|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บิ๊กแบงก์กรุงไทยเผยรายได้หลักของธนาคารในปี 53 มาจากสินเชื่อและค่าฟี ส่งผลให้มีการแข่งขันรุนแรง ฉุดสเปรดแบงก์ลดลง พร้อมตั้งเป้าเติบโตตัวสินเชื่อ 7% ตามการการขยายตัวของจีดีพีที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3-3.5% พร้อมลุยปล่อยสินเชื่อโครงการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) เปิดเผยว่า ในปี 2553 รายได้หลักของธนาคารยังคงมาจากสินเชื่อและค่าธรรมเนียม จึงทำให้การแข่งขันด้านสินเชื่อโดยรวมทั้งตลาดยังคงมีความรุนแรง ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงอาจส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงจากปี 2552
อย่างไรก็ตาม การที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2553 ก็อาจส่งผลให้สเปรดของธนาคารแคบลง เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกรุงไทยสูงกว่าของธนาคารอื่น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับต่ำกว่าธนาคารอื่น ซึ่งปีหน้าหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยของทั้งระบบต้องปรับขึ้นตาม โดยดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับเพิ่มขึ้นก่อนเงินกู้
"ดอกเบี้ยคงขึ้นปีหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นตามแบงก์ชาติ เราคงไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนเพราะต้องรอการส่งสัญญาณจากทางการ ซึ่งในส่วนสเปรดของธนาคารในปีหน้าอาจมีช่องว่างแคบลงจากปีนี้ เพราะมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะเพิ่มขึ้นมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้"นายอภิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากแผนธุรกิจในปี 2553 ของธนาคารในเบื้องต้นประมาณการณ์ว่า ตัวเลขสินเชื่อของธนาคารในปี 2553 จะมีการเติบโตประมาณ 7% จากปี 2552 โดยการเติบโตของสินเชื่อจะมาจากการเบิกใช้สินเชื่อของผู้รับเหมาที่เข้าประมูลงานของภาครัฐ ตามโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล และจากการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ธนาคารคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะอยู่ที่ 3 – 3.5% ซึ่งตามปกติตัวเลขสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะมีการเติบโตประมาณ 2 เท่าของจีดีพี
โดยในปี 2553 ธนาคารจะยังคงให้ความสำคัญกับสินเชื่อรายย่อยตามเดิม เพราะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นค่อนข้าง โดยขณะนี้สินเชื่อรายย่อยเติบโตแล้วประมาณ 10 – 20% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อข้าราชการ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆที่อยู่ในเครือของธนาคารก็ยังมีความสามารถในการเติบโตได้ดี ทั้งธุรกิจขายประกันผ่านสาขาธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจบัตรเครดิต โดยธุรกิจหลักทรัพย์มีการเติบโตที่ดีขึ้นหลังจากร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทหลักทรัพย์ ซิมิโก้ ซึ่งหลังจากการควบรวมทำให้มีมาร์เก็ตแชร์วอลุ่มของบริษัทขึ้นมาอยู่เป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์
สำหรับสินเชื่อภาครัฐในปี 2553 ธนาคารก็จะยังเข้าไปร่วมประมูลตามเดิม โดยปัจจุบันธนาคารมีส่วนแบ่งของสินเชื่อภาครัฐประมาณ 40% โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาธนาคารได้ประมูลเงินกู้ของภาครัฐมาจำนวน 5 พันล้านบาท จากวงเงินกู้ทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ปัจจุบันธนาคารได้มีการปล่อยกู้ให้กับภาครัฐเป็นจำนวนสุทธิประมาณ 5 – 6 หมื่นล้านบาท
นายอภิศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่าในส่วนของการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอุตสาหกรรม ธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมที่ลงทุนอยู่ในโครงการมาบตาพุดธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่มีการเบิกใช้อีกจำนวน 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารตั้งเป้าว่าจะสามารถควบคุมระดับเอ็นพีแอลทั้งปีไว้ไม่ให้เกิน 4% โดยเอ็นพีแอลของธนาคารส่วนใหญ่เป็นเอ็นพีแอลที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต ขณะที่เอ็นพีแอลใหม่เกิดขึ้นไม่มากนัก
|
|
|
|
|