|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนมองข่าวลือ กระทบตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น มั่นใจนักลงทุนยังเชื่อมั่น เดินหน้าลงทุนในต่อ พร้อมเชียร์เก็บหุ้นปันผลมากกว่า 5% เป็นรายตัวเข้าพอร์ต ช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ ฟันธงหุ้นภาคการเงิน ประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์ ยังน่าลงทุน
นายณสุ จันทร์สม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน อีเอฟจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยเพียงเพราะเรื่อง ข่าวลือที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยนั้นเข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของประเทศไทย เป็นอย่างดี และได้มีการประเมินความเสี่ยงต่างๆไว้ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวลือดังกล่าวถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเฉพาะประเทศไทยจริง ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้ต่างชาติตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะถือโอกาสขายทำ กำไรออกมาบ้างเพราะต้นทุนค่อนข้างต่ำ การตัดสินใจขายในกรณีที่เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาจึงสามารถทำได้ง่าย แต่ไม่คิดว่านักลงทุนต่างชิตจะหนีไปจากตลาดหุ้นไทยแน่นอน เพราะในท้ายที่สุดเงินทั่วโลกยังต้องมองหาแหล่งลงทุนสุดท้าย ก็ต้องกลับมาว่าที่พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเองหากมีมูลค่าที่น่าสนใจมากน้อย เเค่ไหน นักลงทุนต่างชาติก็ต้องกลับเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนในหุ้นจากนี้ไปนักลงทุนจะต้องทำการบ้านเพิ่มเพื่อเลือกหุ้นให้ มากขึ้น เพราะหุ้นจะไม่ได้ขึ้นทั้งกระดานเหมือนช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้การเลือกคัดเลือกหุ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
“นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงมากกว่า 5% มีเบต้าต่ำ (ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงน้อยกว่าการขึ้นลงของดัชนี) มีพื้นฐานดีรองรับซึ่งในที่สุดราคาก็จะเติบโตไปได้ ไม่ควรเข้าไปเล่นหุ้นที่ขึ้นมาโดยไม่มีปัจจัยรองรับเพราะสุดท้ายการขึ้นของ ราคาจะไม่ยั่งยืน รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานก็ยังมีความน่าสนใจหากมองในระยะกลางถึงยาว ราคาน้ำมันยัเป็นแนวโน้มขาขึ้น” นายณสุกล่าว
นายณสุ กล่าวต่อถึงกองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ หรือ KT-FINANCE ของบลจ.กรุงไทย ซึ่งไปลงทุนในสกุลเงินยูโรว่า หากมองอัตราแลกเปลี่ยนระหว่ายูโรกับดอลลาร์สหรัฐฯนั้น ค่าเงินยูโรน่าจะได้ประโยชน์จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ในส่วนของนักลงทุนไทยเองถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะกระจายการลงทุนไปในสกุลเงิน อื่นของโลกนอกเหนือจากเงินบาทเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย
โดยในส่วนของกองทุน KT-FINANCE เองถือเป็นกองทุนที่มีความน่าสนใจเพราะไปลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในภาคการเงิน ทั่วโลกซึ่งต่างกันกับหุ้นสถาบันการเงินในประเทศไทยอบ่างชัดเจนเพราะธุรกิจ ภาคการเงินทั่วโลกไม่ได้มีแค่ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ธุรกิจรับประกันภัยต่อถือเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากแม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตยังมองเป็นธุรกิจที่น่าสนใจลงทุน หรือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่มีกำไรค่อนข้างดีไม่ว่าภาวะตลาดจะขึ้นหรือลง ธุรกิจบลจ.ที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเสมอไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้น หรือลง เป็นต้น
“กองทุน KT-FINANCE จึงถือเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวจากนี้ไป การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งธีมการลงทุนในธุรกิจการเงินของโลกถือเป็นธีมหนึ่งที่น่าสนใจเช่นเดียว กัน” นายณสุกล่าว
ด้านนายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มที่เชื่อว่าจะกลับมาเเข็งเเกร่งในอนาคตอันใกล้นี้คือ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน การให้บริการทางการเงิน เช่น ประกันภัย ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เรามองว่าหลังวิกฤติเรื่องสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายลงนั้น ส่งผลให้ต้นทุนของสถาบันการเงินลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของภาคธนาคารมีเเนวโน้มฟื้นตัว และอัตราผลตอบเเทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็มีเเนวโน้มปรับตัวดีขี้นเช่นกัน นอกจากนี้เรามองว่าอัตราส่วนราคาต่อสินทรัพย์หรือ Price to BooK ของหุ้นประเภทดังกล่าว ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้ว ซึ่งมีเเนวโน้มว่ากำลังจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเคแทม เวิล์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) ที่กำลังเสนอขายพีโอระหว่างวันที่ 13-27 ต.ค. 2552 นี้ ถือเป็นกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector Fund) ที่เน้นลงทุนในหุ้นในธุรกิจการเงินทั่วโลกดดยปัจจุบันกองทุนหลักคือ กองทุน Global Financial Services Fund นั้นมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐประมาณ 41.8% อังกฤษ 18.3% และที่เหลือกระจายไปในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก โดยกองทุน KT-FINANCE จะลงทุนในสกุลเงินยูโรและไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลก เปลี่ยนแต่ประการใด เพราะสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐที่มีมากนั้นเป็นเพียงตัวบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้น แต่ในแง่ของรายได้บริษัทเหล่านี้มาจากทั่วโลก ปัจจุบันกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 40% ยูโร 10% และปอนด์สเตอร์ลิง 10% อีก 40% ที่เหลือเป็นสกุลเงินท้องถิ่นตามแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนซึ่งค่าเงินจะ เป็น Natural Hedge ไปซึ่งช่วยลดความผันผวนในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนไปได้
|
|
|
|
|