Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์19 ตุลาคม 2552
อุตฯอาหารเตือนรับมือข้อกีดกันสิ่งแวดล้อมชี้เศรษฐกิจปี53ฟุบแต่ยังขยายตัวสูงถึง12%             
 


   
search resources

Food and Beverage




ลุ่มอุตสาหกรรมอาหารยัน แม้ปีหน้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น ยอดส่งออกอาหารไทยยังคงขยายตัว 8-12%แนะเกษตรกรยกระดับ มาตรฐานการผลิตสินค้าต้นน้ำ ฝ่ากำแพงข้อกีดกันการค้าต่างชาติ พร้อมหนุนเพื่อนบ้านผลิตสินค้าป้อนอุตสาหกรรมไทย ด้านหอการค้าไทยเตือนผู้ผลิตรับมือมาตรฐานป้องกันโลกร้อน เข้มงวดการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้น้ำ หากเกินกว่าที่กำหนดต้องจ่ายภาษีเพิ่ม

แม้ว่าการส่งออกของไทยในแต่ละปีจะมีมูลค่าสูงถึง 177,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สินค้าที่นำเม็ดเงินกระจายลงสู่ประชาชนอย่างแท้จริงจะอยู่ในกลุ่มสินค้า เกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ที่มีสัดส่วนเพียง 18% ของยอดส่งออกสินค้าทั้งหมด มีมูลค่า 31,852 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ถือได้ว่ามีเสถียรภาพสูงในการสร้างรายได้เข้าสู่ ประเทศ และได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจไม่มาก เพราะเป็นสินค้าพื้นฐานที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำเพียงใด ปริมาณการบริโภคก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก

นอกจากนี้ไทยยังมีพื้นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญการผลิต และแหล่งวัตถุดิบ ทำให้ไทยมีความโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆในฐานะประเทศผู้ผลิตอาหารป้อนประชากรโลก สามารถส่งออกอาหารได้เป็นอันดับ 7 ของโลก เนื่องจากไทยสามารถตอบสนองต่อมาตรฐานที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯได้ ซึ่งล่าสุดภายหลังวิกฤติอาหารในปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยได้รับการคัดเลือกจากอาเซียนให้เป็นคลังอาหารของอาเซียน

คาดปี53ยอดส่งออกอาหารโต12%

โดยภาวะอุตสาหกรรมอาหารในปีนี้ คาดว่ายอดการส่งออกจะมีมูลค่าลดลงเพียง 7% ซึ่งถือว่าลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมกลุ่มอื่น แต่ถ้าเทียบกับปี 2550 ก็มีอัตราขยายตัวสูงถึง 10.2% เพราะในปี 2551 ถือได้ว่าเป็นปีที่ไม่ปกติ ราคาสินค้าอาหารพุ่งสูงเกินความเป็นจริง ส่วนสถานการณ์ส่งออกในปีหน้านั้น นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2553 คาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารจะมีการขยายตัวประมาณ 8-12 % แต่ก็จะเป็นการขยายตัวอย่างยากลำบาก เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงต้องสร้างความได้เปรียบในเรื่องของมาตรฐานสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคไว้วางใจ ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายต้องให้ความสำคัญเข้มงวดในสายการผลิตทั้งหมด เพราะถ้าพลาดส่งสินค้าที่มีสิ่งเจือปนออกไป ก็จะเกิดภาพลบกับสินค้าอาหารไทยทั้งประเทศ เหมือนกรณีเมลามีนที่พบในสินค้าจีน ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อถือ หันมาซื้อสินค้าอาหารจากประเทศไทยแทน

ขณะที่ปัญหาข้อกีดกันทางการค้านั้น จะเปลี่ยนรูปแบบจากข้อกำหนดมาตรฐานจากภาครัฐ มาเป็นข้อกำหนดมาตรฐานคุณภาพอาการจากภาคเอกชนผู้นำเข้าแทน โดยเฉพาะในกลุ่มซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ที่มุ่งแข่งขันในเรื่องของคุณภาพสินค้าให้เหนือกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้กลุ่มสหภาพยุโรปจะเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องของมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 1 มกราคา 2553 ซึ่งเรือประมงทุกลำจะต้องจดบันทึกอย่างละเอียดว่าจับปลาได้ที่ใด ใช้วิธีการจับปลาที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งถ้าไทยปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดเหล่านี้ได้ ก็จะสามารถยึดครองตลาดกลุ่มนี้ได้

จี้เกษตรยกระดับมาตรฐานการผลิต

ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับมาตรฐานต่างๆที่จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยจะต้องให้ความสำคัญกับห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบขั้นต้น การขนส่ง ไปจนถึงผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปขั้นสุดท้าย ผู้ผลิตทั้งกระบวนการจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ผู้ผลิตในส่วนของขั้นปลายนั้นส่วนใหญ่ผลิตได้มาตรฐานที่ต่างชาติ กำหนด แต่ยังมีปัญหาในเกษตรกรผู้ผลิตขั้นต้น และการแปรรูปขั้นกลาง โดยในอนาคตเนื้อวัวที่ผู้บริโภคทานจะต้องสามารถสืบค้นไปถึงต้นตอได้ว่ามาจาก วัวชื่ออะไร เลี้ยงที่ฟาร์มไหน อาหารทะเลที่อยู่ในกระป๋องจะต้องรู้ว่าจับมาจากเรือประมงชื่ออะไร เพื่อรับประกันความปลอดภัยได้ทุกขั้นตอน ถ้าเกิดปัญหาจะต้องรู้ได้ว่าเกิดขึ้นที่ตรงจุดใด

อย่างไรก็ดีปัจจุบันเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าขั้นต้นของไทยก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประมง โดยผู้เลี้ยงกุ้งที่มีการใช้สารตกค้างที่น้อยลง เพราะรู้ว่าหากตรวจพบสารปนเปื้อนก็จะไม่มีคนซื้อ และในอนาคตก็จะขยายความเข้มงวดในสู่ผลิตภัณฑ์ปลา ขณะที่เนื้อหมู และเนื้อวัวของไทย ยังมีการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน โรคปาก เท้าเปื่อยยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งถ้าเกษตรกรปรับปรุงการเลี้ยงให้เข้าสู่มาตรฐานแบบการเลี้ยงไก่ ก็จะทำให้สินค้าในกลุ่มนี้ขยายตัวได้อีกมาก เพราะตลาดทั่วโลกมีความต้องการสูง

แนะรัฐหนุนเพื่อนบ้านผลิตวัตถุดิบป้อนไทย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรองรับความต้องการของตลาดโลกที่สูงขึ้น รัฐบาลควรจะร่วมมือกับภาคเอกชนเข้าไปส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกรในประเทศ เพื่อนบ้าน และลงทุนอุตสาหกรรมการแปรรูปขั้นพื้นฐาน เพื่อผลิตวัตถุดิบต้นน้ำให้ได้ตามมาตรฐาน ป้อนให้กับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารของไทย ตลอดจนการเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจประมงในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และรองรับการขยายตัวในอนาคต รวมทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต และใช้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับสินค้าอาหารส่งออกที่สำคัญของไทยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าอาหารของไทยมีมูลค่า 354,968 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าอาหารสำเร็จรูปมีสัดส่วนสูงสุด มีมูลค่า 157,493 ล้านบาท ขยายตัว 6.4% รองลงมาเป็นเกษตรวัตถุดิบอาหาร 98,353 ล้านบาท ลดลง 19.1% อาหารแปรรูปขั้นต้น 72,008 ล้านบาท ลดลง 7.5% อาหารสัตว์ 19,559 ล้านบาท ลดลง 21.7% และเครื่องดื่ม 7,555 ขยายตัว 0.3% ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสินค้าอาหารสำเร็จรูปขยายตัวดีมากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะถด ถอย

ขณะเดียวกันการผลิตอาหารสำเร็จรูป และแปรรูป ก็มีสัดส่วนสูงกว่า 50% ของปริมาณสินค้าอาหารทั้งหมด ขณะที่การส่งออกสินค้าวัตถุดิบที่มีมูลค่าเพิ่มน้อยก็ค่อยๆมีสัดส่วนลดลง เรื่อยๆ ส่วนตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยจะอยู่ที่อาเซียน 18% รองลงมาเป็น สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีสัดส่วนภูมิภาคละ 15% สหรัฐฯ 14% และประเทศอื่นๆอีก 38%

เตือนไทยรับมือมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ด้านพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ว่าในปี 2553 ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังซบเซา แต่ก็คาดว่าในกลุ่มสินค้าอาหารจะมีมูลค่าการส่งออกขยายตัวประมาณ 10% มีมูลค่าประมาณ 7 แสนล้านบาท ขณะที่สินค้าข้าวน่าจะขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากประเทศคู่แข่ง และผู้นำเข้าหลายประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยปีหน้าสินค้าอาหารสำเร็จรูปจะยังคงมีความโดดเด่นในกลุ่มสินค้าอาหาร ส่วนข้อกีดกันการค้าที่จะเพิ่มขึ้นจะเป็นมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเพื่อลดภาวะโลก ร้อน เช่นมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาตรฐานการใช้พลังงาน เป็นต้น ซึ่งถ้ามีการทำลายสิ่งแวดล้อมเกินกว่าที่กำหนด อาจจะต้องเสียภาษีนำเข้าสูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us