"ไทยโอเลฟินส์" ในเครือปตท.ฉวยจังหวะกระทิงยังสิงตลาดฯ เตรียมไอพีโอ
236 ล้านหุ้นขายประชาชนทั่วไป คาดหุ้นละไม่เกิน 30 บาท ครึ่งหนึ่งขายต่างชาติจะโรดโชว์
ที่ยุโรปและเอเชียต.ค.นี้ กัน 15% เป็นกรีนชูส์ คาดได้เงินประมาณ 105 ล้านดอลลาร์
(ประมาณ 4.2 พันล้านบาท) ใช้ผลิตวัตถุดิบผลิตเสื้อผ้า-ขวดพลาสติกใส 3 แสนตัน หวังทดแทนนำเข้า
ด้าน ปตท. เตรียมเข็นหุ้นกู้ 1-1.5 หมื่นล้านบาท ดูดสภาพคล่องตลาด เงินที่ยังเพียบไตรมาส
4 แถมต้นทุนดอกเบี้ยถูกสุดๆ อยู่ระหว่างกำหนดอายุหุ้นกู้ 5-20 ปี หากตัดสินใจเลือก
20 ปี จะกลายเป็นหุ้นกู้เอกชนที่อายุยาวที่สุดของไทย ขณะที่กระทิงเริ่มมีแรงเดินหน้าทดสอบ
580 จุดวันนี้
นายอดิเทพ พิศาลบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน)
(TOC) ผู้ผลิตโอเลฟินส์รายใหญ่อันดับ 3 ของไทย เปิดเผยวานนี้ (24 ก.ย.) ว่าบริษัทเตรียมระดมทุน
เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะนำหุ้นเพิ่มทุน 236 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ
10 บาท จำหน่ายประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) คาดว่าจะได้เงินประมาณ105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ประมาณ 4.2 พันล้านบาท) ใช้ขยายธุรกิจขั้นต่อเนื่อง
โรดโชว์ต่างชาติ ต.ค.
บริษัทจะเดินทางเสนอข้อมูล (โรดโชว์) หุ้น ไอพีโอต่อนักลงทุนต่างประเทศทั้งแถบยุโรป
และเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ประมาณ ต.ค.นี้ โดยจะกระจายหุ้นให้ต่างชาติประมาณ
50% ที่เหลือขายนักลงทุนในไทย คาดว่าจะเริ่มซื้อขายหุ้น ได้ประมาณต้นพ.ย.นี้
ส่งผลโครงสร้างผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไป โดยเฉพาะปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ TOC 63.03%
หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วนหุ้นจะลด เหลือ 45-50% ขึ้นกับราคาไอพีโอที่จะกำหนด
ต.ค.นี้
ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะกันหุ้น 10-15% ของ 236 ล้านหุ้น เป็นกรีนชูส์
ออฟ ชั่น เปิดทางเลือกกรณีนักลงทุนกลุ่มใดต้องการหุ้นเพิ่มเป็นพิเศษ
TOC แต่งตั้งบริษัท ทรีนิตี้ แอ๊ดไวเซอรี่ 2000 และบล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร เป็นที่ปรึกษา
การเงิน และตัวแทนจัดจำหน่ายหุ้นบริษัท ส่วนตัวแทนจัดจำหน่ายร่วมอื่นๆ กำลังพิจารณา
ทุ่ม 8.4 พันล้านโครงการ EO/EG
นายอดิเทพกล่าวว่า เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน ครั้งนี้ บริษัทฯจะใช้ในโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทิลีนออกไซด์
(EO) และเอทิลีนไกลคอล (EG) หรือโครงการ EO/EG ขนาดกำลังผลิต 3 แสนตันต่อปี มูลค่าโครงการ
210 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.4 พันล้านบาท) สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 1: 1 เท่า คาดว่าจะเริ่มผลิตต้น
ปี 2549
โครงการนี้ ออกแบบขบวนการผลิตพร้อมเทคโนโลยีแล้ว อยู่ระหว่างเจรจาหาผู้ร่วมทุนต่าง
ชาติ 2 ราย คือบริษัท แอลจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากเกาหลีใต้ และบริษัท โอมาน
ออยล์ จำกัด จากโอมาน ซึ่งชำนาญด้านการตลาดและเงินทุน เพราะบริษัทไม่มีเครือข่ายการตลาด
คาดว่าจะสรุปผลหาผู้ร่วมทุนได้ประมาณปลายพ.ย.นี้ หลังจากเลื่อนลงนามสัญญาก่อนหน้านี้
โดย TOC ยืนยันจะถือหุ้นใหญ่ 50% ขึ้นไป
ปัจจุบัน ความต้องการใช้ EO/EG ในไทย 3.5 แสนตันต่อปี ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด
มูลค่า 6-7 พันล้านบาทต่อปี ปี 2548 คาดความ ต้องการใช้EO/EG จะเพิ่มเป็น 4 แสนตันต่อปี
หากโครงการดังกล่าวผลิตเชิงพาณิชย์ จะทำให้ไทยลดการนำเข้า EO/EG ส่วนหนึ่งจะส่งออกจำหน่ายต่างประเทศด้วย
EO/EG เป็นวัตถุดิบใช้ผลิตเส้นใย เครื่องนุ่งห่มโพลีเอสเตอร์ และบรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติก
ใส หรือขวดเพ็ท (PET) ซึ่งจีนนำเข้าค่อนข้างสูง ถึงปีละ 2-3 ล้านตัน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
นายอดิเทพกล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังว่า อัตราเติบโตรายได้น่าจะใกล้เคียงครึ่งปีแรก
ที่มีรายได้ 9,222 ล้านบาท โตขึ้น 59% กำไรสุทธิ 946 ล้านบาท โตขึ้น 374% แม้ช่วงปลายปีนี้
คาดตลาดโอเลฟินส์จะชะลอตัวบ้าง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล ทำให้ผู้ซื้อลดสต็อกสินค้าบางส่วน
ทำให้หยุดสั่งซื้อพลาสติก แต่เชื่อ ว่าจะไม่กระทบรายได้บริษัทฯ เพราะบริษัทจำหน่ายสินค้าให้ตัวแทนจำหน่ายนำไปขายต่ออีกทีหนึ่ง
รวมทั้งราคาเอทิลีน และโพรพิลีน ครึ่งปีหลัง เฉลี่ยจะประมาณ 470-480 ดอลลาร์ต่อตัน
เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่มีราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยประมาณ 400 ดอลลาร์ ทั้งปีน่าจะมีรายได้
1.3-1.4 หมื่นล้านบาท
"ผลดำเนินงานในครึ่งปีแรกนี้ ดีขึ้นมาก เป็นผลจากความต้องการและราคาโอเลฟินส์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น
รวมทั้งโรงงานเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิ ภาพเกิน 100% ทำให้มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น"
9 ก.ย. TOC ลดทุนจดทะเบียนจาก 11,703 ล้านบาท เหลือ 5,851.5 ล้านบาท จากนั้น
เพิ่มทุนใหม่ เป็น 8,211.5 ล้านบาท พร้อมลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จาก 100 บาท เหลือหุ้นละ
10 บาท สาเหตุที่ลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสม ที่มีอยู่ 6.2 พันล้านบาท เหลือเพียง
400 ล้านบาทขณะนี้
คาด IPO ไม่เกิน 30 บาท
แหล่งข่าว TOC กล่าวว่า ราคาไอพีโอหุ้น TOC น่าจะไม่เกิน 30 บาท/หุ้น ซึ่งน่าจะไม่ห่างจากราคาไอพีโอหุ้นอื่นๆ
ในเครือปตท.ที่ระดมทุน ในตลาดหลักทรัพย์ก่อนหน้านี้ อาทิ หุ้นปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
(PTTEP) 30 บาท ปตท. (PTT) 35 บาท เพราะบริษัทจะล้างขาดทุน สะสมให้หมด ทำให้สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น
ได้ทันที ถ้ามีโอกาส
รวมทั้งยังมีโครงการส่วนขยายโอเลฟินส์เพิ่มอีก 3 แสนตัน หรือ 77.9% ของกำลังผลิตรวมที่จะเข้ามาเพิ่มต้นปี
2548
ขายเกลี้ยงหุ้นกู้หมื่นล้าน
TOC ยังประสบความสำเร็จออกหุ้นกู้มีหลักประกันมูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทลดดอกเบี้ยจ่ายถึงปีละ
300 ล้านบาท จากเดิมที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายปีละ 600 ล้านบาท หุ้นกู้ดังกล่าว ผู้สนใจจองซื้อสูงกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอ
ขาย 1.2 เท่า
หุ้นกู้ดังกล่าว ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย
2.7% หุ้นกู้ชุดที่ 2 จำนวน 3 พันล้านบาท อายุ 5 ปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 จำนวน 2
พันล้านบาท อายุ 7 ปี ดอกเบี้ย 3.5% ได้รับการจัด อันดับเครดิต A-จากฟิทช์ เรทติ้ง
ในเครือฟิทช์จากอังกฤษ
TOC เป็นผู้ผลิตโอเลฟินส์รายใหญ่อันดับ 3 ของไทย กำลังผลิตรวม 5.75 แสนตันต่อปี
แบ่ง เป็นเอทิลีน 3.85 แสนตัน และโพรพิลีน 1.90 แสนตันต่อปี ซึ่งขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการส่วนขยายอีก
3 แสนตัน คาดว่าจะเสร็จ ปี 2547
ปตท.ออกหุ้นกู้
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดอยช์แบงก์ เอ.จี.สาขาประเทศไทย ในเครือดอยช์แบงก์จากเมืองเบียร์
หนึ่งในผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ปตท. กล่าวว่าขณะนี้ธนาคารกำลังศึกษาการออกหุ้นกู้บริษัท
ปตท. 1-1.5 หมื่นล้านบาทไตรมาส 4 เพื่อนำใช้ขยายธุรกิจ โดยเน้น ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก
อายุหุ้นกู้ PTT ระหว่าง 5-20 ปี ซึ่งขณะนี้ ยังไม่กำหนดว่าจะแบ่งสัดส่วนเท่าไร
แต่หากเลือก 20 ปี จะถือว่าเป็นหุ้นกู้เอกชนที่อายุยาวนานที่สุด หลังจาก PTTEP
ออกหุ้นกู้อายุ 15 ปี
ขณะนี้ PTT อยู่ระหว่างให้พิทช์ เรทติ้ง จัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัทเลือกผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้แล้ว
5 ราย
"การขายหุ้นกู้ของ PTT ต้องรอดูจังหวะของตลาดฯ เป็นสำคัญ แต่ช่วงนี้บริษัทยังไม่มีความต้องการใช้เงินทุนมากนัก
เนื่องจาก PTT ยังมีสภาพคล่องค่อนข้างมาก"
แผนลงทุน 5 ปี (2546-50) PTT จะใช้เงิน ลงทุนราว 1.1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ ลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
86% ซึ่งรวมถึงโครงการวางท่อส่งก๊าซฯ และก่อสร้างโรงแยกก๊าซฯ
กระทิงยังสิงหุ้นไทย
"คุณเน็ต" หวนคืนตลาดหุ้นวานนี้ หุ้นไฟแนนซ์-อสังหาฯ คืนชีพ ส่งผลกระทิงหวนคืน
ประกอบกับบาทยืน 40 ต่อดอลลาร์ได้ ดันดัชนีเดินหน้า 9.42 จุด เพิ่ม 1.66% สู่ 575.55
จุด ด้วย มูลค่าซื้อขายหนาแน่นถึง 3.52 หมื่นล้านบาท คาดวันนี้ดัชนีขึ้นทดสอบ 580
จุด ขณะที่โบรกเกอร์ผู้จัดการกองทุนประสานเสียงเศรษฐกิจไทยยังแข็ง แต่เตือนนักเก็งกำไรเพลาๆ
มือระยะสั้น
ภาวะหุ้นไทยวานนี้ กระทิงเดินหน้า หลังจากนักลงทุนได้น้ำ จากการที่บาทแข็งค่ายืน
40 ต่อดอลลาร์สหรัฐวานนี้ได้อีก ตามแนวโน้มเก็งกำไร-เศรษฐกิจไทยแข็ง ขณะที่นักลงทุนที่เล่นหุ้นผ่านบัญชีมาร์จิ้นเน็ต
เซตเทิลเมนต์ เริ่มฟื้น ดันหุ้นยอดนิยมกลุ่มไฟแนนซ์-อสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่าภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยขณะนี้
เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย อยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งช่วงที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น
จากการลงทุน ของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้แนวโน้มตลาดฯ ดูดี
แต่เมื่อต่างชาติเทขาย และนักลงทุนรายย่อยไทยลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น และเก็งกำไร
มากเกินไป นักลงทุนจึงควรจะระมัดระวังการ ลงทุนช่วงนี้
"การที่ตลาดฯ ผันผวน นักลงทุนควรระวังตัว โบรกเกอร์เองก็ต้องพิจารณาตัวเองให้
ดีไม่ควรยุให้นักลงทุนลงทุนเก็งกำไรมากเกินไป" ม.ล.ชโยทิตกล่าว อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะยาวยังดี
เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยรองรับการปรับตัวของดัชนีได้
ด้านนายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทย
พาณิชย์ กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะยาว ดี แม้จะผันผวนขณะนี้ แต่เชื่อว่าการที่รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมภาคเอกชนมาก
ขึ้นจะส่งผลดี
การที่บาทแข็งค่าช่วงนี้ สะท้อนว่า เศรษฐกิจ ไทยเริ่มฟื้นตัว อาจกระทบการส่งออกบ้างระยะสั้น
แต่คาดว่าผู้ส่งออกจะปรับตัวได้ในที่สุด
"เมื่อใดที่นักลงทุนรายย่อยเทขาย ส่วนใหญ่ นักลงทุนสถาบันก็รับซื้อ เพื่อให้เกิดความสมดุล
ในตลาดฯ ให้มีเสถียรภาพ แต่นักลงทุนรายย่อย ก็ควรระมัดระวังการลงทุน ไม่เล่นหุ้นแบบเก็งกำไรมากเกินไป"
นายอดิศรกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าการที่ตลาด หุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงวานนี้
เพราะเงินบาททรงตัว 40 ต่อดอลลาร์สหรัฐ และดัชนีตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ ปรับตัวขึ้นสูง
ทำให้มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มบลูชิพ ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้น คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะเทขายลดลง
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ (26 ก.ย.) คาดว่าดัชนี มีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 580 จุด ซึ่งเป็นแนวต้าน
แข็งแกร่ง และแนวรับ 560 จุด