน 145 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯและทาวน์เฮาส์
นอกจากนี้ การขยายการลงทุนในต่างประเทศแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดด้วย โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมเรื่องทำเล ชลบุรี ภูเก็ต ขอนแก่น จากที่เห็นการพัฒนาโครงการที่นครปฐมในไตรมาส 4 นี้ ซึ่ง เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการรูปแบบทาวเฮาส์หรือบ้านเดี่ยวระดับราคา 2-2.5 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก และปูนมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากราคาน้ำมัน แต่บริษัทก็ได้รองรับความเสี่ยงดังกล่าว ด้วยการประมูลซื้อล่วงหน้า 1- 2 ปี โดยใช้สัญญาค้ำประกันจากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ สั่งซื้อเหล็กล่วงหน้า 2 ปีในราคา 19 บาท ส่วนปูนก็เช่นเดียวกันโดยจะเปิดประมูลปีต่อปี
“ เรื่องของมาตรการทางภาษีอสังหาฯนั้น หากรัฐบาลไม่ได้ต่อมาตรการ ซึ่งจะสิ้นสุดเดือนมี.ค.ปีหน้า ก็อาจจะทำให้ผู้ซื้อตกใจกับราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับขึ้นไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และอาจทำให้ตลาดรวมเติบโตไม่มาก ”
ทุ่ม7พันล.ซื้อที่ดินตั้งเป้าโต33%
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาฯ เปิดเผยว่า สำหรับแผนการลงทุนในปี 53 เตรียมงบซื้อที่ดินประมาณ 7,000-7,500 ล้านบาท หรือประมาณ 50 แปลง โดยจะเปิดโครงการประมาณ 48 โครงการ มูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวรวมโครงการในต่างจังหวัดและต่างประเทศด้วย โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตประมาณ 33%
สำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับการเปิดตัวในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาที่เปิดไปแล้ว 17 โครงการ คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายคาดว่าจะทำได้เกิน 20,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ 15,202 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 8,331 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้า ด้วยการเพิ่มแบรนด์ใหม่อีก 3 แบรนด์ ได้แก่ The Tree เป็นโครงการคอนโดฯ บีโอไอ, แบรนด์ Urbano ทาวเฮาส์ ใกล้เมืองระดับราคา 1.8-3 ล้านบาท โครงการแรกเปิดในย่านสุขาภิบาล 3 มูลค่า 600 ล้านบาท และแบรนด์ The Seed Theme คอนโดฯ ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์จัดอยู่ใน 17 โครงการที่เตรียมจะเปิดตัวในไตรมาส 4 นี้ด้วย
LHกำไรสุทธิโตเกินคาด22%
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3/52 บริษัทฯ และบริษัทย่อยโอนบ้านรวม5,023 ล้านบาท เพิ่ม40.8% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี51 เพิ่ม5.1% เทียบกับไตรมาส 2ที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น34.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี51 และ5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส2ของปี
ทั้งนี้ ในช่วง9 เดือนแรกของปีบริษัทฯมียอดขายรวม12,768 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,906 ล้านบาท โดยยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนแรก ดีกว่าประมาณการที่บริษัทฯทำไว้7% ในขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิทำได้สูงกว่าประมาณการ22% ซึ่งสาเหตุที่ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย เนื่องจากสามารถทำกำไรขั้นต้นได้สูงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายทางด้านการขายและบริหารที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าประมาณการค่าใช้จ่ายที่ได้ตั้งไว้ นอกจากนั้น ส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมก็สูงกว่าที่เคยประมาณไว้ เนื่องจากบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานดีเกินประมาณการณ์
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี52 บริษัทฯ ได้เปิดโครงการใหม่รวม8 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 11,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายอีก 2 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ใช้เงินซื้อที่ดินใหม่เข้ามา 2,500 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีบริษัทฯ จะซื้อที่ดินทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่เคยประมาณการไว้เพียง 3,000 ล้านบาท
|