|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ไม่เพียงเป็นบรรษัทที่ได้รับการจัดลำดับให้อยู่ในบัญชีของ Fortune 500 ในฐานะที่เป็นบรรษัทขนาดใหญ่ลำดับที่ 95 ในปี 2008 และลำดับที่ 80 ในปี 2009 แต่การที่ Financial Times ระบุถึง PETRONAS ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งใน "new seven sisters" ซึ่งหมายถึงบรรษัทด้านพลังงานจากประเทศนอกกลุ่ม OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในห้วงเวลาปัจจุบันกำลังฉายภาพบทบาทและสถานะของ PETRONAS ในระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดี
นิยามเกี่ยวกับ seven sisters ในวงการพลังงานในอดีต อาจหมายถึงกลุ่มบรรษัทด้านพลังงาน 7 แห่งที่ครอบงำและ ผูกขาดกลไกทางตลาดพลังงานของโลก ก่อนที่ OPEC (Organization of Petroleum Exporting Countries) จะก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 และทำให้อิทธิพลของกลุ่มบรรษัทเหล่านี้ลดลงไป
มรดกของ seven sisters ดังกล่าวไม่ได้จบสิ้นลง เพราะสมาชิกในกลุ่มเดิมได้ผ่านการควบรวมและผนวกกิจการกันเองอีกหลายครั้ง ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบรรษัทเหล่านี้ได้รับการกล่าวถึงในฐานะ "Supermajors Group" ประกอบด้วย ExxonMobil, Chevron, Royal Dutch Shell และ British Petroleum ที่ล้วนแต่มีบทบาทนำในตลาดพลังงานของโลก
ในกรณีของอินโดนีเซีย ซึ่งแม้จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ OPEC แต่ PERTAMINA (Perusahaan Tambang Minyak Negara: State Oil Extraction Company) ก็ไม่ได้ ดำเนินกิจการสำรวจหรือขุดเจาะเองมากนัก หากยังต้องพึ่งพาบรรษัทพลังงานข้ามชาติรายใหญ่ในการผลิต ทำให้ PERTAMINA กลายเป็นองค์กรที่สร้างหนี้ให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย อย่างมหาศาลในเวลาต่อมา
สำหรับมาเลเซีย การสำรวจและขุดเจาะหาน้ำมันทั้งใน Sarawak และ Sabah บนเกาะ Borneo ดำเนินการโดยมี Royal Dutch Shell เป็นผู้รับสัมปทานหลัก ขณะที่แหล่งพลังงานในพื้นที่คาบสมุทร ก็มีบรรษัทพลังงานข้ามชาติ ทั้ง Esso Continental Oil และ Mobil เป็นผู้เข้าแสวงประโยชน์อยู่เช่นกัน
การเกิดขึ้นของ PETRONAS หรือ Petroliam Nasional Berhad ในปี 1974 แม้จะได้รับแรงบันดาลใจและอาศัย PERTAMINA ของอินโดนีเซียเป็นต้นแบบในการจัดตั้งองค์กรในระยะเบื้องต้น หากวิถีปฏิบัติของ PETRONAS กลับให้ภาพและผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะแผนการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติดังกล่าว ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ได้รับการบรรจุให้อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (New Economic Policy) มาตั้งแต่เมื่อปี 1971 เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ดุลยภาพในอุตสาหกรรมน้ำมันและพลังงานของโลกกำลังเคลื่อนย้ายจากบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่ไปอยู่ที่กลุ่ม OPEC มากขึ้น
วิกฤติการณ์ด้านพลังงาน (Oil Crisis) ในปี 1973-1974 กลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ รัฐบาลมาเลเซียพยายามแสวงหาหนทางที่จะลดทอนการพึ่งพิงพลังงานจากต่างประเทศ รวมถึงจำกัดการลงทุนเพื่อสำรวจและผลิตของบรรษัทน้ำมันข้ามชาติให้อยู่ในระดับที่น้อยลงไปด้วย
ภารกิจแรกๆ ของ PETRONAS อยู่ที่การเข้าเจรจากับ Royal Dutch Shell และESSO เพื่อปรับเปลี่ยนสัญญาสัมปทาน โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยการแบ่งสัดส่วนผลผลิต และการเข้าร่วมทุนของ PETRONAS
การได้รับส่วนแบ่งผลผลิตน้ำมันทำให้ PETRONAS สามารถนำน้ำมันที่ได้จากคู่สัญญามาจำหน่ายในตลาดมาเลเซียได้โดยตรง ซึ่งสามารถลดทอนปริมาณการนำเข้าน้ำมันลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้ส่งน้ำมันที่ได้ไปสู่ตลาดโลก ซึ่งทำให้มาเลเซียกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิอีกรายหนึ่งของโลก
แต่ปริมาณการส่งออกของมาเลเซียยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ที่จะทำให้มาเลเซียได้รับสิทธิในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OPEC
ขณะเดียวกันจังหวะก้าวของ PETRONAS ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความสามารถในการสร้างโอกาสจากกรอบความร่วมมือ ASEAN อย่างสำคัญอยู่ที่การได้รับเลือกให้สร้างโรงงานผลิตปุ๋ยยูเรีย ภายใต้ชื่อ ASEAN Bintulu Fertilizer (ABF) ตามโครงการลงทุนร่วมด้านอุตสาหกรรมของ ASEAN ในปี 1976 หรือเพียง 2 ปีภายหลังการจัดตั้ง PETRONAS เท่านั้น
ความเคลื่อนไหวของ PETRONAS ดังกล่าวสะท้อนความมุ่งหมายของรัฐบาลมาเลเซียในการจัดตั้ง PETRONAS ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะกรณีของน้ำมันเท่านั้น หากยังแผ่ครอบคลุมไปสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและรวมถึงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติเหลว (liquefied natural gas: LNG) ด้วย
ยุทธศาสตร์ของมาเลเซียเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ LNG โดย PETRONAS เริ่มขึ้นด้วยการต่อเรือบรรทุกก๊าซ (tanker) เพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเหล่านี้ แทนการเช่าเรือของผู้ประกอบการต่างชาติ และเป็นการสร้างระบบการขนส่งก๊าซที่มาเลเซียเป็นผู้ควบคุมเอง
LNG กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญสำหรับ PETRONAS และมาเลเซีย เนื่องเพราะปริมาณน้ำมันสำรองที่สำรวจและขุดเจาะอยู่ในมาเลเซียมีแนวโน้มจะหมดสิ้นลงในอนาคตอันใกล้ และการแสวงหาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อทดแทนน้ำมันจึงเป็นประหนึ่งยุทธศาสตร์ทางเลือกที่เติมเต็มวิสัยทัศน์การพัฒนาของมาเลเซีย มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 และได้รับการเน้นย้ำความสำคัญจากแนวนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างมาเลเซียไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมด้วย
การลงทุนของ PETRONAS โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโครงการ Peninsular Gas Utilization Project (Projek Penggunaan Gas Semenanjung) มีเป้าหมายจะสร้างหลักประกันให้ทุกส่วนของพื้นที่ในแหลมมลายูสามารถเข้าถึงและใช้ก๊าซธรรมชาติเหล่านี้เป็นปัจจัยการผลิตในระบบอุตสาหกรรมได้
นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันสำรองที่ลดลงส่งผลให้ PETRONAS และรัฐบาลมาเลเซีย ต้องดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุกในการเข้าไปสำรวจและผลิตน้ำมันในต่างแดนไปโดยปริยาย
PETRONAS Carigali Overseas Sdn. Bhd. หน่วยงานใหม่ที่จัดตั้งขึ้นในปี 1990 กลายเป็นจักรกลสำคัญในการรุกคืบไปยังแหล่งทรัพยากรของประเทศรอบข้าง ทั้งการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบรรษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ Idemitsu Myanmar Oil Exploration ซึ่งถือเป็นการสำรวจแหล่งน้ำมันนอกอาณาเขตมาเลเซียเป็นครั้งแรกของ PETRONAS ด้วย
ยังไม่นับรวมถึงการรุกเข้าไปสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเวียดนามและความร่วมมือกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนนอกชายฝั่งทะเล (Joint Development Area) และการส่งก๊าซธรรมชาติผ่านระบบท่อเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งก็คือการเติมเต็มพัฒนาการในระยะที่สามให้กับระบบของ Peninsular Gas Utilization Project ที่ดำเนินการวางแนวท่อส่งก๊าซตามแนวชายฝั่งทั้งด้านตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียมาก่อนหน้านี้แล้ว
การเข้าสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ PETRONAS มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพียงพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มสมาชิก ASEAN เท่านั้น หากยังรุกเข้าสู่เอเชียใต้และตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสำรวจแหล่งน้ำมันในปากีสถานหรือการลงนามในสัญญาแบ่งส่วนผลผลิต (production sharing contracts: PSCs) ในแหล่งผลิต ของอิหร่าน
นอกจากนี้ PETRONAS ยังรุกเข้าสู่ทวีปแอฟริกา ทั้งในกรณีของ Chad-Cameroon Integrated Oil Development and Pipeline Project และถือครองสัญญา PSCs ที่จะเป็นหลักประกันในปริมาณน้ำมันและก๊าซจากแหล่งผลิต 8 แห่งใน 8 ประเทศ ซึ่งรวม ถึงการผลิตจากแหล่งผลิตใน Gabon Niger Egypt และ Yemen ด้วย
ขณะเดียวกันพัฒนาการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของ LNG หลังจากที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ Tiga เสร็จสมบูรณ์ในปี 2003 ได้ส่งผลให้มาเลเซียเบียดแซง Algeria ขึ้นมาอยู่ในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิต LNG รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกในปัจจุบัน
PETRONAS กำลังก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าร่วมกับ Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบีย JSC Gazprom จากรัสเซีย CNPC ของจีน NIOC ของอิหร่าน PDVSA ของเวเนซูเอลา และ PETROBRAS จากบราซิล ที่เป็นประหนึ่ง new seven sisters ในวงการพลังงานในยุคปัจจุบัน
จังหวะก้าวของ PETRONAS ดังกล่าว ทำให้สำนักข่าว Bernama ของมาเลเซียกล่าวถึงบรรษัทน้ำมันที่จัดตั้งโดยรัฐบาลแห่งนี้ว่า "มีสถานะเป็นมากกว่าบรรษัทพลังงานระดับโลก หากกำลังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของวิสัยทัศน์ในการพัฒนามาเลเซีย" เลยทีเดียว
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือในขณะที่ PETRONAS ทำหน้าที่ประหนึ่ง "ผู้ถือธงนำ" ภายใต้การสร้างหลักประกันด้านพลังงาน สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมให้กับมาเลเซียอย่างมีเอกภาพและสอดรับกับเข็มมุ่งที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมของมาเลเซีย
ประเทศไทยกลับไม่สามารถผลิตสร้างหรือวางนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมที่เด่นชัดมากนัก
บางทีสังคมไทยอาจต้องเริ่มถอยห่างจากมายาภาพ และกลับมาทบทวนประเมินบทบาทที่ผ่านมา เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมและสามารถดำเนินการให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติอย่างจริงจังกันได้แล้ว
|
|
|
|
|