Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2546
คาเทคิน บูม             
โดย ภก.ดร. ชุมพล ธีรลดานนท์
 





ชาเขียว ชาญี่ปุ่นที่แม้แต่คนไทยเองก็รู้จักดี สามารถหาดื่มได้ทั่วไปตามร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ ไม่ทราบเหมือนกันว่า คนญี่ปุ่นรู้จักชาเขียวมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆ คือ คนญี่ปุ่นรู้จักใช้ประโยชน์จากชาเขียวมานานแล้ว เริ่มจากเป็นเครื่องดื่มประจำชาติเป็นส่วนหนึ่งของอาหารและขนมญี่ปุ่นหลายชนิด รวมไปถึงใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เมื่อเร็วๆ นี้ เรื่องราวเกี่ยวกับชาเขียว เรื่องเก่าที่เอามาปัดฝุ่นใหมใน concept ของการควบคุมน้ำหนัก

คาเทคิน เป็นคำที่ออกเสียงด้วยสำเนียงภาษาญี่ปุ่น ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า catechin ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ (active compound) สำคัญตัวหนึ่งที่มีมากในชาเขียว คาเทคินมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาอยู่หลายอย่าง เช่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่ช่วยชะลอความแก่ มีฤทธิ์ป้องกันโรคของหลอดเลือดและหัวใจ รวมไปถึงมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฝาดสมาน ฯลฯ นักวิจัยบางกลุ่มทั้งในญี่ปุ่นและอเมริกา ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติอื่นๆ ทางเภสัชวิทยาของสารคาเทคินบวกกับการโฆษณาของบริษัทที่ผลิตเครื่องดื่มชาเขียว กลายเป็นกระแสคาเทคินบูมในญี่ปุ่น

จากสถิติผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน รวมถึงไขมันอุดตันในเส้นเลือด ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในญี่ปุ่น (และทั่วโลก) ทำให้คนญี่ปุ่นที่เคยมองข้ามความสำคัญเรื่องสุขภาพ หันกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น ปฏิทินการทำงานที่เคยใช้กันมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และศุกร์ ถูกเปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และศุกร์ เรียกว่าดีขึ้นมาหน่อยในบางบริษัท อาจจะพอมีวันเสาร์ให้เห็นบ้าง

แน่นอนว่า การทำงานสัปดาห์ละ 6-7 วัน วันละ 10-12 ชั่วโมงหรือกว่านั้น ย่อมทำให้เกิดความเครียด การสูบบุหรี่จัด งานที่ต้องทำแข่งกับเวลา อาหาร fast food วัฒนธรรมการดื่มเหล้าหลังเลิกงาน (อ้างว่า) ยุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย จากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี กลายเป็นวงจรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือ การสะสมไขมันที่อวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุเบื้องต้นนำ ไปสู่โรคต่างๆ ดังกล่าว

กรรมพันธุ์ สรีระของบางคน ที่มีเซลล์สะสมไขมันอยู่มาก ก็เป็นอีกปัจจัยที่เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องง่ายกว่าคนทั่วไป

มาระยะหลังๆ ธุรกิจเกี่ยวกับ sport club อาหารเพื่อสุขภาพ เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เติบโตรวดเร็วมาก บรรดา salary man ยินดีจ่ายค่า sport club แลกกับ image ที่ดีของตัวเองและสุขภาพ รูปร่างที่ดูดีขึ้นจนกลายเป็น fashion ที่ดูเหมือนใครๆ ก็ทำกัน

มีมากกว่า 108 วิธีที่ยอมรับว่าใช้ได้ผลในการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งหนังสือคู่มือลดความอ้วน เล่มไหนๆ ก็คงเขียนเอาไว้ เริ่มจากออกกำลังกายสม่ำเสมอครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ควบคุมแคลอรีของอาหารแต่ละมื้อ ทำให้ไม่สามารถรับประทาน อาหารจานโปรดบางอย่างได้ การลดความเครียดจากงานที่เป็นสาเหตุเบื้องต้นของปัญหาดังกล่าว วิธีเหล่านี้พูดง่าย แต่ (อาจจะ) ทำได้ยากสำหรับบางคน ถ้าถามว่า วิธีที่ว่านี้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ผลจริงหรือไม่ คำตอบคือ จริง และมีไม่น้อยด้วยที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นมาจากความตั้งใจจริง การต่อสู้กับตัวเอง ถ้าไม่ยอมแพ้ไปซะก่อน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีรายการทีวีของญี่ปุ่นแนะนำวิธีการควบคุมน้ำหนักง่ายๆ ที่ไม่ต้องต่อสู้กับตัวเองประเภทอดมื้อกินมื้อ พูดง่ายๆ คือ กินได้ทุกมื้อถ้ารู้จัก ที่จะกิน

นั่นคือ การพูดถึงอาหารชุดญี่ปุ่นที่เรียกว่า เทโชกุ เป็นอาหารที่เสิร์ฟเป็นเซ็ตประกอบด้วย ข้าวญี่ปุ่น (ประมาณ 150 กรัม) ปลาทะเลย่าง ซุป สลัดผัก และชาเขียว ดูเผินๆ แล้วไม่ใช่ของแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้น สำหรับที่ญี่ปุ่นเป็นอาหารที่ใช้เวลาทำน้อยทำได้ง่าย ไม่แพง และใช้ควบคุมน้ำหนักได้

ปลาทะเลที่ว่าก็คือ ปลาทะเลที่มีเนื้อเป็นสีขาวซึ่งจะมีสาร DHA, EPA อยู่ในปริมาณที่สูงกว่าปลาทะเล ที่มีเนื้อสีแดง เช่น ปลาทูน่า DHA, EPA เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้การทำงานของเซลล์สมองคล่องตัว ขึ้นและเพิ่มการทำงานของ mitochondria ในเซลล์

mitochondria เป็นองค์ประกอบหนึ่งภายในเซลล์ที่ทำหน้าที่เผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานสำหรับกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย DHA, EPA จะช่วยกระตุ้นให้ mitochondria ทำงานเพิ่มขึ้นถึง 50% จากปกติ

จะว่าไปแล้ว การบริโภคปลาทะเลเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่น ทั้งที่ทำสุกหรือกินสดๆ (ซูชิ) มีส่วนช่วยบำรุงสมองและได้โปรตีนคุณภาพดี ดูจากภาพวาดของคนญี่ปุ่นในสมัยก่อนแล้วแทบจะไม่ปรากฏภาพของ คนอ้วนให้เห็น ยกเว้นซูโม่ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นพิเศษ พวกซูโม่จะมีอาหารสูตรที่ปรุงพิเศษโดยเฉพาะ เคยได้ยินมาว่าอาหารของซูโม่นั้นอร่อยกว่าอาหารญี่ปุ่นทั่วไปหลายเท่า จะจริงแท้แค่ไหนก็ไม่ทราบได้เพราะไม่มีร้านไหนขายอาหารซูโม่ คงจะสงวนไว้สำหรับซูโม่เท่านั้น มิฉะนั้นอาจจะทำให้ประชากรกลายเป็นซูโม่กันหมดก็เป็นได้

ผลการวิจัยมีสารอีกตัวหนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นการทำงานของ mitochondria ให้เผาผลาญไขมัน ได้เพิ่มขึ้นถึง 90-100% เลยทีเดียว สารที่ว่านี้คือ คาเทคิน ในชาเขียวนั่นเอง จากข้อมูลดังกล่าวบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแทบทุกยี่ห้อ ผลิตและโฆษณาชาเชียวออกมาแข่งขันกัน เรียกว่าเวลาจะเลือกซื้อชาเขียวสักขวดตามร้านสะดวกซื้อ (con-venient store) จะต้องเลือกกันจนตาลาย บ้างก็โฆษณาว่ามีคาเทคิน 120% หรือไม่ก็ 200% บางยี่ห้อก็มีแพ็กเกจที่สวยสะดุดตา ฯลฯ

ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่า ชาเชียวจะเป็นยาวิเศษที่ใช้ลดน้ำหนักได้ผลชะงัด เพียงแต่ผลการวิจัยยืนยันว่า คาเทคินในชาเชียวมีส่วนช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้เท่านั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและชีวิตประจำวันให้อยู่ในสมดุลเป็นสิ่งทีจำเป็น มิเช่นนั้นแล้วถึงแม้จะดื่มชาเขียววันละ 2 ลิตร ก็คงไม่สามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ ในทางตรงกันข้ามอาจกลายเป็นปัญหาใหม่ที่เกิดจากการนอนไม่หลับ เพราะบริโภคกาเฟอีนเกินขนาด

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะกระเตื้องขึ้นจาก 3-4 ปี ก่อนก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้คนไทยเปลี่ยนมารับประทานอาหารญี่ปุ่นซึ่งมีราคาแพง หรือดื่มชาเขียวแทนน้ำแต่อย่างใด เพราะว่าภูมิปัญญาคนไทย อาหารไทยเป็นอาหารที่มีคุณค่า balance diet อร่อยถูกปาก และราคาก็ประหยัดกว่าเป็นไหนๆ ไม่ใช่หรือครับ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us