|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์ชาติเหนื่อยใจบาทแข็งต่อเนื่อง แฉพ่อค้าทองอาศัยจังหวะราคาทองคำพุ่ง ส่งออกไปขายเมืองนอก นำดอลลาร์มาแลกกดดันค่าเงิน ประกอบกับเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง ล่าสุดยอดตั้งแต่ต้นปีสุทธิ 6 หมื่นล้าน ยันภาพรวมเงินบาทเกาะกลุ่มเพื่อนบ้านแข็งค่าแค่ 4% ล่าสุด 33.30 บาทต่อดอลลาร์
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เงินบาทไทยแข็งค่ากว่าปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นล่าสุดทำลายสถิติใหม่ที่ระดับ 1,051 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีการเทขายทองออกมามากและผู้ค้าทองคำมีการส่งออกทองออกไปยังต่างประเทศ และเมื่อได้เป็นเงินดอลลาร์มานำมาแลกเงินบาท จึงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เงินทุนไหลกลับไทยจากกองทุนที่ไปลงทุนในออสเตรเลียครบกำหนด ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากแนวโน้มที่ตลาดประเมินกลับทิศว่าอาจจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น
“จริงๆ เงินบาทแข็งค่าได้ ถ้าบาทค่อยๆ แข็งมันยังโอเค แต่ขณะนี้บาทมีการเคลื่อนไหวสูงเร็ว แบงก์ชาติจึงพยายามดูแลให้ค่าเงินเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานไม่แข็งกว่าประเทศอื่นๆ โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่า 4% เทียบกับค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งที่ระดับ 26%”นางสุชาดากล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมามีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นมาก โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาไหลเข้าสุทธิ 6 หมื่นล้านบาท แต่ขนาดเข้ามาลงทุนยังเล็กอยู่เมื่อเทียบกับทั้งปีก่อนที่มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 1.6 แสนล้านบาทซึ่งเงินทุนไหลเข้าออกในขณะนี้ก็เป็นไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาค
นางสุชาดากล่าวว่า การที่ธนาคารกลางของออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งผิดการคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจออสเตรเลียดีขึ้นทั้งอุปสงค์ในประเทศแข็งแกร่งและภาคอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรง รวมถึงตัวเลขการว่างงานน้อยกว่าที่ประเมินไว้ คือ 1 หมื่นอัตรา แต่ตัวเลขจริงกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 4 หมื่นอัตรา
แต่เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจไทยไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะขณะนี้ไทยก็ยังมีความไม่แน่นอนหลายตัว อัตราเงินเฟ้อยังติดลบอยู่ และภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่ร้อนแรงกว่าประเทศอื่นจากมาตรการภาครัฐช่วยเหลืออยู่ จึงอยากให้มีการประคับประคองเศรษฐกิจต่อไปก่อน
หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ที่อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจอยู่ในแนวบวกต่างกับไทยที่เฉลี่ยทั้งปีนี้ยังติดลบอยู่ อีกทั้งประเทศอินโดนีเซียมีน้ำมันส่งผลให้เศรษฐกิจดีได้ ประกอบกับมีมีสัดส่วนการส่งออกน้อย เทียบกับไทยที่มีสัดส่วนที่เยอะมาก ฉะนั้นปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
สำหรับกรณีที่มีบางคนเป็นห่วงว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ และตลาดมองว่ากว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกนาน ทำให้ในตลาดอาจจะมีกู้เงินดอลลาร์มาเยอะในลักษณะ Carry Trade เหมือนกับเงินสกุลเยนของญี่ปุ่นในอดีตนั้น นางสุชาดา กล่าวว่า ในส่วนนี้มีบ้างแต่ไม่มากนัก
โดยอาจจะทำกับสกุลอื่นและคงจะไม่ใช่กับค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่ปัจจุบันแข็งค่าเร็ว
ดังนั้น ในขณะนี้ธปท.ยังคงย้ำจุดเดิม คือ ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าจะต้องมีการบริหารความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงสกุลเงินตราต่างประเทศ ซึ่งป้องกันความเสี่ยงทั้งขาเข้าและออก เพราะต่อไปไม่สามารถมีใครบอกได้ว่าค่าเงินจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม เงินบาทแข็งค่าเร็วในขณะนี้ ทางการก็พยายามดูแล จึงอย่าไปเก็งกำไรค่าเงิน
**ธปท.แทรกแซงหลังบาทแตะ 33.30**
นักค้าเงินจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวานนี้ (8 ต.ค.) ที่ระดับ 33.36-33.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยระหว่างวันค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวแข็งค่าสุดอยู่ที่ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีการอ่อนลงมาอยู่ที่ 33.36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยค่าเงินบาทปิดตลาดตอนเย็นอยู่ที่ 33.30-33.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทของไทยยังคงมีการปรับตัวแข่งค่านั้น เนื่องจากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามายังตลาดหุ้นมากพอสมควร ทำให้มีการซื้อเงินบาทสุทธิและเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.มีการเข้ามาดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทมีการปรับตัวแข็งค่าเร็วจนเกินไป ดังนั้นปัจจัยที่ต้องติดตามคือการที่นักลงทุนชาวต่างชาติมีการเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯแล้วซื้อเงินบาทอยู่ในระดับที่สูง จึงทำให้ประเมินว่ากรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไว้วันนี้ (9 ต.ค.)ไว้ที่ระดับ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับแข็งค่า.
|
|
|
|
|