การเดินทางท่องเที่ยววัฒนธรรมทิเบตไม่เหมือนที่อื่นใดในโลก เพราะทิเบตมี
3 อย่างที่น้อยมาก คือ ออกซิเจน (68%) คน (2.6 ล้าน) และต้นไม้ แต่กลับมี
economic value มาก
ด้วยสัญลักษณ์เก่าแก่ 4 ประการ คือ เทือกเขาหิมาลัย, craftmanship, ผ้าแพรขาว
Hada สำหรับต้อนรับและบูชา และล้อธรรมจักร (prayer wheel) ซึ่งเป็นกระบอกล้อหมุนรอบ
ที่บรรจุมนตรา "โอม มณี ปัทมี หุง" ซึ่งแปลว่า "โอมมณีในดอกบัว"
ชาวทิเบตนิยมบริกรรมคาถานี้ขณะเดินหมุนล้อธรรมวันหนึ่งนับร้อยนับพันรอบเมืองลาซา
ซึ่งมีถนนเวียนสามวงแหวน เป็นวิถีชีวิตที่เห็นสลับกับชีวิตทันสมัยบนถนนคอนกรีตที่นำความศิวิไลซ์
มาเรียงรายด้วยห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าแบรนด์เนมดังๆ กับป้ายโฆษณาโทรศัพท์มือถือเกลื่อนเมืองหลวงลาซา
หลังอาหารเที่ยงแดดแรงแสงจัดจ้า ชีวิตทุกชีวิตของนครลาซาสงบนิ่งในกระแสลมหนาวราว
19 องศาในเดือนกันยายน ตามปกติชาวทิเบตนิยมพักผ่อนช่วงบ่ายๆ ก่อนจะเริ่มกิจวัตรประจำวันต่อหลังบ่ายสามโมงแล้ว
ลมหายใจของทิเบตสงบ แต่สำหรับผู้มาใหม่ภายใน 1-2 วันกลับพบประสบการณ์แพ้อากาศเบาบาง
(high altitude) มีอาการหัวใจเต้นแรง ปวดหัว สมองเต้นตุบๆ บางคนก็อาเจียน
ท้องเสีย เมื่อออกแรงคุยนิดยกของหน่อยก็พาลเหนื่อยมาก ลมหายใจ ขาดเป็นห้วงๆ
แทบเป็นลม จนบางครั้งต้องนอนพักสูดออกซิเจนที่โรงแรม Himalaya ตั้งเครื่องในห้องพักไว้บริการตามแต่จะรูดบัตรค่าอากาศมูลค่า
50 หยวนจ่าย แต่วิธีปรับตัวที่ดีที่สุดใน 1-2 วันแรกคือ ปฏิบัติธรรม สำรวมกายและใจ
งดคุยและเดินช้าๆ เพื่อออมแรงและออกซิเจน จากนั้นอมบ๊วยจีนแล้วดื่มน้ำอุ่นมากๆ
และ ทายาน้ำสมุนไพรทิเบตให้นอนหลับสนิท โดยยังไม่ต้องอาบน้ำในวันสองวันแรกเพื่อมิให้ร่างกายสูญเสียความร้อน
เขตปกครองตนเองทิเบตตั้งอยู่เหนือ ระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร อยู่ระหว่าง
อารยธรรมเก่าแก่ของจีนกับอินเดีย ขณะบินจากเฉิงตู เมืองหลวงมณฑลเสฉวนสู่ทิเบต
จะแลเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ที่ปกคลุมด้วยหิมะสูงเสียดฟ้า 8,848 เมตร ภูมิประเทศที่นี่เต็มไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนเบื้องล่างเหมือนฟ้าต่ำแผ่นดินสูง
ตามหลักฐานธรณีวิทยาพบว่า ดินแดนทิเบต ที่เรียกว่าหลังคาโลกนี้เคยเป็นทะเล
เมื่อ 20 ล้านปีก่อน เพราะเปลือกโลกส่วนทวีปเอเชีย ยุโรป และคาบสมุทรอินเดียเปลี่ยนแปลงรุนแรง
ก่อให้เกิดที่ราบสูงแห่งใหม่ Qinghai-Tibet และเทือกเขาสูงใหญ่ในทิเบตเป็นต้นธารของสายแม่น้ำสำคัญๆ
ของเอเชียทั้งสิ้น เช่น แม่น้ำคงคา ฮินดู พรหมบุตร โขง สาละวิน และ อิระวดี
กว่าห้าทศวรรษที่จีนได้ปกครองทิเบต ดินแดนขุมทรัพย์อันลี้ลับค่อยๆ เปิดสู่สายตาโลก
ปีนี้น่านฟ้าทิเบตเปิดรับนักท่องเที่ยวกว่า 170,000 คนเข้าประเทศ โดยทางการจีนเปิดบินภายในระหว่างลาซา
ถึงปักกิ่ง, เฉิงตู, เซี่ยงไฮ้, Guangzhou, Chongqing และซีอาน ขณะที่สายการบินระหว่างประเทศ
มีเส้นทางบินจากลาซาถึง Kathmandu ในเนปาล เส้นทางสายไหมเหล่านี้ มีประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมเชื่อมโยงกันมานานนับพันๆ
ปี
นอกจากนี้เส้นทางถนนระหว่างสนามบิน Gonggar ถึงนครลาซา ในอดีตต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินทางถึงลาซาแต่ปัจจุบันรถวิ่งแค่ชั่วโมงครึ่งและในอนาคต
อีกสองปีข้างหน้า คาดว่าจะใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วโมง เพราะสามารถลอดผ่านอุโมงค์ที่เกิดจากการเจาะทะลุภูเขาไปได้สบายๆ
ตลอดโปรแกรมเดินทางสัมผัสทิเบต 7 วัน Shirab Phuntsok หรือ"ซีผิง" เลขาสมาคมแลกเปลี่ยนวิเทศ
สัมพันธ์ทิเบตได้ดูแลและประสานงานอย่างแข็งขัน เขาเป็นคนหนุ่มชาวทิเบตที่เกิดช่วงหลังๆ
ปี ค.ศ.1959 ที่มีเหตุจลาจลหลังพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามาปลดปล่อยทิเบต ซึ่งจีนมองว่ายุคก่อนปี
1950 ชาวทิเบตส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบบศักดินาแบบยุคกลางของยุโรป ซีผิงจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยที่ทิเบต
มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษและภาษาจีนอย่างเห็นได้ชัดในฐานะคนรุ่นใหม่ เขาแสดงออกเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเหมาะสม
แต่ไม่เคยลบหลู่บรรพบุรุษ ในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับ "แชงกริลา" หรือดินแดนสุขาวดีหรือการกลับชาติมาเกิดของปัจเจกพุทธเจ้า
"ผมขออย่างหนึ่งอย่าเปรียบเทียบวัฒนธรรมของเรากับวัฒนธรรมที่อื่น ถ้าไม่เช่นนั้นคุณจะไม่เข้าใจ"
ซีผิงกล่าว
สำหรับเวลาที่อยู่ทิเบตกับประสบการณ์ที่พานพบตัวแทนของคนในทิเบต หลากหลายสถานภาพอาชีพที่มีบทบาทพัฒนาทิเบต
เช่น ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองทิเบต, พระลามะที่วัดจองกลาง (วัดต้าเจา), อธิการบดีมหาวิทยาลัยทิเบต,
รองอธิบดีกรมเทคโนโลยีที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์,
ผู้อำนวยการการแพทย์แผนทิเบตที่ปัจจุบัน ผลิตยาสมุนไพรกว่า 300 ชนิด, ไกด์หนุ่ม
สาวที่นำชมโนบุลิงคา และวังโปตาลา มรดกโลกที่ทางรัฐบาลจีนทุ่มงบบูรณะใหญ่,
คุณลุงชาวทิเบตผู้ลี้ภัยจากทิเบตไปสวิตเซอร์แลนด์ แล้วกลับคืนถิ่นกำเนิดอีก
จนถึงผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านพัฒนา ซึ่งเป็นเจ้าของวัว 4 ตัว กับคณะนาฏศิลป์ชาวนาพื้นเมืองทิเบต
ต้องยอมรับว่าความเข้าใจ ลึกซึ้งกับบริบททางประวัติศาสตร์ สังคมและเศรษฐกิจการเมืองของทิเบตยังต้องใช้เวลามากกว่า
7 วัน แต่สิ่งที่โดนใจทันที คือ ทิเบตยังมีเสน่ห์ลี้ลับและงดงามในเชิงศิลปะวิทยาการโบราณเกี่ยวกับ
เภสัชกรรมที่มีประวัติกว่า 3,000 ปี, ศาสนา, จิตรกรรม, นาฏศิลป์ และดนตรีอยู่มากๆ
โดยมีทางการจีนให้การสนับสนุนเต็มที่
ณ กระโจมการแสดงที่ต้องใช้เวลาจัดกางกว่าครึ่งวัน เพื่อต้อนรับสื่อมวลชนไทย
เราพบว่านาฏศิลป์พื้นเมืองที่ชาวนา หนุ่มสาวร่ายรำขับขานร้องด้วยเสียงแหลมสูงจากขุนเขาทิเบต
มีลีลาวัฒนธรรมเผ่าชนพื้นเมืองหลากหลายที่เร้าใจและน่าติดตามตลอดการแสดงทั้งสิ้น
12 ชุด ยกตัวอย่างเช่น การเต้นรำจับมือรอบวงในรูปแบบที่เรียกว่า Guoxie,
การเต้นแท็ปแบบทิเบตที่เรียกว่า Duixie และการร้องรำ ทำเพลงของหมู่ชาวนาทิเบตในฤดูเก็บเกี่ยว
ที่เรียกว่า Guozhuang ซึ่งชุดที่มีชื่อเสียงมากมาจากอัมโด (คนจีนเรียกชิงไห่)
ส่วนชุด Qiangmu เป็นพิธีกรรมร่ายรำของหมอผีซึ่งทรงเจ้าขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
มีการขับร้องเสียงสูงแบบโอเปร่า ซึ่งแสดงเรื่องราว ท่วงทำนองดนตรี การร่ายรำและพิธีกรรมพิเศษ
ทิเบตยังรักษาขนบประเพณีโบราณ ทางศาสนาพุทธนิกายมหายานที่ดำรงนานกว่าพันๆ
ปีไว้อย่างน่าศึกษา เช่น ภาพจิตรกรรมอันวิจิตรเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่เรียกว่า
"Thangka" ที่ช่างเขียนบนหนังจามรีบางๆ น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นภาพเขียนพระพุทธเจ้าผืนสูงใหญ่กว่า
50 เมตรที่ชาวทิเบตบูชากางแนบภูผาสูงใกล้วัดใหญ่ในเทศกาลโยเกิร์ตที่ทำถวายวัดที่เรียกว่า
Shoton ซึ่งเพิ่งจบไป แต่ถึงกระนั้นเราก็ได้ไปชมภาพพระพุทธเจ้านับพันองค์ที่เขียนสลักที่ภูผาธรรมศักดิ์สิทธิ์
Thousand Buddha Cliff ในลาซา
แต่ที่สุดยอดของลาซาที่ทุกคนไม่พลาดคือ พระราชวังโปตาลา มรดกโลกที่ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูหนาวของกษัตริย์โบราณและทะไลลามะ
สร้างเมื่อ ค.ศ.7 ทุกเรื่องเล่าประวัติศาสตร์การเมืองและศาสนาเก่าแก่เข้มข้นจนสัมผัสได้
ณ จุดที่สูงที่สุดในโลกบนดาดฟ้า หลังคาสีทองและโดมที่ส่องแสงประกายเจิดจ้า
มองเห็นปีกทิศตะวันออกคือ White Palace (Potrang Karpo) และ Red Palace (Potrang
Marpo) แต่กว่าจะไต่บันไดไม้ที่เล็กชันถึงยอดวังโปตาลาก็มีขุมทรัพย์ทางปัญญาให้ชมมากมาย
มีข้อสงสัยประการหนึ่งเกี่ยวกับกรณีที่เราจะทราบได้เช่นไรว่า ผู้ใดเป็นท่านลามะองค์เก่ากลับชาติมาเกิด
หรือภาษาทิเบตเรียกกันว่า "ตุลกู" ซึ่งปรากฏว่าคณะเราได้พบ 2 ท่านต่างกรรมต่างวาระกัน
คือ ประธานสมาคมพุทธศาสน-สัมพันธ์ของทิเบต ซึ่งมอบคัมภีร์กานจุรซึ่งเป็นพระธรรมของชาวทิเบตให้แก่คณะของเรา
และอีกท่านคือสมาชิกสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของลาซาที่เคยเป็นลามะลี้ภัยไปอยู่สวิตฯ
28 ปี
ท่านแรกได้กรุณาตอบข้อสงสัยนี้ว่า เป็นเรื่องที่ตระหนักรู้ตั้งแต่สองขวบ
เมื่อบิดามารดาได้นำเรื่องเสนอต่อเจ้าอาวาสในวัดละแวกบ้าน เพื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบโดยผูกดวงชะตาขึ้นเพื่อพยากรณ์
แต่ก่อนเกิด และตรวจสอบร่างกายว่ามีเครื่องหมายตามตัว จากนั้นคณะกรรมการ
จะตรวจระลึกชาติว่า เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นผู้ใด นอกจากนี้ยังพิสูจน์โดยนำสมบัติเก่าออกมาปะปนกับของอื่นๆ
อีก 30 ชิ้น ท่านเลือกได้ถูกต้อง 9 ชิ้น แต่ถ้าเลือกผิดเกินกว่า 2 ชิ้นถือว่าไม่ใช่ตัวจริง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสในสิ่งที่ตามองไม่เห็น ต้องอาศัยตาที่สาม...
ภายใต้กลุ่มควันหนาจากธูปและแสงตะเกียงน้ำมันเนยริบหรี่ในวัดจองกลาง (Lhasa
Jokhang Temple) ทำให้เห็นรูปต่างๆ เคลื่อนไปมาอยู่เบื้องหน้าพระโพธิสัตว์
อวโลกิเตศวรพันกร และพันตา ขณะท่านลามะผู้ใหญ่นำชมและเล่าประวัติเก่าแก่
ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองในทิเบต เพราะเมื่อ ค.ศ.641 เจ้าหญิง Wencheng
แห่งราชวงศ์ถังได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้า โดยเจ้าหญิงได้นำพระพุทธรูป Jowo
Shakyamuni ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้มาประดิษฐานที่วัดจองกลางซึ่งสร้างเพื่อการนี้ด้วย
ชาวทิเบตบูชารูปปั้นเจ้าหญิง Wencheng ในวัดนี้มาก
เท่าที่สังเกต วัดใหญ่ในทิเบตไม่ใช่เป็นเพียงสถานที่พระหรือนักปฏิบัติธรรมอยู่กันเท่านั้น
แต่เป็นเมืองเล็กๆ ในตัวที่มีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ สามารถซื้อเสื้อผ้า หนังสือ
และของใช้จากร้านค้าบริเวณวัดนั้น แต่ปัจจุบันที่บริเวณลานกว้างทางเข้าวัดจองกลาง
กลายเป็นแหล่งชอปปิ้งราคาถูกของนักท่องเที่ยวไปแล้ว
ทั้งนี้ในทิเบตมี 4 นิกาย คือ นิงมาปา (หมวกแดง) การ์กู ศากยะ และเกลักปา
(หมวกแดง) ซึ่งสังเกตความแตกต่าง จากเครื่องประดับที่สวมใส่บนศีรษะในพิธีฉลอง
ปัจจุบันจำนวนวัด 1,700 แห่งโดยมีพระจำนวน 46,000 รูป โดยทางการจีนให้งบพัฒนากว่า
400 ล้านหยวน
ชาวทิเบตถือเอาวันที่ 8 และ 15 ของเดือนเป็นวันพระ วันนั้นผู้เปี่ยมศรัทธาทุกเพศทุกวัย
จะมาวัด มาไหว้พระท่าอัษฎางคประดิษฐ์ที่ร่างกาย 8 จุดแตะพื้น โดยนอนราบคว่ำหน้ากับพื้นที่ปูด้วยเบาะ
เมื่อกราบไหว้เสร็จก็วางเคลื่อนไปข้างหน้า บางคนที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าก็กราบไหว้และหมุนล้อธรรมจักรไปตามถนนวงแหวน
Lingkhor รอบเมืองลาซาทีเดียว การปฏิบัติ บูชาที่ย้ำทำปริมาณมากๆ เช่นนี้มีเห็นทั่วไปในทิเบต
อย่างไรก็ตาม ทิเบตยังคงมนต์ขลังทรงคุณค่าในศิลปวิทยาการโบราณที่น่าศึกษา
ดังเช่นคำบอกเล่าของผู้บริหารองค์การเภสัชกรรมทิเบต ได้อธิบายถึงแพทย์แผนทิเบตและตำรายาสมุนไพรโบราณที่ทรงคุณค่า
สมุนไพรยาที่หายากมากและมีราคาแพงจนห้ามส่งออก เช่น หญ้าหนอนทิเบต ซึ่งต้องเก็บจากเทือกเขาสูง
Nagqu 4,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงตับและปอด,
บัวหิมะ ซึ่งเก็บจากที่สูงกว่า 3,500-5,000 เมตร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทิเบต
แก้โรคแพ้ที่สูง (Altitude sickness & stress) แต่ต้องยอมรับว่ายาทิเบตแก้โรคท้องเสีย
และ ปวดหัวได้ผลชะงัดจริงๆ เมื่อคนในคณะของเราป่วย
ของดีในทิเบตมีอยู่มากเหมือนดังขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าลี้ลับที่คนนอกอย่างเราต้องการตาที่สามสัมผัส
เพราะลึกๆ ของจิตวิญญาณของชาวทิเบตกว่า 2.6 ล้านคนยังคงอยู่ในโลกทิพย์ ขณะที่กายพวกเขาต้องสัมผัสโลกวัตถุนิยมที่หมุนเปลือกรอบๆ
ประดุจล้อธรรมจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักร เก่า-ใหม่นั่นเอง ฤานี่คือ
ทิเบตในนิยาม Shangri-La ยุคใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏในงานเขียน เมื่อร้อยปีก่อน
อย่าง "The Lost Horizon" ของนักเขียนอังกฤษ James Hilton มาก่อน!!