แอล.พี.เอ็น.ฯ สยายปีกลุยโครงการต่างจังหวัด เน้นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญ ห่างกทม.ไม่เกิน 2 ชม. เล็งซื้อที่ดินใหม่1-2แปลงผุดคอนโดฯไฮไลท์-โลว์ไรส์ ราคาไม่เกิน1ล้าน รองรับลูกค้าต่างจังหวัด เผยแผนปี53ผุด 8-10โครงการ มูลค่ารวม 13,000-15,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปีหน้ายอดขาย13,000 ล้านบาท เชื่อ”ไทยเข้มแข็ง”ดันคอนโดฯปรับราคาใหม่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทมีนโยบายการขยายฐานลูกค้าออกไปในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและวางรูปแบบการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด โดยเบื้องต้นจะพิจารณาปัจจัยเรื่องพื้นที่และทำเลในการพัฒนาโครงการ ต้องไม่ห่างจากกรุงเทพฯเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง ต้องเป็นหัวเมืองใหญ่ มีแหล่งงานหนาแน่น เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว หรือ เขตอุตสาหกรรมที่มีชุมชนขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในการเตรียมแผนการขยายตลาดไปในต่างจังหวัดนั้น บริษัทฯต้องศึกษาและเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น การตอบรับของตลาด ความต้องการ(ดีมานด์)ในพื้นที่ การรับรู้แบรนด์ของLPN และการเงินของบริษัทฯ ซึ่งในส่วนของเงินทุนนั้นไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนที่สำคัญในการ คือ เรื่องของดีมานด์ และการตอบรับของตลาด
ทั้งนี้ ปัจจุบัน LPN อยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อที่ดินในต่างจังหวัด อยู่ 1-2 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งถือว่าเป็นโครงการแรกที่จะขยายตลาดในต่างจังหวัด โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีทั้งในส่วนของคอนโดฯแบบสูงไม่เกิน 8 ชั้น (โลว์ไรท์)และคอนโดฯแนวสูง(ไฮท์ไรท์)
“ที่ผ่านมา LPNไม่มีโครงการในต่างจังหวัด และกลุ่มลูกค้าเดิมของบริษัท ได้แสดงความต้องการเข้ามา ที่จะซื้อคอนโดมิเนียมในแบรนด์ของLPNในต่างจังหวัดไว้อยู่อาศัยบ้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ พัทยา ประจวบฯ หัวหิน ชะอำ และภูเก็ต ”
นอกจากนี้ LPNยังอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อที่ดินแปลงใหม่ทั้งในกทม.และ ปริมณฑล เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ในปี53 โดยเฉพาะในโซนรังสิต ที่บริษัทสนใจจะเข้าไปพัฒนาโครงการในปีหน้า เพราะเป็นโซนที่บริษัทยังไม่เคยเข้าไป โดย LPNได้เตรียมงบจำนวน 1,000 - 1,500 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินเข้ามารองรับการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก 8-10โครงการ มูลค่ารวม 13,000-15,000 ล้านบาท
โดยในปีหน้า ทางบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 52 ประมาณ 15-20% ในขณะที่ยอดรับรู้รายได้คาดว่าจะแตะระดับ 10,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรก เนื่องจากบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะยกไปรับรู้ในปี53 ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งมาจาก โครงการคอนโดทาวน์ รามอินทรา-นวมินทร์ 2,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการอื่นๆ เช่น รัตนาธิเบศร์ และพระราม 8 ฯลฯ
สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้ว 6,800 ล้านบาท (จากเป้า 8,000 ล้านบาท) เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15% โดยในส่วนที่เหลือ 1,200 ล้านบาท จะเริ่มทยอยรับรู้จากโครงการรามอินทรา-หลักสี่ และโครงการพระราม8 และโครงการปิ่นเกล้าบางส่วน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนหน้านี้บริษัทจะเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการคือ โครงการลุมพินี พาร์ค ปิ่นเกล้า มูลค่าขาย 1,300 ล้านบาท และโครงการลุมพินี วิลล์ โชคชัย 4 มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยทั้ง2 โครงการนี้จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปี2554
นายโอภาส กล่าวถึงแนวโน้มคอนโดฯในปีหน้าว่า มีโอกาสปรับราคาขึ้นเนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างและราคาวัสดุปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ ปรับตัวขึ้น จะทำให้ราคาเหล็ก ปูนซิเมนต์ปรับตัวตาม ส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ ที่ต้องปรับราคาขายตามต้นทุนด้วย แต่ในส่วนของ LPNนั้นจะปรับขนาดห้องเพื่อทดแทนการปรับขึ้นราคา เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อห้องชุดของบริษัทได้
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีนี้ LPN ได้จัดทำแคมเปญ “ 30Happydays ” โดยนำ 4 ศิลปินตัวแทนคนรุ่นใหม่เข้ามาอาศัยจริงในคอนโดฯ LPN 30 วัน เพื่อเป็นการตอบโจทย์ท้าทายสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสื่อแนวคิด “ ชุมชนน่าอยู่” พร้อมถ่ายทอดการใช้ชีวิตของศิลปินทั้ง 4 ผ่านเว็บไซต์ www.30happydays.com ในรูปแบบ Webpisode เป็นครั้งแรกของวงการคอนโดฯ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการเลือกซื้อคอนโดฯที่อยู่แล้วมีความสุข เพื่อคุณภาพชีวิตคนเมือง
ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมาการทำแคมเปญและโฆษณาประชาสัมพันธ์ของบริษัทผ่านสื่อ ออนไลน์นั้นมีไม่มาก เนื่องจากสื่อออนไลน์ยังไม่แพร่หลาย แต่ในปัจจุบันการเข้าถึงสื่อออนไลน์สามารถทำได้อย่างกว้างขวาง และเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ สัด ส่วนการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของลูกค้าที่มีต่อบริษัทในปัจจุบัน เพิ่มขึ้น 15-20% จากเดิมสัดส่วนไม่ถึง 5%
|