ธนาคารกรุงไทย กำหนดดีเดย์ 9-10 ตุลาคมนี้ นำหุ้นที่กองทุนฟื้นฟูฯ ถืออยู่ 3,000
ล้านหุ้นออกขายให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยแบ่งขายให้กับรายย่อยคนไทย 500 ล้านหุ้น
และนักลงทุนสถาบันอีก 2.5 พันล้านหุ้น ระบุจัดสรรให้กับต่างชาติไม่เกิน 1.5 พันล้านหุ้น
ด้านผู้บริหารธนาคาร ยันกองทุนฟื้นฟูฯ ยังถือหุ้นใหญ่กว่า 60% ขณะที่ต่างชาติถือต่ำกว่า
25% พร้อมเตรียมโรดโชว์ยุโรป และอเมริกา ก่อนกำหนดราคาขายเวลาเดียวกับอเมริกาในวันที่
8 ตุลาคมนี้
นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแปรรูปและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชน ว่าธนาคารเตรียมนำหุ้นออกขายไปในวันที่ 9-10 ตุลาคมนี้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอข้อมูลการขายให้กับ
นักลงทุนต่างประเทศ (โรดโชว์) ซึ่งการแปรรูปดังกล่าว จะนำหุ้นที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถืออยู่จำนวน
3,000 ล้านหุ้น ออกมาเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป
โดยการจัดสรรหุ้นครั้งนี้ จะแบ่งเป็นการเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยที่เป็นคนไทยจำนวน
500 ล้านหุ้น ซึ่งจะเปิดจองซื้อผ่านสาขาของธนาคารกรุงไทย และธนาคารอิสลามทั่วประเทศ
ส่วนหุ้นที่เหลือจำนวน 2,500 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รวมทั้งนักลงทุนทั่วไปที่เป็นลูกค้าบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งการแบ่งสัดส่วน จะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของนักลงทุนแต่ละประเภท
โดยเบื้องต้นกำหนดสัดส่วนขายหุ้นให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันต่างประเทศสัดส่วน 60%
ของจำนวนหุ้นที่ขายให้กับสถาบัน หรือไม่เกิน 1,500 ล้านหุ้น ส่วนจำนวนที่เหลือ
40% หรือ 1,000 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับสถาบันภายในประเทศ
"แบงก์ยังคงกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติไว้ 25% ตามเกณฑ์เดิมที่ทางการได้กำหนดไว้
โดยขณะนี้ยังมีสัดส่วนเหลือที่จะให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากถึง 22% เพราะขณะนี้ต่าง
ชาติถือหุ้นในแบงก์น้อยมาก ซึ่งหากคำนวณถึงตัวเลขที่ต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นเต็มเพดานจะต้อง
ซื้อหุ้นของแบงก์ถึง 2,700 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดประมาณ 11,185
ล้านหุ้น และแบงก์มีทุนจดทะเบียนประมาณ 11,194 ล้านหุ้น จากราคาพาร์หุ้นละ 5.15
บาท"
นายพงศธร กล่าวว่า จำนวนหุ้นที่ธนาคารจะขายให้กับสถาบันมีเพียง 2,500 ล้านหุ้น
หากสถาบันต่างชาติจะถือหุ้นในสัดส่วน 25% จะต้องซื้อหุ้นมากถึง 2,300 ล้านหุ้น
โดยเชื่อว่าหากสถาบันการต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นของธนาคารตามสัดส่วนที่ธนาคารตั้งไว้คือ
60% ของจำนวนหุ้นที่ขายให้นักลงทุนสถาบันจะส่งผลให้สัดส่วน ต่างชาติถืออยู่ในธนาคารประมาณ
6-7% นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย
ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลเรื่องของการบริหารธุรกิจ
สำหรับราคาของหุ้นนั้น จะถูกกำหนดไว้โดยวิธี Bookbuilding จากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
หลังจากที่มีการโรดโชว์เสร็จสิ้นที่ใช้เวลาในการโรดโชว์ประมาณ 3 สัปดาห์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปราคาวันที่
8 ตุลาคม 2546 นี้ ซึ่งเท่าที่เดินทางไปโรดโชว์ในต่างประเทศแถบเอเชีย ฮ่องกง สิงคโปร์
ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก และมีการเสนอจำนวนหุ้นและราคามาให้ที่ปรึกษาทางการเงินและธนาคารได้พิจารณาแล้วปรากฏว่าเป็นราคาที่ธนาคารพอใจ
"ขณะนี้ราคาตามบัญชีของธนาคาร ณ เดือน มิถุนายน 5.75 บาทต่อหุ้น และราคาที่ซื้อขายอยู่
ในกระดานประมาณ 10 บาทต่อหุ้น"
สำหรับการโรดโชว์ต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารได้ไปประเทศฮ่องกงพบ
ปะกับกองทุนจำนวน 10 กองทุน และประเทศสิงคโปร์ พบกับกองทุนจำนวน 8 ราย ทั้ง 2 ประเทศมีกองทุนให้ความสนใจถึง
20 ราย และ ในกรุงเทพฯตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้นับว่าได้รับความสนใจมากจากนักลงทุน
โปรแกรมต่อไปจะเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่น ลอนดอน จบที่สุดท้ายที่ประเทศอเมริกา
ส่วนการกำหนดราคาพร้อมกัน คือ ในสหรัฐฯ กำหนดในวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 6.00 น. ซึ่งตรงกับในประเทศ
ไทย เวลา 6.00 น. ของวันที่ 8 ตุลาคม
หลังจากการขายหุ้นดังกล่าว สัดส่วนของกองทุนฟื้นฟูฯ จะเหลือถือหุ้นในธนาคารประมาณ
60% และคาดว่าจะปรับลดลงอีก เพราะจะมีหุ้นที่ใช้สิทธิประมาณ 450 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ
15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งการขายหุ้นในครั้งนี้เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ ขายหุ้นได้หมดทั้งจำนวน
เพราะถือว่าเป็นหุ้นที่มีปริมาณมาก นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและจะช่วยให้ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดัชนีหุ้นปรับสูงขึ้นด้วย
"การขายหุ้นของธนาคารกรุงไทย ถือว่าเป็นการนำร่องให้กับรัฐวิสาหกิจอีกมากที่จะแปรรูป
เท่าที่ทราบปลายปีนี้จะมีการเสนอขายหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกขาย"
ด้านฐานะของธนาคาร ขณะนี้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมาก โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด
รายได้ (เอ็นพีแอล) ประมาณ 98,000 ล้านบาท คิดเป็น 10.3% ของสินเชื่อรวม ขณะที่อัตราส่วน
เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐาน บีไอเอสอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนดไว้ที่
8.5 % ประกอบกับบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) ยังได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิต
ภายในประเทศให้กับธนาคาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา
ให้ธนาคารสามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษในอัตราส่วน 60% ของกำไรสุทธิสำหรับผลการดำเนินงาน
ปี 2546 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนปีหน้า
ขณะเดียวกัน ธนาคารได้มีการพัฒนาระบบไอที เพื่อนำไปสู่การเป็น Convenience Bank
ในปลายปีนี้ จะมีการเชื่อมระบบงานต่างๆ เข้ากับระบบ Core Banking System ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์หลักที่ได้มาตรฐานสากล