|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฟิทช์ประเมินผลประกอบการแบงก์ไตรมาส 3 - 9 เดือน ยังแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะหดตัวแรง โดยแบงก์กรุงศรีฯโดดเด่นสุดหลังซื้อพอร์ตรายย่อยจากเอไอจี และมีความเป็นไปได้ที่แบงก์บางแห่งต้องกันสำรองเพิ่ม ด้านแบงก์ชาติคาดไตรมาส 4 มีลุ้นสินเชื่อพลิกเป็นบวก
นายวินเซนต์ มิลตัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทยสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2552 และสำหรับงวด 9 เดือนปี 2552 ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมได้ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยธนาคารส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิลดลงไม่มากนัก กำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับเดิม เนื่องจากการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ในขณะที่การสำรองหนี้สงสัยจะสูญไม่ได้เพิ่มขึ้นสูงมากนัก
แต่หากมองในรายละเอียดถึงผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งแล้ว นายวินเซนต์กล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีฯ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เนื่องจากธนาคารฯได้มีการซื้อธุรกิจสินเชื่อรายย่อยจาก AIG และ GE และการลดลงของการตั้งสำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์ ในขณะที่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ธนาคารทหารไทยมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าธนาคารอื่น เนื่องจากธนาคารยังคงมีความเสี่ยงเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างการดำเนินงานเพื่อรวมกับกลุ่ม ING ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร อย่างไรก็ตามคาดว่าผลการดำเนินงานของธนาคารทหารไทยจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2553
ส่วนแนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 นั้น เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่อคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะตามหลังภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของการสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อาจเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีสัญญาณการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ผลการดำเนินในไตรมาสที่ 4 ปี 2552 และ 2553 ปรับตัวดีขึ้นได้ ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ ได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้นการสำรองหนี้สงสัญจะสูญอาจเพิ่มขึ้นในช่วง 6 - 12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ธนาคารส่วนใหญ่มีอัตราส่วนเงินกองทุนที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 11% ประกอบกับมีอัตราส่วนกำไรที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะทำให้ธนาคารไทยสามารถรองรับผลกระทบ หากภาวะเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ
ขณะที่ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ภายหลังการเข้ามาถือหุ้นของต่างชาติเพิ่มขึ้นนั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่ ฟิทช์เรทติ้ง (ไทยแลนด์) ประเมินว่า กล่าวว่า การเข้าถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ไทยของธนาคารต่างชาติได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เงินกองทุนของธนาคาร อีกทั้งคาดว่าจะส่งผลให้การแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)โดยนางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ระบุว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิและเงินปันผลต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) ทรงตัวที่ 2.9% แต่ค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลงในไตรมาสนี้ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 6 พันล้านบาท อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) เพิ่มขึ้นเป็น 1% ผลกำไรที่มีอย่างต่อเนื่องดังกล่าวส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 16.5% โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 12.9%
ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 4/52 พอมีโอกาสที่จะพลิกเป็นบวกได้ จากไตรมาส 3 ที่หดตัว 3.1% เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยในขณะนี้มีความอำนวยพอสมควร รวมทั้งหากได้รับแรงกระตุ้นต่อเนื่องจากโปรเจ็กของภาครัฐที่จะส่งผลเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ดียังต้องดูภาคธุรกิจถึงความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในขณะนี้ยังเห็นไม่ชัดเจนนัก โดยหลายอุตสาหกรรมยังมีความสามารถในการผลิตอยู่ ดังนั้นจึงอาจไม่มีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากนัก
|
|
|
|
|