Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน21 กันยายน 2552
ชี้นักลงทุนขนเงินเข้าตลาด คาดดันบาทแตะ33.50             
 


   
search resources

Currency Exchange Rates
ธิติ ตันติกุลานันท์




กสิกรไทยฟันธงค่าเงินบาทสิ้นเดือนก.ย.นี้แตะ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐตามค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค และสิ้นปีได้เห็น 33 บาทต่อดอลาร์สหรัฐฯ เหตุนักลงทุนโยกเงินจากสหรัฐฯเข้าลงทุนทั้งตลาดหุ้นและตลาดเงิน

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) เปิดเผยว่า ทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามการแข็งค่าของค่าเงินในภูมิภาค โดยสิ้นเดือนกันยายนนี้ คาดว่าค่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และสิ้นปี 2552นี้จะแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

“ค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.1 % ค่าเงินของสิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 1.4 % ค่าเงินของมาเลเซีย 1.2 % ค่าเงินของฟิลิปปินส์ 2 % ค่าเงินของเกาหลีใต้ 2.4 % และค่าเงินของอินโด 4.2 %” นายธิติ กล่าว

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินในภูมิภาค มีสาเหตุมาจากนักลงทุนเกิดความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีสัญญาณเริ่มปรับตัวขึ้น จึงได้โยกเงินลงทุนที่เคยเข้าไปซื้อดอลลาร์สหรัฐในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ กลับมาลงทุนในตลาดหุ้น และลงทุนในค่าเงินสกุลต่างๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง

“ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา นักลงทุนจะโยกเงินลงทุนไปซื้อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นสกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูง แม้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนเป็น 0 % ก็ตาม และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนก็จะหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เห็นได้จากการโยกเงินที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ กลับเข้ามาลงทุนในสกุลเงินต่างๆ และลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น” นายธิติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่่านมา ค่าเงินบาทของไทยได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปี ที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พยายามเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทในประเทศสัปดาห์นี้อาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในภูมิภาค ตลอดจนสัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท. ขณะที่ทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจขึ้นอยู่กับการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของ Conference Board ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านมือสอง-บ้านใหม่เดือนสิงหาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนกันยายน(ขั้นสุดท้าย) รวมทั้ง นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงวันที่ 22-23 กันยายน ตลอดจนการประชุมของกลุ่ม G-20 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 24-25 กันยายนนี้ด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us