Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์5 ตุลาคม 2552
กลยุทธ์เก็งกำไรอสังหาฯใช้เงินต่อเงิน !กำไร 300 %             
 


   
search resources

บรรยง วิเศษมงคลชัย
Real Estate




- เปิดกลยุทธ์เก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงก์
- บ้าน คอนโด ที่ดิน โรงงานอุตสาหกรรม แบบใดได้ผลดีกว่ากัน
- รวมไปถึงทำเลที่ตั้งทั่วประเทศ ย่านไหนเป็นทำเลทองซื้อง่ายขายคล่อง
- พร้อมเปรียบเทียบสินเชื่อแบงก์ทั้งในด้านดอกเบี้ย -เงื่อนไขที่ดีกว่าให้เลือกใช้บริการได้ทุกประเภท
- ขณะเดียวกันรวบรวมอสังหาฯของถูกไว้ให้นักช็อปได้เลือกสรรเบื้องต้นก่อนตัดสินใจลงทุนจริง ..!

ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดิน ทำให้ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยมีรายได้ลดลง และเริ่มหาทางขยับขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากการฝากเงินไว้กับแบงก์ซึ่งแม้ว่าจะมีความสี่ยงน้อยก็ตาม

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้มีเงินออม หรือนักลงทุน เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนให้มากถึงปีละเฉลี่ยที่ 6-8% มากกว่าการฝากเงินไว้ที่แบงก์หลายเท่าที่เฉลี่ยหากฝากเงินไว้ที่แบงก์แบบออมทรัพย์จะมีรายได้ปีละ 0.5% เศษ ส่วนฝากประจำหากรู้จักเลือกจังหวะของการฝากอาจจะมีรายได้ที่ปีละ 3-4%

บรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ช่องทางที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากแบงก์ นั่นคือ การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงหากเทียบกับการลงทุนในธุรกิจอื่น ซึ่งการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนสูงกว่าฝากแบงก์ถึง 3 เท่า แต่ก็ยอมรับว่ามีความเสี่ยงบ้าง เพราะมีสภาพคล่องน้อยกว่าฝากเงินไว้ที่แบงก์

โดยสามารถพิจารณาได้จากดัชนีราคาที่ดิน นับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ราคาที่ดินเปล่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างปรับตัวสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยที่ปีละ 3.3% ขณะที่บางปีปรับสูงขึ้นถึง 6% แม้ว่าในในภาวะเศรษฐกิจซบเซาราคาที่ดินยังปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี 2551 เป็นปีที่ไทยประสบกับปัจจัยลบหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวมตกต่ำจากวิกฤตการเงินโลก ความไม่มั่นใจจากการเมือง กำลังซื้อลดลง ความเชื่อมั่นถดถอย แต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังปรับตัวสูงขึ้นถึงเฉลี่ย 6% ขณะที่บางทำเลปรับสูงขึ้นถึง 30-50% โดยเฉพาะในทำเลที่มีสาธารณูปโภคเข้าไปในพื้นที่

ราคาขยับ 3 เท่า

บรรยง กล่าวว่า แม้ว่าการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะให้ผลตอบแทนดี แต่การลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเลือกลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด และมีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยที่ดินเปล่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ดินที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม และอยู่ห่างจากตัวเมืองในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร เพราะในอนาคตไม่เกิน 3-5 ปี ความเจริญจะกระจายเข้าไป ทำให้พื้นที่ที่เป็นเกษตรกรรมในอดีต เปลี่ยนเป็นพื้นที่เพื่อพักอาศัย ซึ่งจะทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นไปโดยอัตโนมัติ

"ปกติที่ดินที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมราคาเฉลี่ยตารางวาละไม่เกิน 1,000 บาท หรือไร่ละ 100,000 บาท และเมื่อความเจริญเข้ามาถึงทำให้ราคาที่ดินไล่ขึ้นไปที่ไร่ละ 400,000 บาท ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี "

ทั้งนี้ บรรยง ยังบอกอีกด้วยว่า นอกจากที่ดินเปล่าจะน่าสนใจลงทุนแล้ว คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ กสามารถเลือกซื้อเพื่อลงทุนได้ เพราะราคาขยับขึ้นทุกปี โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลเกาะแนวรถไฟฟ้า ซึ่งนอกจากราคาจะปรับขึ้นหลังจากที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ยังสามารถปล่อยให้เช่าได้ด้วย ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้เฉลี่ยที่ปีละ 6-8% ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาปรับขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.56%และทาวน์เฮาส์ ปรับขึ้น 2.79% ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2545

ที่ดินเปล่ามาแรง

นอกจากนี้สินทรัพย์ที่โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์แนะนำให้น่าลงทุน คือ ที่ดินเปล่า ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ค่อยมีการแย่งซื้อที่ดินหรือปั่นราคา จึงทำให้ราคาที่ดินทรงตัว ไม่ปรับตัวหวือหวา ถือได้ว่าเป็นจังหวะที่น่าลงทุน เช่นในช่วงนี้ที่หลายฝ่ายกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุด หากซื้อที่ดินในตอนนี้ก็จะได้ราคาต่ำกว่าการซื้อในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว

"ข้อแนะนำในการลงทุนซื้อที่ดินสำหรับลงทุน อย่างแรกให้ดูทำเล ควรเน้นทำเลที่ใกล้แหล่งชุมชนเป็นหลัก ติดถนนใหญ่หรือถนนสายหลักได้ยิ่งดี ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว ควรซื้อที่ดินที่มีถนนสายใหม่ตัดผ่าน ซึ่งถ้าไปซื้อในช่วงต้นๆ จะได้ราคาดี ไม่แพงเกินไป สามารถซื้อได้แปลงใหญ่พอสมควร ซึ่งในเม็ดเงินก้อนเดียวกัน ถ้าไปซื้อที่ดินในเมืองตอนนี้ก็คงได้แปลงเล็กๆและต้องซื้อในราคาที่แพงมาก" วิศิษฎ์ คุณาทรกุล นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้ เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด โบรกเกอร์บ้านมือสองกล่าว

สายสีม่วงขึ้นแท่นทำเลร้อน

จากการสอบถามคนในแวดวงที่ดิน ได้คำตอบตรงกันว่า ทำเลที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงตัดผ่านถือว่าน่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด และใกล้จะก่อสร้างในเร็วๆ นี้ หากเข้าไปลงทุนซื้อที่ดินเก็บในช่วงนี้ เชื่อว่าเมื่อซื้อไปแล้ว หากถือไว้อย่างน้อย 3-5 ปี จะต้องมีกำไร ด้านส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่)และแบริ่ง ยังไม่มีความชัดเจน ถือว่าน่าสนใจน้อยกว่า

วิศิษฎ์กล่าวว่า ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงถือว่าราคายังไม่แพงมากเท่าย่านในเมืองหรือซีบีดีที่มีรถไฟฟ้าผ่านอยู่แล้ว เช่น รัตนาธิเบศร์ ช่วงติดถนนใหญ่ 40 เมตรแรก ราคาซื้อขายอยู่ที่ 6-7 หมื่นบาทต่อ ตร.วา ติวานนท์ (ติดถนนใหญ่) ราคา 1-1.5 แสนบาทต่อ ตร.วา บางบัวทอง/บางใหญ่ (ติดถนนใหญ่) ราคา 6-8 หมื่นบาทต่อ ตร.วา และให้จับตาดูทำเลที่มีการขยายถนน ซึ่งจะเป็นตัวผลักทำให้ราคาที่ดินที่ลงทุนสูงขึ้นด้วย เพราะการจราจรคล่องตัวมากขึ้น สามารถเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น วัชรพล ที่วันนี้ยังครองแชมป์ทำเลทองนอกเมืองสำหรับการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาหลายปี

มีทุนหนาแนะซื้อที่ในเมือง

ทื่ดินในเมือง แม้จะมีราคาสูงกว่านอกเมืองอยู่มากก็ตาม แต่ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าก็ยังได้รับการยอมรับว่ามีความเสี่ยงน้อยสำหรับลงทุนในยุคนี้ และเน้นย้ำว่าเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเม็ดเงินหนาพอสมควร ซึ่งวิศิษฎ์แนะว่า ทำเลสุขุมวิท ตั้งแต่เพลินจิตถึงแบริ่ง ลาดพร้าวตามซอยต่างๆ รัชดาภิเษกตลอดเส้น (แยกอโศกถึงรัชโยธิน) ซึ่งเป็นถนนวงแหวนรอบใน ถือว่าน่าสนในการลงทุน และมีศักยภาพ เพราะเป็นถนนที่มีแนวรถไฟฟ้าที่เปิดใช้แล้วในปัจจุบันผ่านตลอดเส้น ทำให้ราคาที่ดินปรับขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินบนถนนรัชดาภิเษกช่วงต้นนับจากแยกอโศกอยู่ที่ 2.5-3 แสนบาทต่อ ตร.วา รัชโยธิน 2-2.5 แสนบาทต่อ ตร.วา

ส่วนถนนรัชดาภิเษก ช่วงอโศกไปพระราม 3 เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดแนว เป็นทำเลที่มีความคึกคักน้อยกว่า เพราะยังไม่มีแนวรถไฟฟ้าผ่าน แต่ก็ถือเป็นทำเลที่อยู่ใกล้ซีบีดีมากที่สุด ซึ่งในปีหน้าจะมีรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ทีวิ่งผ่านในเส้นพระราม 3-นราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อขนส่งคนไปยังสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ก็จะทำให้เป็นทำเลที่มีระบบขนส่งมวลชนดีขึ้น แต่ก็คาดการณ์ได้ยากว่า เมื่อรถเมล์บีอาร์ทีเปิดให้บริการแล้วจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทำเลอย่างรวดเร็ว และทำให้ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นเช่นเดียวกับที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าหรือไม่ หากมองในศักยภาพทำเล ถือว่าเหมาะสมเป็นย่านพักอาศัยที่อยู่ใกล้ซีบีดีมากกว่าย่านพาณิชยกรรม โดยราคาที่ดินฝั่งติดริมแม่น้ำอยู่ที่ 2-2.5 แสนบาทต่อ ตร.วา ฝั่งไม่ติดแม่น้ำ 1 แสนกว่าบาท ต่อ ตร.วา

ปฏิมา จีระแพทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เชื่อว่า ทำเลรัชดาภิเษกในอนาคตจะพลิกโฉมกลายเป็นทำเลธุรกิจที่เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้มแล้ว ยังมีโครงการใหญ่ที่จะเกิดขึ้นด้วย เช่น เซ็นทรัล พระราม 9 มองว่าภายใน 3 ปีจะเป็นทำเลทองของนักลงทุน หากไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบ

ส่วนทำเลรอบนอก เช่น รามอินทรา สุขาภิบาล 1 และ 3 ก็น่าสนใจ เพราะความเป็นเมืองเริ่มจะกระจายไปแล้ว และทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า เช่น รัตนาธิเบศร์ เทพารักษ์ เป็นย่านที่มีความเจริญแล้ว อยู่ใกล้ถนนวงแหวน สามารถเดินทางได้สะดวก

ชี้ชัดราคาที่ดินมีแต่ขึ้น

ส่วนการขยับขึ้นของราคาที่ดินในแต่ละย่านที่ผ่านมา พรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟรส์ จำกัด กล่าวถึงผลสำรวจราคาที่ดินปีนี้ ซึ่งสะท้อนว่าแม้เศรษฐกิจจะชะลงตัวลงบ้าง แต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ยังน่าสนใจ เห็นได้จากราคาที่ดินก็ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พบว่าราคาที่ดินทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีการปรับขึ้น 3%

โดยย่านซีบีดี เช่น สาทร สีลม ราคาเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 13.7% ซึ่งอัตราการเพิ่มถือว่ามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะที่ดินหาได้ยากขึ้น และมีแปลงเล็กลง ส่วนพญาไท เพลินจิต วิทยุ สยามสแควร์ สุขุมวิทตอนต้น ราคาเพิ่มขึ้นเกิน 20% เพราะดีเวลลอปเปอร์แย่งกันซื้อ เพื่อพัฒนาโครงการ ในขณะที่ในบางทำเลที่กล่าวมา หลายแปลงเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์เช่า จึงไม่สามารถหาซื้อแบบ Free Hold ได้ แต่อย่างไรก็ตามพรภักษ์มองว่า ในปีหน้าที่ดินในซีบีดีก็ยังสามารถจะเก็งกำไรได้อยู่

สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ทำเลที่น่าสนใจ คือ แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีที่ดินหลายแปลงให้พอหาซื้อได้ และยังมีที่ดินแปลงใหญ่เหลืออยู่ ควรเน้นซื้อที่ดินในรัศมีไม่เกิน 500 เมตรจากสถานีรายทาง ซึ่งจะเหมาะกับการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ หรือซื้อบ้านมือสองในย่านดังกล่าวมารีโนเวทแล้วขายต่อ ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจเช่นกัน และสถานีปลายทาง เช่น บางใหญ่ ซึ่งมีชุมชนกระจุกตัวอยู่หนาแน่น โดยที่ผ่านมาราคาที่ดินแนวสายสีม่วงขยับขึ้นจากปีที่แล้ว 17% อีกทำเล เช่น ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นถนนสายใหม่ ยังมีที่ดินเปล่าเหลืออีกมาก ราคายังสามารถขยับขึ้นได้อีก ซึ่งหากซื้อไว้ก็น่าสนใจ เพราะเป็นทำเลที่ดีเวลลอปเปอร์ต้องการซื้อ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร โดยถนนรัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ ราคาที่ดินขยับขึ้นจากปีที่แล้ว 10-15% ส่วนถนนชัยพฤกษ์ หลังจากเปิดใช้สะพานพระราม 4 ซึ่งเชื่อมถนนราชพฤกษ์กับแจ้งวัฒนะแล้ว ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น รวมถึงในอนาคตมีโครงการก่อสร้างวิทยาเขตแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยบน ถ.ชัยพฤกษ์ ทำให้ศักยภาพของทำเลนี้ในอนาคตสามารถลงทุนในเชิงพาณิชยกรรมได้ จึงเป็นทำเลที่มีโอกาสจะเติบโตได้อีก

กว้านซื้อ NPA

"NPA พวกทาวน์เฮาส์ ตึกแถว คอนโด ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นทำเลดีอยู่แล้ว ถ้าซื้อตอนนี้ก็จะได้ส่วนลดเยอะ เพราะทรัพย์บางส่วนสถาบันการเงินถือครองมาใกล้ครบกำหนดเวลา 10 ปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตแล้ว จึงต้องมีการลดราคา เพื่อเร่งระบายทรัพย์ออกไป ทำให้เป็นลู่ทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้

ซื้อมารีโนเวทแล้วปล่อยเช่าหรือขายต่อ หรือผู้ที่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองก็คุ้มค่า เพราะราคาไม่แพง อยู่ในทำเลดี นอกจากนี้สินทรัพย์อื่นๆ เช่น โกดัง โรงงาน ตอนนี้ถือว่าราคาถูกลงมาก เพราะเศรษฐกิจแย่ แต่ถ้าเศรษฐกิจรวม การลงทุนกลับมาฟื้นตัวเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสที่ราคาก็จะปรับขึ้น จากต้นทุนที่ซื้อ NPA อยู่ในราคาไม่แพง ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนค่อนข้างสูง อยู่ในระดับ 7-10% ต่อปีหากปล่อยเช่า หรือถ้าขายต่ออาจจะได้สูงถึง 50% ในบางกรณี เช่น การซื้ออาคารร้างมาพัฒนาต่อ" ปฏิมากล่าว

คอนโดแนวรถไฟฟ้ายังฮอต

2-3 ปีที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าเป็นกระแสที่มาแรงในกลุ่มนักลงทุน แม้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจที่ซบเซาจะทำให้ดีมานด์ส่วนหนึ่ง คือ กลุ่มต่างชาติหายไปจากตลาด ทำให้ตลาดเช่าหดตัวตามไปด้วย เหมือนเป็นขาลงของตลาด แต่ปฏิมายืนยันว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าจะยังไปได้อีกนาน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี เช่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปิดจองโครงการใหม่ของโนเบิล เอพี ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มีการขายใบจองยูนิตต่อในตลาดรอง สะท้อนว่าดีมานด์ยังมี โอกาสของนักลงทุนจึงยังมีอยู่ และในอนาคตแนวรถไฟฟ้าจะขยายออกไปนอกเมือง หากจะซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์เก็บไว้ก็น่าสนใจ เพราะมีแนวโน้มที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนจากการเช่าจะไม่สูงเท่าคอนโดมิเนียม

"ตลาดคอนโดที่ไปได้ คือ กลุ่ม B+ ราคา 9 หมื่น-1.2 แสนบาทต่อ ตร.ม. และ กลุ่ม B ราคา 7-9 หมื่นบาทต่อ ตร.ม. ถ้าปล่อยเช่าก็ได้ผลตอบแทน 7-8% ต่อปี ซึ่งมีตลาดเช่าของคนไทย เช่น คนต่างจังหวัดที่มีบุตรหลานเรียนในกรุงเทพฯ คนที่มีบ้านอยู่ชานเมือง แต่ทำงานในเมือง แต่ถ้าไปลงทุนในกลุ่ม A ตลาดบนพวกเกินแสนบาทต่อ ตร.ม. ขึ้นไป ระยะสั้นผลตอบแทนอาจจะไม่คุ้ม เพราะหาตลาดเช่ายากกว่า ถ้าจะลงทุนคงต้องมองระยะยาว 5-7 ปีขึ้นไป"

ล่องลม บุนนาค ประธานกรรมการ บริษัท โจนส์ แลงก์ ลาซาลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเช่าคอนโดมิเนียมน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า ตามภาวะเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีดีมานด์จากผู้เช่าต่างชาติกลับมา ดังนั้นจึงยังเป็นจังหวะที่ดีหากจะลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในปีนี้ เพราะหากปีหน้าภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ต้นทุนค่าก่อสร้างจะแพงขึ้น ราคาคอนโดมิเนียมที่ซื้อไว้ก็น่าจะปรับขึ้นได้อีก โดยปัจจุบันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตามข้อคิดในการลงทุนซื้อที่ดินเปล่าเพื่อเก็งกำไร ทุกรายแนะนำว่า ควรมองเป็นการลงทุนระยะยาว 2-3 ปีขึ้นไป เพราะต้องใช้เวลาในการพัฒนา เช่น รอให้โครงการรถไฟฟ้าทยอยก่อสร้าง เพื่อเพิ่มมูลค่าไประยะหนึ่ง ที่สำคัญอย่าลืมกระจายพอร์ตการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง

แนะซื้อกองทุนอสังหาฯ

สำหรับนักลงทุนที่มีเงินไม่มากนัก ไม่ต้องการความเสี่ยงสูง ไม่อยากมีภาระในการบริหารการเช่า ดูแลยูนิตเอง ล่องลมกล่าวว่า ควรลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เลือกกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Free Hold ซึ่งกองทุนเป็นเจ้าของเอง เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่มีลดลง ตรวจสอบดูว่าสินทรัพย์ดังกล่าวมีผู้เช่าจริงหรือไม่

อาจจะเลือกกองทุนรวมที่ลงทุนในรีเทล ที่อยู่อาศัย และผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติ หรือบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคง ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 4% ขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยปรับลดลง มีแต่ราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดที่ลดลงตามภาวะตลาดหุ้นรวม อย่างไรก็ตามวิธีนี้ถือเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่องสูงสามารถขายต่อได้ทันทีที่ต้องการ และเหมาะกับนักลงทุนทุกคนไม่ว่าจะมีเม็ดเงินขนาดใดก็ตาม

ส่วนมุมมองของนักการเงิน อุมาพันธ์ เจริญยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ก็ให้น้ำหนักกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ว่าเป็นช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจในขณะนี้ในอันดับต้นๆ รองจาก พันธบัตร-หุ้นกู้ และหุ้น โดยมี 3 แนวทาง ได้แก่ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

สำหรับคนที่มีเม็ดเงินหนา อาจจะลงทุนในอสังหาฯ โดยตรงหรือซื้อหุ้นก็ได้ โดยเลือกหุ้นบริษัทรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งกลุ่มนี้จะมีฐานะมั่นคง มีการรับรู้รายได้และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แม้ช่วงนี้ราคาหุ้นจะไม่สูงมาก เพราะภาวะตลาดหุ้นผันผวน แต่ก็เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว

หากลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควรดูว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด มีรายได้จากปล่อยเช่าสินทรัพย์เป็นอย่างไร เงื่อนไขการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว) หรือรายได้ (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) เป็นอย่างไร และขณะนี้หมดช่วงเวลาดังกล่าวไปหรือยัง ซึ่งแต่ละกองทุนจะกำหนดไว้แตกต่างกัน นอกจากนี้ให้ดูประวัติการจ่ายเงินปันผล และดูสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้นด้วย ซึ่งกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มค้าปลีก ถือว่ามีสภาพคล่องดีที่สุด


แนะวิธีเลือกแบงก์กู้ซื้อบ้าน ยุคเศรษฐกิจฝืดรายได้หด

ในช่วงภาวะอัตราดอกเบี้ยขณะนี้ที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุด ก่อนจะเริ่มขยับสูงขึ้นในปีหน้า บวกกับมีมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ และโปรโมชั่นต่างๆ ที่ดีเวลลอปเปอร์หยิบมาใช้กันอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิงยอดขายมาเป็นตัวเสริม จึงทำให้ปีนี้กลายเป็นปีแห่งโอกาสทองสำหรับคนที่คิดจะซื้อบ้านอย่างแท้จริง

ฟากสถาบันการเงินก็ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้เช่นกัน โดยแต่ละรายต่างงัดแพ็คเก็จดอกเบี้ยรูปแบบต่างๆ มาต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในระยะหลังเห็นได้ว่าเกือบทุกแบงก์ต่างใช้กลยุทธ์เชิงรุกแบบเคาะประตูบ้าน โดยจับมือกับดีเวลลอปเปอร์พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านในโครงการจัดสรรดังกล่าวโดยตรง เช่น อัตราดอกเบี้ย 0% ช่วยลูกค้าผ่อนค่างวดรายเดือน เปรียบเสมือนเป็นส่วนลดราคา เพื่อเป็นลดภาระทางการเงินของผู้ซื้อบ้าน

ภายใต้แพ็คเก็จดอกเบี้ยหลายรูปแบบที่ดูแตกต่างกัน และอาจทำให้ผู้ซื้อบ้านเกิดความสับสน ชาติชาย พยุหนาวีชัย กรรมการบริหารสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ได้แนะนำวิธีการเลือกแพ็คเก็จสินเชื่อที่อยู่อาศัยว่า พื้นฐานในการเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัย คือ การดูที่อัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็เหมือนราคาของสินค้าที่บริโภคจะซื้อ โดยเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยช่วง 1-3 ปีแรกของธนาคารแต่ละแห่งว่าเป็นอย่างไร เช่น คงที่ หรือลอยตัวอัตราพิเศษ

"อย่างแนวโน้มดอกเบี้ยในปีหน้าจะเป็นขาขึ้น ก็ควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ในช่วงปีแรกๆ"

ถัดมาให้พิจารณาอัตราดอกเบี้ย MLR ซึ่งแต่ละแห่งจะกำหนดไว้ไม่เท่ากัน บางธนาคารแม้จะกำหนดอัตราลบจาก MLR ไว้มากกว่าอีกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้วก็อาจจะแพงกว่า ซึ่งธนาคารขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงเทพ และกรุงไทย จะกำหนด MLR ไว้ต่ำกว่าธนาคารขนาดเล็ก

นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแพ็คเก็จสินเชื่อเป็นรายโครงการ เนื่องจากปัจจุบันแต่ละธนาคารจะจับมือกับดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จัดแคมเปญการเงินร่วมกัน ซึ่งแต่ละโครงการจัดสรรจะได้เงื่อนไขดอกเบี้ยไม่เหมือนกัน ผู้ซื้อบ้านควรจะเช็คข้อมูลโปรโมชั่นจากโครงการจัดสรรต่างๆ หรือเช็คโดยตรงจากธนาคาร เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน บางครั้งอัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่เป็นพันธมิตรกับดีเวลลอปเปอร์รายนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารอีกแห่งแล้วก็อาจจะไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยที่ถูกที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ประกอบด้วย โดยภาระการผ่อนค่างวดทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เครื่องใช้ไฟฟ้า บัตรเครดิตต่อเดือนไม่ควรสูงเกิน 40% ของรายได้ หากกู้ระยะเวลา 20 ปี บุคคลที่มีรายได้ทุก 20,000 บาท จะมีความสามารถในการกู้ซื้อบ้านได้ในราคา 1 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ผู้กู้สามารถทดสอบตัวเองง่ายๆ โดยการเข้าไปกรอกแบบคำนวณสินเชื่อ ซึ่งมีอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคารทุกแห่ง และโครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ

ส่วนธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้ออกสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ภายใต้วงเงิน 15,000 ล้านบาท สำหรับให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือคอนโดมิเนียมใหม่จากผู้ประกอบการเท่านั้น และการให้กู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เดือนที่ 1- 3 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี เดือนที่ 4 - 12 คิดอัตราดอกเบี้ย 2.99% ต่อปี ปีที่ 2 - ปีที่ 3 เท่ากับ MRR - 2.00% ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MRR -0.50% (กรณีลูกค้ารายย่อย) หรือ MRR - 1.00% (กรณีลูกค้าสวัสดิการ) โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. เท่ากับ 6.50% สามารถยื่นคำขอกู้ได้จนถึง 31 ต.ค. นี้หรือจนกว่าวงเงินกู้เต็มกรอบวงเงินที่กำหนด และต้องทำนิติกรรมภายใน 30 ธ.ค. นี้

นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อ Fast Track ตามนโยบายขอกระทรวงการคลังที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและจับจ่ายใช้สอย โดยจะปล่อยให้กับผู้ซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมใหม่จากดีเวลลอปเปอร์ทั่วไป หรือดีเวลลอปเปอร์ที่เข้าร่วมโครงการ ภายใต้วงเงิน 15,000 ล้านบาท กำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบเดียวกับโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งสินเชื่อในโครงการนี้ผู้กู้จะทราบผลอนุมัติภายในเวลา 7 วัน โดยต้องยื่นขอสินเชื่อก่อน 31 ต.ค. นี้ นอกจากนี้ธนาคารได้ลดค่าธรรมเนียมยื่นกู้ เหลือ 0.05% ของวงเงินทำนิติกรรม (ปกติคิดค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม กรณีวงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ไม่คิดค่าธรรมเนียมกู้)

เปิดเคล็ดลับเลือกบ้านมือสอง เช็ครอบด้านก่อนตัดสินใจ

กรมบังคับคดีแนะผู้บริโภคก่อนซื้อบ้าน ควรศึกษาข้อมูลบ้านจากหน่วยงานที่นำมาขายทอดตลาด เงื่อนไข สิทธิพิเศษ ข้อดี-ข้อเสียก่อนตัดสินใจซื้อ ชี้บ้านมีทั้งดีและไม่ดี ควรตรวจสอบให้แน่ใจ ผู้ซื้อต้องรับสภาพบ้านเก่า ทรุดโทรม ซ่อมแซมเพิ่ม

การเลือกซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องทีจะตัดสินใจได้ง่ายๆเพราะบางครั้งอาจได้บ้านที่สภาพไม่ได้ ทรุดโทรมต้องเสียเงินซ่อมแซมอีกจำนวนมาก ยิ่งการซื้อบ้าน จากแหล่งต่างๆที่มีราคาถูกกว่าราคาบ้านในโครงการจัดสรรแล้ว ผู้ซื้อจะต้องศึกษาข้อมูลของบ้านที่จะซื้ออย่างรอบคอบ ว่าซื้อจากที่ไหนมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อบ้าน เพราะถึงแม้ว่าราคาบ้านจะถูกกว่าท้องตลาดโดยเฉลี่ยประมาณ 50% ก็ตามแต่ใช่ว่าจะมีสภาพดีเยี่ยมเช่นเดียวกับบ้านสร้างเสร็จใหม่ๆ ดังนั้นหากจะตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม หรือแม้แต่ที่ดินเพื่อการลงทุนในธุรกิจต่างๆก็ตาม จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทั้งทำเล ราคา รวมถึงประวัติของทรัพย์นั้นๆให้ละเอียด และจากการสำรวจและเปรียบเทียบบ้านที่หน่วยงานรัฐต่างๆนำออกมาขายทอดตลาดของ "ผู้จัดการ360องศารายสัปดาห์" พบว่ามีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป โดยหากซื้อบ้านจาก "กรมบังคับคดี" ที่ปีๆหนึ่งจะมีทรัพย์ในมือหลายหมื่นรายการ ทั้งบ้าน ที่ดิน โรงงาน คอนโดมิเนียม ให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมประมูล ซึ่งก็มีราคาถูกกว่าท้องตลาดเฉลี่ย ตั้งแต่ 30-90 % ซึ่งก็แล้วแต่ทำเล

สิรวัต จันทรัฐ อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า การซื้อทรัพย์จากกรมบังคับคดี สิ่งแรก ที่ผู้บริโภคควรรู้ คือ ต้องดูว่าตนเองต้องการทำเลใดก็ให้ไปดูทำเลที่ต้องการก่อน จากนั้นก็ดูราคาทรัพย์และ เงื่อนไขต่างๆซึ่งสามารถเข้าไปดูในเว็บไซน์ทางกรมฯได้เพื่อความรอบคอบเพราะไม่อย่างนั้นอาจได้บ้านที่ไม่ตรงตามความต้องการได้ แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อจะต้องยอมรับสภาพว่าการซื้อบ้านจากกรมบังคับคดีที่มีข้อเสียตรงที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม อีกทั้งบางครั้งอาจได้บ้านราคาแพงกว่าที่คิด เพราะราคาบ้านในแต่ละทำเลของกรมฯก็มีราคาที่แตกต่างกันไป และข้อเสียอีกข้อคือผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้ฟ้องร้องขับไล่ผู้ที่ไม่ยอมย้ายออกไปเอง อีกทั้งทรัพย์บางส่วนของกรมบังคับคดีก็อาจจะไม่ถูกอย่างที่ผู้บริโภคคาดหวังได้

"ทรัพย์ของกรมฯมีทั้งข้อดีและเสีย อย่างข้อดี คือ มีราคาถูกโดยราคาประมูลครั้งแรกอยู่ที่ 80% ของราคาประเมิน ครั้งต่อไปเริ่มต้นที่ 50% ของราคาประเมิน เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจ แต่ในที่สุดราคาก็จะไล่ขึ้นมาจนใกล้เคียงราคาตลาดอยู่ดี ซึ่งผู้ซื้อจะต้องทำการบ้านก่อน ถ้าไม่อยากได้บ้านไม่คุ้มค่าการประมูลมา ต้องศึกษาสภาพและกำหนดราคาสูงสุดที่สามารถให้ได้ไว้ในใจก่อนที่จะเข้าสนามประมูล ส่วนข้อเสียในการซื้อทรัพย์ โดยเฉพาะกรณี คอนโดมิเนียม ผู้ซื้อจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้เช่าคนเก่ายังค้างค่าส่วนกลางหรือไม่ เพราะ กรมฯจะไม่แจ้งตัวเลขค้างชำระค่าส่วนกลาง ณ วันโอนกรรมสิทธิ์"

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากรมบังคับคดีพยายามที่จะขอแก้แก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเร่งระบายทรัพย์ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น การลดค่าธรรมเนียมที่ผู้ซื้อทรัพย์ต้องเสีย จากเดิม 5% ลดลงเหลือ 3% ของราคาทรัพย์ที่ประมูลได้, แก้ไขเรื่องการยื่นของดการขายของเจ้าหนี้จากเดิมที่สามารถทำได้ตลอดเวลา เพิ่มเงื่อนไขว่าจะของดการขายได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกราย อาทิ เจ้าหนี้เฉลี่ย เจ้าหนี้บุริมสิทธิ เพื่อป้องกันเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำ พิพากษาสมคบกันทำให้เจ้าหนี้จำนองเกิดความเสียหาย , แก้กฎหมายให้ผู้ซื้อทรัพย์ไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องขับไล่ผู้อยู่อาศัย โดยให้ถือว่าผู้ซื้อทรัพย์เป็นเจ้าหนี้ตามกฎหมาย และศาลได้พิพากษาให้ฟ้องขับไล่แล้ว จากเดิมต้องเสียเวลาฟ้องร้องขับไล่ก่อน และการให้เอกชนสามารถดำเนินการบังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สินแทนเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ ซึ่งบางข้อได้รับการแก้ไขแล้ว เช่น ค่าส่วนกลาง ที่ผู้ซื้อไม่ต้องมาเสียค่าส่วนกลางอีกมีการค้างค่าส่วนกลาง

ทั้งนี้ ข้อดีของการซื้อบ้านจากรมบังคับคดีโดยรวม คือ จะได้ราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด สามารถกำหนดราคาได้เอง มีทำเลให้เลือกหลากหลาย

ส่วนข้อเสีย คือ ต้องยอมรับสภาพบ้านที่เป็นอยู่ เนื่องจากเป็นบ้านเก่า ดังนั้นจะต้องเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับซ่อมแซมด้วย บ้านอาจมีประวัติไม่ค่อยดี หรือผู้ที่อยู่อาศัยไม่ยอมย้ายออกไป เป็นต้น

การเลือกซื้อบ้าน จาก "สถาบันการเงิน" ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคที่ต้องการบ้านราคาถูกซึ่งทรัพย์จากสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะมีให้เลือกที่หลากหลายและทำเลที่แตกต่างกันไป โดยข้อดีของการเลือกซื้อบ้านจากสภาบันการเงิน คือ ธนาคารปล่อยสินเชื่อซื้อบ้านได้ถึง100-110% เนื่องจากว่าธนาคารต้องการจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อทรัพย์จากตนเอง เช่น ที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทยให้เงินกู้ 110% ของราคาซื้อขาย เพื่อนำไปปรับปรุงที่อยู่อาศัยคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ในปีแรก 3.50% หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว MLR ลบ 0.25% ต่อปี หรือแม้แต่ธนาคารทหารไทยที่ชูราคาต่ำ 20-30% และให้สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม และที่ดินว่างเปล่าคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก เป็นต้น

แต่ก็มีข้อเสียจะคล้ายๆกับหน่วยงานอื่น คือ ได้บ้านสภาพเก่า ต้องซ่อมแซมเพิ่มเติม ซึ่งผู้ซื้อต้องยอมรับสภาพ ดังนั้นหากจะตัดสินใจซื้อควรนำผู้รับเหมาไปด้วยเพื่อประมาณราคาซ่อมแซม แล้วค่อยตัดสินใจ ราคาเมื่อซื้อไปแล้วเป็นราคาตลาดหรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่าราคาตรงกับราคาตลาดไหม วิธีง่าย ๆคือ เช็คจากบริษัทนายหน้า บริษัทประเมินราคาทรัพย์สิน สื่อต่างๆ และเว็บไซต์ ต่างๆ

ในกรณีเป็นที่ดินเปล่า ให้เช็คถนนว่าเป็นถนนสาธารณะหรือเปล่า ถ้าไม่ระบุในโฉนด ให้ประเมินไว้ก่อนว่าที่ดินนั้นตาบอดหรือไม่ วิธีการตรวจสอบให้ไปกรมที่ดินนั้น ๆ แล้วถ่ายแผนระวางจากนั้นเจ้าหน้าที่ดินจะช่วยตรวจสอบให้ หรือสำนักเขตในพื้นที่นั้น ๆ

อย่างไรก็ตามการได้บ้านราคาต่ำกว่าตลาด ต้องไตร่ตรองให้ดี เนื่องจากบ้านในลักษณะนี้มักจะทรุดโทรมเพราะต้องผ่านขบวนการนานอย่างน้อย 1 ปี ค่าใช้จ่ายที่น้อยลงในเรื่องของราคาอาจจะมาเพิ่มเติมในการซ่อมแซมแทน เพราะฉะนั้นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มสัก 30 % ของราคาขาย

ส่วนการซื้อทรัพย์ของจาก "บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ( บสก.)"นั้น มีข้อได้เปรียบมากที่สุด คือ ผู้ซื้อจะได้บ้านในสภาพที่ใหม่สามารถเข้าอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องมาเสียเวลาซ่อมแซม เพราะบสก.จะทำการรีโนเวทบ้านให้ใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถเข้าร่วมโครงการผ่อนชำระ กับ บสก. ซึ่งเป็นโครงการสำหรับลูกค้ารายย่อยที่ต้องการซื้อทรัพย์ในมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งมีเงื่อนไขพิเศษ คือ คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนชำระเพียง MLR - 3% ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาด กรณีไม่สามารถจัดหาสินเชื่อได้

สำหรับข้อเสียของการซื้อทรัพย์จากบสกได้.คือบางครั้งผู้ซื้ออาจจะต้องดำเนินการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เอง อีกทั้ง ประวัติบ้านอาจไม่ขาวสะอาดอย่างที่คิด รวมถึงอาจมีจุดรั่วซึมที่ผู้ซื้อไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะบ้านได้รับการปรับปรุงก่อนที่จะประกาศขาย

การซื้อบ้านจาก "บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)" นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์เพื่อการลงทุน เช่น ที่ดิน โรงงาน อาคารพาณิชย์ โดยผู้ซื้อจะได้รับการงดเว้นภาษี ทุกชนิด ณ สำนักงานที่ดิน (ตามกฏหมาย) ส่วนกรณีที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยหากมีผู้อาศัยไม่ยอมย้ายออกไปจะ มีทนายความ ดำเนินการฟ้องร้องขับไล่ให้จนเสร็จสิ้นกระบวนความ รวมถึงจะได้ส่วนลดที่ ตัวแทนจำหน่ายทรัพย์ มอบให้กับผู้ซื้อจะได้รับเป็นเงิน 40% ของค่านายหน้าที่ตัวแทนได้รับ โดยผู้ซื้อทรัพย์จะได้รับเป็นเงินสดทันทีในวันที่ ชำระเงินครบถ้วน ตัวแทนจะไปดำเนินการยื่นเรื่องขอเบิกเงินคืนเองในภายหลังกรณีผู้ซื้อทรัพย์ชำระเงินบางส่วนจะได้รับหนังสือ ยืนยันการได้รับส่วนลดจากตัวแทนในวันที่ วางเงินมัดจำซื้อทรัพย์

ส่วนข้อเสีย คือ ได้สภาพที่เก่า ทรุดโทรมต้องเสียค่าซ่อมบำรุง ดังนั้นหากตัดสินใจจะซื้อทรัพย์ที่เป็นโรงงาน อาคารพาณิชย์ จาก บสท.จะต้องมีความรู้พื้นฐานหรือไม่ก็ให้ผู้เชี่ยวชาญไปดูทรัพย์ด้วยเพื่อประเมินราคาค่าซ่อมแซม

ทั้งนี้ การเลือกซื้อทรัพย์จากแหล่งต่างๆ ผู้ซื้อจะต้องศึกษาข้อมูลทรัพย์ที่จะซื้อให้ถี่ถ้วน รวมถึงเข้าไปดูสถานที่จริง และสภาพทรัพย์นั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะไม่เช่นนั้น อาจต้องมานั่งเสียใจภายหลัง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us