|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์กรุงศรีเผยตั้งเป้าสินเชื่อรวมปี 53 โตราว 6% ตามจีดีพี ปีหน้าที่คาดว่าจะโต 3% มั่นใจปีนี้ทำงานเข้าเป้าหลังรุกซื้อจีอีมันนี่ไทยแลนด์ ดึงยอดสินเชื่อพุ่ง เผยภายหลังควบรวมสินเชื่อรายย่อยแตะสัดส่วน 42% จากปัจจุบันอยู่ที่ 36% ย้ำเดินหน้าแผนซื้อกิจการต่อยอดทางธุรกิจ ล่าสุดเอาใจแฟนแมนยูในไทย ออกบัตรเดบิต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งเป้าสิ้นปีหน้ามียอดบัตร 3 แสนบัตร
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า เป้าหมายการสินเชื่อรวมของธนาคารในปี 2553 ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนงาน ซึ่งคาดว่าธนาคารจะสามารถประกาศแผนปีหน้าได้ประมาณเดือนมกราคมปีหน้า แต่โดยหลักแล้วการธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ( จีดีพี)ของประเทศซึ่งฝ่ายวิจัยของธนาคารคาดว่า จีดีพี ในปีหน้าจะโตอยู่ที่ราว 2.5%-3.5% หรือโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ดังนั้นจึงประเมินเป้าสินเชื่อในปีหน้าโต 1.5 เท่าของจีดีพีที่ประมาณ 6%
ส่วนการดำเนินธุรกิจต่างๆภายในปีนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน แม้ว่าในการตั้งเป้าดังกล่าวในตอนต้นปีจะอยู่ภายใต้การคาดว่าจีดีพีปีนี้จะเป็นบวกก็ตาม โดยธนาคารก็จะยังคงเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมไว้ตามเดิมที่ 6% หรือคิดเป็นมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท และพยายามทำให้ได้ตามนั้น แม้ว่า 9 เดือนที่ผ่านมาธนาคารทำได้เพียง 0.1% หรือคิดเป็นมูลค่า 500 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจากการซื้อธุรกิจของ GE Money Thailand (GEMT) จะดันสินเชื่อรวมให้โตได้ตามเป้าหมาย
ด้านการบริหารต้นทุนต่างๆ ได้แก่ เงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวัน โครงสร้างสินเชื่อในส่วนของรายย่อย และอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ธนาคารตั้งเป้าอยู่ที่ 34%, 36% และ 4.2% ตามลำดับ ซึ่ง 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำได้ 40%, 36% และ 3.87% ตามลำดับ ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในปีนี้ตั้งเป้าโต 10% ซึ่งธนาคารสามารถทำได้ทะลุเป้าดังกล่าวแล้วโดยอยู่ที่ 15%
อย่างไรก็ดี หากธนาคารซื้อกิจการจีอีมันนี่ไทยแลนด์เสร็จสิ้นก็จะกระทบต่อเงินกองทุนฯ เพียง 1.2% คือเงินกองทุนฯ จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 14.4% จากเดิมอยู่ที่ 15.6% และเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าในอนาคตธนาคารยังสามารถเติบโตจากภายนอกได้อีก แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น โดยธนาคารคาดว่ากระบวนการซื้อจีอีมันนี่ไทยแลนด์จะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ และหลังจากนั้นคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือนในการรวมกิจการทั้งหมดเข้ามายังธนาคาร
“ยิ่งเราซื้อจีอีมันนี่ไทยแลนด์เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ก็จะเป็นประโยชน์ต่อรายได้ของธนาคารเร็วขึ้นเท่านั้น แต่เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้การซื้อขายเสร็จสิ้นภายในปีนี้ และตอนนี้อยู่ที่กระบวนการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าถึงไหนแล้ว ถ้าซื้อเสร็จจะประกาศทันที ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน ส่วนธุรกิจในอนาคตต้องดูว่าอะไรที่เพิ่มมูลค่ากับธนาคารบ้าง ซึ่งเหตุผลที่ซื้อเพราะช่วยเราเรื่องรายได้และความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร ถ้าซื้อเสร็จสิ้นเราจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แต่ในปีนี้คงยังเห็นไม่เต็มที่” นายตัน กล่าว
ปัจจุบันโครงสร้างสินเชื่อของธนาคารมีอยู่ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ สินเชื่อรายใหญ่ คิดเป็น 34% สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) คิดเป็น 30% และสินเชื่อรายย่อย คิดเป็น 36% ทั้งนี้ ธนาคารมองว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการซื้อกิจการดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราส่วนโครงสร้างสินเชื่อรายย่อยเเพิ่มขึ้นเป็น 42% ในสิ้นปีนี้ จากที่ตั้งเป้าหมายในอนาคตจะให้เติบโตถึง 50% ของสินเชื่อรวม ซึ่งธนาคารไม่ได้กำหนดระยะเวลาต้องการภายในปีไหน
ปิดตัวบัตรแมนยูตั้งเป้า 3 แสนใบ
โดยล่าสุดนายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเดินหน้าขยายฐานลูกค้าบัตรเดบิตด้วยการจับมือกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมสโมสรชั้นนำของอังกฤษ ออกบัตรเดบิต แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่มีตราสัญลักษณ์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บนหน้าบัตร โดยตั้งเป้าจากปัจจุบันจนถึงสิ้นปี 2553 จะมีลูกค้าถือบัตรดังกล่าว 3 แสนบัตร จากจำนวนแฟนแมนยูฯที่มีอยู่ในประเทศไทย 6 ล้านคน
“บัตรเดบิตแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้มอบสิทธิประโยชน์มากมาย เพื่อเอาใจแฟนพันธุ์แท้ของแมนยูฯ อาทิ ลุ้นโชคชิงตั๋วชมนัดวันแดงเดือด ระหว่างทีมแมนยูกับลิเวอร์พูล ที่สนาม Old Trafford รวมทั้งจะได้ครอบครองเสื้อทีมพร้อมลายเซ็นนักเตะ และของรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่า 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้จะได้รับส่วนลดสินค้าจาก MU Shop ทั้งนี้ในส่วนของสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ด้านหน้า เป็นปกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งมีทั้งสิ้น 1.5 แสนเล่มเท่านั้น” นายรอยย์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปัจจุบันธนาคารมียอดบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตรวมกันประมาณ 3.5 ล้านบัตร โดยแบ่งเป็นบัตรเอทีเอ็ม 2.6 ล้านบัตร และบัตรเดบิตอีก 800,000 บัตร ซึ่งการออกบัตรเดบิตแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็มในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มฐานบัตรเดบิตของธนาคารจากจำนวนการสมัครบัตรเดบิตทั่วไปกับธนาคารอยู่ที่เดือนละ 3.5 หมื่นบัตร และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตร 10% ของฐานบัตรเดบิตที่ธนาคารมีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นการซื้อสินค้า เติมน้ำมันและใช้จ่ายในร้านอาหารต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ธนาคารออกบัตรเดบิตดังกล่าวไปแล้วเชื่อว่าจะช่วยให้ลูกค้ามีการยกเลิกบัตรน้อยและช้าลง จากเดิมที่ยอดการยกเลิกบัตรเดบิตของธนาคารอยู่ที่ 10% ของจำนวนบัตรที่สมัครใหม่ต่อเดือน
|
|
|
|
|