Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา พฤศจิกายน 2552
China’s High-Speed Dream             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 


   
search resources

Transportation




เดือนตุลาคม 2552 ผมกลับมายังมหานครเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง

บนเส้นทางระหว่างสนามบินผู่ตง กับย่านใจกลางเมือง เจ้ารถไฟพลังแม่เหล็ก Meglev (Magnetic-Levitation) ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างดีมาตลอด 5 ปีกว่า นับตั้งแต่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในเดือน มีนาคม 2547

รถไฟพลังแม่เหล็ก Meglev สายนี้ เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายแรกที่จีนนำเข้าเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี มาสร้างขึ้นเพื่อทดลองใช้จริงโดยมีระยะทางทั้งสิ้นเพียง 30.5 กิโลเมตร แต่ละเที่ยวของการเดินทางผู้โดยสารจะใช้เวลาในการเดินทางเพียง 7.20-8.10 นาที ทว่าด้วย ระยะทางวิ่งที่สั้นทำให้แม้เจ้า Meglev จะมีศักยภาพในการทำความเร็วได้สูงสุดถึง 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ความเร็วเฉลี่ยในการใช้งานจริงก็เพียงแค่ราว 220-250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น

พ.ศ.2552 ขณะที่คนในประเทศไทย กำลังถกเถียงกันเรื่องรถไฟตกรางที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ควรจะเป็นพนักงานขับรถที่ประมาทเลินเล่อ หรือผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ไร้ประสิทธิภาพ เหนือประเทศไทยขึ้นไปไม่กี่กิโล เมตร ประเทศเพื่อนบ้านของเรากำลังวางแผนเพื่อจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำในโลกของรถไฟความเร็วสูงและกำลังจะเป็นประเทศที่มีเครือข่ายของรถไฟ ความเร็วสูงที่ครอบคลุมและกว้างขวางที่สุดในโลก

เมื่อเกือบ 5 ปีก่อน ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับกิจการรถไฟของประเทศจีนเอาไว้ตอนหนึ่งว่า

"ในการเดินทางต่างเมืองในประเทศจีน 'รถไฟ' เป็นพาหนะที่ปลอดภัยและราคาย่อมเยาที่สุด โดยเทศกาลอย่างเช่นตรุษจีน วันแรงงานในช่วงต้น เดือนพฤษภาคม และวันชาติต้นเดือนตุลาคมนั้น การหาซื้อตั๋วรถไฟในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะตั๋วตู้นั่ง ถือว่ายากลำบากอย่างยิ่ง

"ด้วยขนาดของประเทศจีนที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยมีพื้นที่ใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปทั้งทวีป คนจีนนับว่าเป็นชาติที่อาศัยรถไฟเพื่อการเดินทางมากที่สุดในโลก (จนถึงกับมีการตั้งกระทรวง รถไฟ หรือ Ministry of Railways ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ) แม้จะมีสถิติระบุว่า เมื่อเอาทางรถไฟในประเทศจีนมาหารกับจำนวนประชากรแล้ว คนจีนทุกคนจะเป็นเจ้าของทางรถไฟความยาวเพียงแค่หนึ่งมวนบุหรี่เท่านั้นเอง..."

สำหรับชาวต่างชาติ (โดยเฉพาะคนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศจีนกับคณะนำเที่ยว) โอกาสที่จะเข้าไปสัมผัสกับ "วิถีแห่งรถไฟของชาวจีน" นั้นถือว่ามีค่อนข้างน้อย สังเกตได้จากการที่บริษัทนำเที่ยวในประเทศไทยทั้งหลายนั้นแทบจะไม่บรรจุวิธีการเดินทางโดยรถไฟลงไปในแผนและตารางกำหนดการเดินทางเลย

ที่เป็นเช่นนั้นมิใช่รถไฟจีนคุณภาพไม่ดี มีน้อยเที่ยว หรือไม่ตรงต่อเวลา ในทางตรงกันข้าม รถไฟจีนนั้นมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าเกินประเทศไทยไปมาก แต่ที่คนไทยไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งรถไฟจีนก็เพราะรถไฟเป็นพาหนะในการคมนาคมระหว่างเมืองที่คนจีนนิยมมากที่สุด ทำให้มีการเปิดจองและ เปิดขายตั๋วล่วงหน้าเพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้การหาซื้อตั๋วโดยสารที่ต้องการไม่ง่ายนัก

นับตั้งแต่ที่ผมเขียนบทความเรื่อง "จีนกับรถไฟความเร็วสูง" ตีพิมพ์ลงในนิตยสารผู้จัดการในปี 2548 ถึงปัจจุบัน โครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟ จีนได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนแทบจะตามไม่ทัน

กรกฎาคม 2549 ประเทศจีนมีการเปิดเดิน รถไฟเส้นทางชิงจั้ง โดยเป็นเส้นทางรถไฟสายแรกและสายสูงที่สุดในโลกที่เชื่อมจากมณฑลชิงไห่ไปยังนครลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต โดยจุดสูงสุดของทางรถไฟสายนี้นั้นอยู่ที่ "ด่านถังกู่ลา" ซึ่งมีความสูงถึง 5,072 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ก่อนมหกรรม กีฬาโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น การรถไฟจีนก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกที่วิ่งระหว่างสองเมืองใหญ่คือ เส้นทางรถไฟระหว่างนครปักกิ่ง-เทียนจิน โดยเส้นทางระหว่างเมือง หลวงและเมืองท่าสองแห่งนี้มีความยาวประมาณ 114 กิโลเมตร ซึ่งรถไฟปกติใช้เวลาเดินทางประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่รถไฟความเร็วสูง หรือ CRH (China Railway High-speed) ที่วิ่งบนเส้นทางนี้สามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางให้เหลือเพียง 30 นาทีได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

กระทั่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสื่อทั่วโลก โดยเฉพาะจากฝั่งอเมริกาต่างตีพิมพ์รายงานและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศจีนด้วย ความตื่นตระหนกว่าภายในปี พ.ศ.2563 (ค.ศ.2020) หรืออีกเพียงหนึ่งทศวรรษข้างหน้า จีนจะสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 25,000 กิโลเมตร โดยการลงทุนครั้งนี้จะเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าและใช้ทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล กล่าวคือ ตลอดระยะเวลาของโครงการ 16 ปี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2548 ถึง 2563 (ค.ศ.2005-2020) จีนได้เตรียมเงินลงทุนเอาไว้แล้ว 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราว 10.5 ล้านล้านบาท) โดยในปีนี้ (2552) เพียงปีเดียวรัฐบาลจีนได้จัดสรรเงินมาเพื่อการลงทุนเกี่ยวกับการรถไฟนี้มากถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.75 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้เพื่อบรรลุภารกิจดังกล่าว จีนจะต้อง มีการใช้คอนกรีตมากถึง 117 ล้านตัน และต้องใช้เหล็กจำนวนมากจนสามารถสร้างสนามกีฬารังนก สนามกีฬาโอลิมปิกอันโด่งดังแห่งกรุงปักกิ่งได้ถึง 120 สนามเลยทีเดียว

ด้วยขนาดการลงทุนที่มหาศาลดังกล่าวทำให้ จอห์น สเกล ผู้เชี่ยวชาญด้านการคมนาคมจีนของธนาคารโลกถึงกับให้ความเห็นว่า การลงทุนในการก่อสร้างเครือข่ายทางรถไฟของจีน ณ ปัจจุบันนั้นมีความใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยหากจะเปรียบเทียบก็คงพอๆ กับระดับการเติบโตของทางรถไฟในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20

ทั้งนี้ ในบรรดาเส้นทางรถไฟทั่วประเทศจีนครอบคลุมกว่า 86,000 กิโลเมตร เส้นทางรถไฟสาย ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ หรือที่ชาวจีนเรียกสั้นๆ ว่า "สายจิงฮู่" ถือเป็นเส้นทางระหว่างเมืองสำคัญและ มีผู้ใช้บริการมากที่สุดของประเทศจีน ด้วยเมืองหนึ่ง เปรียบได้กับศูนย์กลางทางการปกครองของจีน ส่วน อีกเมืองหนึ่งคือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงขึ้นมาก่อน

สำหรับเส้นทางรถไฟสายดังกล่าวนั้นมีความยาวทั้งสิ้น 1,318 กิโลเมตร ซึ่งหากเดินทางด้วยรถไฟ ปกติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ชั่วโมง ทว่าหากเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงที่หัวรถจักรสามารถทำ ความเร็วได้สูงสุดถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะเวลาในการเดินทางจะลดลงเหลือเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเมื่อรถไฟความเร็ว สูงสายนี้สร้างเสร็จจะมีผู้ใช้บริการมากถึงวันละ 220,000 คน โดยในบางช่วงเวลารถไฟสายด่วนนี้จะออกเดินทางทุก 5 นาที

รถไฟสายจิงฮู่นี้เริ่มการก่อสร้างไปเมื่อเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา ด้วยเงินทุนก่อสร้างสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 22,000 ล้านหยวน หรือตีเป็นเงินไทยมากกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยเป็นระบบรถไฟความเร็วสูงที่ใช้เงินและเทคโนโลยีรถไฟที่ก้าวหน้าที่สุดของจีนในปัจจุบัน

ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 โครงการขยายเครือข่ายทางรถไฟของจีนไม่เพียงเป็นโครงการที่ช่วยต่อเติมความฝันทางรถไฟยาวแสนกิโลเมตรของชาวจีน แต่ ยังเป็นโครงการการใช้จ่ายภาครัฐ (Government Spending) ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนได้เป็นอย่างดี โดยเงินจำนวนมากมีที่มาจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือเกือบ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องใช้เงินทั้งหมดภายในปีหน้า (พ.ศ.2553)

ตามรายงานของกระทรวงรถไฟจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบุว่าปัจจุบันรัฐบาลจีนได้ทุ่มเทสรรพกำลังในการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงความยาวกว่า 1,300 กิโลเมตรนี้ด้วยคนงานกว่า 110,000 คนเพื่อจะเนรมิตให้เสร็จทันในช่วงปลายปี 2554 และเปิดใช้เชิงพาณิชย์ในปี 2555

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาระหว่างการเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ผมเห็นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมีโอกาสได้นั่งรถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง-เทียนจินแล้ว

หากรัฐบาลไทยหวังจะให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งอย่างโครงการที่โฆษณาเอาไว้ ผมหวังว่าโครงการรถไฟรางคู่ร้อยกว่ากิโลเมตร (ที่โปร่งใส) และประชาชนคาดหวังเอาไว้ก็ไม่น่าจะเป็นหมันอีก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us