Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2544
ชีวิตที่เรียบง่ายของ เคิร์ท ว๊าซไฟท์             
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
 

   
related stories

เคิร์ท ว๊าซไฟท์ ร่วมสร้างตำนานโรงแรมโอเรียนเต็ล
OHAP สถาบันสร้าง "คน" สร้าง "โอเรียนเต็ล"
จากฮ่องกงสู่เครือโรงแรมหรูระดับโลก ก้าวย่างของ Mandarin Oriental Hotel Group
125 ปี โรงแรมโอเรียนเต็ล

   
search resources

โรงแรมโอเรียนเต็ล, บมจ.
เคิร์ท ว๊าชไฟท์
Hotels & Lodgings




ชั้นบนของโอเรียนเต็ลสปา ซึ่งเป็นที่พักของเคิร์ท ว๊าชไฟท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมโอเรียนเต็ลกับเพ็นนี ผู้เป็นภรรยาตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเครื่องเรือนไทยผสมจีน เป็นห้องชุดเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยไออุ่นจากความรัก ความผูกพัน ของคนต่างชาติต่างภาษา 2 คนที่เคยอยู่ไกลกันคนละซีกโลก แต่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 30 ปี

เพ็นนี บุนนาค หญิงสาวที่มีสายเลือดของตระกูลใหญ่เก่าแก่ทั้งทางสายบิดา และมารดา คือ วิลาศ บุนนาค และหม่อมเจ้าศศิธรพัฒนวดี รัชนี ในขณะที่เคิร์ทนั้นมาจากครอบครัวของข้าราชการตำรวจธรรมดาเกิดเมื่อปี พ.ศ.2480 ที่เมืองหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี เรื่องราวความรักของหนุ่มเยอรมัน ที่มีความขยันขันแข็งมานะบากบั่นเป็นคุณสมบัติสำคัญ กับสาวสวยในตระกูลสูงส่งในเมืองไทยคนนี้ จึงน่าสนใจราวกับนิยาย

เพ็นนี และเคิร์ท จบการศึกษาจากสถาบันเดียวกันคือ Lausanne Hotel School, Switzerland เคิร์ทจบก่อนเพ็นนีหลายปี แต่ได้มาพบและเริ่มรักกันในปี พ.ศ.2503 เมื่อครั้งได้มีโอกาสมาฝึกงานด้วยกันที่ Beau Rivage โรงแรมเล็กๆ ริมทะเลแห่งหนึ่ง ของเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อรู้ว่าลูกสาวมีแฟนเป็นฝรั่ง ทางบ้านของเพ็นนีสั่งให้เธอกลับบ้านทันที ทั้งคู่จำเป็นต้องจากกัน และด้วยความมานะในการที่จะสร้างฐานะ เคิร์ทก็ไปสมัครทำงานกับโรงแรมฮิลตันในประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น

แต่แล้วโชคชะตาพลิกผันให้เคิร์ทได้มีโอกาสมาทำงานในเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ.2508 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หมอชัยยุทธ กรรณสูต และแบร์ลิงเจียรี เจ้าของโรงแรมนิภาลอดจ์ที่พัทยา ได้ประกาศหาผู้จัดการโรงแรมคนใหม่ และประกาศอยู่นานก็หาไม่ได้ เพราะพัทยายังเป็นเมืองที่กันดารมากในสมัยนั้น บังเอิญพี่สาวเพื่อนคนหนึ่งของเพ็นนีที่ทำงานเป็นเลขาของแบร์ลิงเจียรีอยู่ได้แนะนำงานนี้ไป

เคิร์ท ว๊าชไฟท์ ตัดสินใจเดินทางมารับตำแหน่ง ผู้จัดการโรงแรมนิภาลอดจ์ด้วยเงินเดือนครั้งแรกเพียง 10,000 บาท เมื่อเริ่มทำงานไปได้ประมาณ 6 เดือน งานแต่งงานเล็กๆ ที่มีแขกประมาณ 50 คนของเขาและเพ็นนีก็ได้ถูกจัดขึ้น แล้ววันหนึ่งในขณะที่กำลังเดินทางไปทำตลาดในต่างประเทศ เขาก็ได้รับโทรเลขจากหมอชัยยุทธให้กลับมา เพื่อย้ายเข้าไปรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปในโรงแรมโอเรียนเต็ล

การตัดสินใจเข้ามาทำงานในโรงแรมโอเรียนเต็ลหลังจากทำงานอยู่ที่นิภาลอดจ์เพียง 2 ปีนั้น นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิต และไม่ได้คาดคิดเลยว่าการรับงานใหม่ในครั้งนั้น จะทำให้ชีวิตของเขาต้องผูกพันกับโรงแรมเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องอีกนาน

แม้ชีวิตจะอยู่คลุกคลีกับแวดวงของคนในสังคมชั้นสูง ในบรรยากาศที่หรูหราโอ่อ่าของโรงแรมโอเรียนเต็ล แต่การใช้ชีวิตจริงๆ ของผู้บริหารโรงแรมคนนี้กลับเรียบง่ายอย่างมากๆ

"เสื้อตัว กางเกงตัว ก็ไปได้แล้ว เงินก็ไม่พก เนกไทก็มีนิดหน่อย เสื้อผ้าก็มีไม่เยอะหรอก เวลาบอกหัวหน้าห้องซักรีด ฉันจะเอาเสื้อเชิ้ตอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ขำเชียว แหม มีอยู่กี่ตัวเอง ไม่ใช่ความเป็นคนประหยัด แต่เขาคงมองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีของเยอะๆ อย่างข้าวของในบ้านนี้แทบไม่มีอะไรเป็นของที่เขาซื้อหามาเลย แม้แต่ผมยังตัดเองมาตลอดไม่ยอมจ้างให้ช่างตัด เวลาตัดทีมือข้างหนึ่งถือกระจกอีกข้างหนึ่งถือกรรไกร" เพ็นนีเล่าเรื่องสามีของเธอให้ "ผู้จัดการ" ฟังด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรัก และอารมณ์ขัน

ทรัพย์สมบัติที่เคิร์ทรักมากที่สุด ก็คงจะเป็นบ้าน 2 หลัง เพราะเป็นสิ่งที่เขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง หลังแรกอยู่ในประเทศเยอรมนี ซึ่งสร้างไว้ให้ลูกพัก เมื่อสมัยยังเล็กและเรียนหนังสือที่นั่นเป็นบ้าน 2 ชั้น พร้อมห้องใต้ดิน ชั้นบนเป็นแฟลตให้พ่อแม่ของเคิร์ทอยู่สมัยเมื่อยังมีชีวิต

รูปบ้านหลังนี้วางไว้บนโต๊ะในห้องทำงานที่โรงแรมเพื่อเป็นสิ่งที่คอยเตือนใจอย่างภาคภูมิใจว่า ชีวิตเขาเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเองทั้งสิ้น

ส่วนบ้านอีกหลังเป็นห้องชุดในโครงการบ้านสวนทิพย์ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในอำเภอปากเกร็ด ซึ่งทั้งคู่ตั้งใจไว้ว่า จะเป็นบ้านที่เอาไว้พักผ่อนในเมืองไทย เมื่อถึงเวลารีไทร์ตัวเองจากงาน

วันเวลาการทำงานที่โอเรียนเต็ลผันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นานถึง 34 ปี พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพบ้านเรือน 2 ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา แต่ชีวิตการทำงานของเคิร์ท ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทุกเช้าเขาจะรีบตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า นั่งเรือของโรงแรมโอเรียนเต็ล ข้ามฟากมาทานอาหารเช้า ร่วมประชุมกับระดับผู้บริหารตอน 9 โมงเช้า ดูความเรียบร้อยทุกเรื่องในโรงแรม รวมทั้งเดินสนทนาวิสาสะกับแขกเหรื่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กว่าจะเสร็จงานกลับบ้านก็ดึกดื่นเที่ยงคืน

ทุกวันนี้ ห้องชุดหลังนี้อาจจะดูเงียบเหงาไปบ้าง เมื่อลูกๆ ทั้ง 3 คือ Inka Kim และ Carla ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอก ลูกสาวคนโตมีกิจการกับสามี ทำโรงแรมชื่อChateau de Sully ในประเทศฝรั่งเศส ลูกชาย ทำงานด้านอินเทอร์เน็ตอยู่ที่นิวยอร์ก ส่วนลูกสาวคนเล็กทำงานด้านออกแบบเสื้อผ้า

บ้านหลังนี้จะดูแคบไปถนัดตา เมื่อลูกๆ และหลานคนแรกของครอบครัวกลับมาเยี่ยมบ้าน เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ของชีวิตน้อยๆ คนนี้ สร้างความมีชีวิตชีวา และกำลังใจอย่างใหญ่หลวงให้กับคนคู่นี้

หากถามเขาว่าคิดจะรีไทร์ตัวเองเมื่อไร เคิร์ทตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า

"ผมบอกตัวเองเสมอว่า จะทำงานอีก 2 ปีนะ แล้วมันก็เพิ่มขึ้นอีก 2 ปี และก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงอีก 2-3 ครั้งละมั้ง"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us