พฤกษาฯ เดินหน้าลุยทาวน์เฮาส์ไม่หยุด ยกเครื่อง “พฤกษาวิลล์” โฉมใหม่ดีไซน์เทียบชั้นบ้านเดี่ยว เจาะช่องว่างตลาด พร้อมลุย 2 แบรนด์ใหม่เพิ่ม ประกาศกินรวบมาร์เก็ตแชร์ 80% ใน 3 ปี
ต้นทุนต่ำ ความเร็วของรอบการทำธุรกิจ (Business Cycle) ซึ่งนำไปสู่การขยายกลุ่มสินค้าใหม่ เจาะ Niche Market ที่ไร้คู่แข่ง กลายเป็นความโดดเด่นหนึ่งที่ทำให้พฤกษาฯ ได้รับการยอมรับว่า เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยสินค้ากลุ่มทาวน์เฮาส์ที่พฤกษาฯ เป็นเจ้าตลาดมานาน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พฤกษาฯ เติบโตมาได้จนถึงวันนี้ ก็ยังเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของพฤกษาฯ ยุคแรกที่เติบโตมาจากบ้านบีโอไอ หรือทาวน์เฮาส์ราคาถูกเพียง 6 แสนบาท ในแบรนด์ “บ้านพฤกษา” จากนั้นอีกกว่า 10 ปีต่อมาก็เกิดเป็นทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นตามมาอีก 4 แบรนด์ ได้แก่ พฤกษาวิลล์ ราคา 1-1.5 ล้านบาท, เดอะ คอนเนค ราคา 1.5-2 ล้านบาท และเดอะ แพลนท์ ซิตี้ ราคา 2 ล้านบาท พร้อมกับขยับทำเลโครงการเข้าใกล้เมืองมากขึ้น สะท้อนได้ว่า พฤกษาฯ มองเห็นโอกาสจากดีมานด์ในตลาดทาวน์เฮาส์ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังที่ดีมานด์หันมาเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลที่ใกล้เมืองมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มีเพียงพฤกษาฯ รายเดียวเท่านั้น แม้แต่ดีเวลลอปเปอร์รายอื่นๆ ก็ขยายฐานมาเจาะตลาดนี้ในช่วงหลังด้วยเช่นกัน เช่น แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในเครือแสนสิริ, เอสซี แอสเสท
แม้จะมีดีเวลลอปเปอร์หลายรายเห็นโอกาสและเข้ามาลุยตลาดทาวน์เฮาส์เช่นเดียวกัน แต่ก็ยังไม่มีรายใดที่เป็นคู่แข่งที่แท้จริง เพราะยังไม่สามารถพัฒนาเรื่องต้นทุนและความเร็วให้ต่ำได้เท่าพฤกษาฯ เมื่อบวกกับการทำตลาดในเชิงรุก การปรับโฉมสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่ง และความได้เปรียบเรื่องราคา จึงทำให้พฤกษาฯ สามารถขยับมาร์เก็ตแชร์ในตลาดทาวน์เฮาส์จาก 25% เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ขึ้นมาเป็น 65% ในปัจจุบัน
“ตอนนี้ยอดขายของทาวน์เฮาส์มาจากแบรนด์พฤกษาวิลล์ 38% หรือ 3,200 ล้านบาท ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับทาวน์เฮาส์แบรนด์อื่นๆ ถือเป็นธุรกิจที่โตเร็วมาก เพราะเรามีการปรับสินค้าอย่างต่อเนื่องทั้งดีไซน์และทำเล” ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS) กล่าว
เดิมการพัฒนาทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลนอกเมือง และมาจากดีเวลลอปเปอร์รายเล็กเป็นหลัก แต่ในช่วงหลังที่เศรษฐกิจหดตัวตัว ทำให้ดีเวลลอปเปอร์รายเล็กชะลอการลงทุน ส่วนดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ก็จะไม่สนใจที่จะทำตลาดนี้ เพราะทำยากและได้กำไรไม่คุ้มค่า เหลือเพียงพฤกษาฯ ที่มีความพร้อมในการรุกตลาด จึงกลายเป็นโอกาสและ Blue Ocean ขนาดใหญ่ที่สร้างการเติบโตให้พฤกษาฯ ได้สวนกระแส
พฤกษาวิลล์เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พัฒนามาแล้ว 25 โครงการ มียอดขายรวม 4,500 ยูนิต มูลค่า 6,600 ล้านบาท ปิยะ ประยงค์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารลูกหม้อตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งดูแลหน่วยธุรกิจทาวน์เฮาส์ของพฤกษาทุกแบรนด์ เล่าให้ฟังว่า เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าสนใจ เพราะมียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปี 2550 มียอดขาย 1,000 ล้านบาท ปี 2551 มียอดขาย 4,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 3,200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันทะลุเป้าไปแล้ว ทั้งปีน่าจะมียอดขายประมาณ 4,200 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขาย 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 25% ในปีหน้า
สำหรับยอดขายทาวน์เฮาส์ที่ทะลุเป้าในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการปรับโฉมพฤกษาวิลล์ครั้งใหญ่ โดยได้ปรับดีไซน์ให้กว้างขวางขึ้น มีฟังก์ชั่นภายในที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว ออกมาเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น สไตล์โอเรียนทัลและโมเดิร์น คอนเทมโพรารี หน้ากว้าง 5.7- 7 เมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ แยกครัวไทยเป็นสัดส่วน พร้อมที่จอดรถ 1-2 คัน และปรับสเปควัสดุก่อสร้างให้ดีขึ้นเทียบเท่ากับบ้านเดี่ยว แต่ขายในราคาแบบทาวน์เฮาส์ คือ 1 ล้านต้นๆ ซึ่งเป็นจุดต่างที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งปิยะได้กล่าวว่า โฉมใหม่ของพฤกษาวิลล์นี้ ได้มีการจัดตั้งทีม Best Practice ขึ้น โดยมีนักวิจัยและนักออกแบบ ศึกษาปัญหาของลูกค้าในโครงการเก่ามาปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นในโครงการใหม่ทั้งหมด และในปลายปีนี้จะมีการลงทุนอีก 3 โครงการ ได้แก่ รามอินทรา พระราม 2 (พุทธบูชา) และมีนบุรี ปีหน้ามีแผนจะลงทุน 12 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท
ประเสริฐกล่าวว่า ต่อจากนี้พฤกษาฯ จะยังรุกตลาดทาวน์เฮาส์อย่างต่อเนื่อง ภายในสิ้นปีพฤกษาฯ จะเปิดตัวทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์ เพื่ออุดช่องว่างตลาดที่มีอยู่ และเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเสริมการเติบโต และตั้งเป้าว่า ทั้ง 6 แบรนด์จะทำให้พฤกษาฯ มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดทาวน์เฮาส์เพิ่มเป็น 70-80% ภายใน 3 ปี
|