Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์14 กันยายน 2552
สองล้อเรโทรสไตล์เครื่องเดือดซูซูกิ-ฮอนด้า เขย่าบัลลังก์ยามาฮ่าฟีโน่             
 


   
www resources

โฮมเพจ-ยามาฮ่า มอเตอร์
โฮมเพจ-ไทยซูซูกิ มอเตอร์

   
search resources

ไทยยามาฮ่า มอเตอร์, บจก.
ไทยซูซูกิ มอเตอร์
Motorcycle
เอ.พี. ฮอนด้า, บจก.




-บัลลังก์เบอร์ 1 สองล้อเรโทรสไตล์ ของยามาฮ่าสะเทือน หลังซูซูกิ-ฮอนด้า พร้อมลุย
-ซูซูกิ ส่ง เจลาโต้ ลงสนาม เน้นจุดขายเครื่องยนต์ 125 ซีซี. แรงกว่าคู่แข่ง
-ฮอนด้า เตรียมเปิดตัว สกู๊ปปี้ ไอ ชูแบรนด์แกร่ง พร้อมตอกย้ำเทคโนโลยีหัวฉีด

ตลาดรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติโมเดิร์น-คลาสสิก เรโทรสไตล์ส่อเค้าเดือด หลังจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดนี้มีผู้เล่นเพียงรายเดียวคือ ยามาฮ่าฟีโน่ ที่ทำการเปิดตัวเมื่อปลายปี 2549 จุดกระแสความสนใจ พลิกตลาดรถจักรยานยนต์ที่เคยมีแต่ชื่อฮอนด้า กลบตลาด เปลี่ยนให้ยามาฮ่า แทรกตัวขึ้นมาโดดเด่นได้ เพราะถือเป็นรถจักรยานยนต์รูปโฉมเรโทรสไตล์ที่ยังไม่มีใครทำตลาดมาก่อน หลังจากเวสป้าลาตลาดไปเป็นเวลานาน

ในเวลานั้น ความแตกต่างของตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้ยามาฮ่าต้องมีการวางแผนการตลาดกันอย่างหนัก เพราะถือเป็นรถที่ไม่ได้เป็นแมส มีกลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่มเท่านั้นที่ชื่นชอบ ขณะที่บางกลุ่มถึงกับต่อต้าน เพราะมองว่ารถรุ่นนี้มีรูปลักษณ์ที่แปลกตาและไม่มีความคลาสสิกเมื่อเทียบกับ รถเก่าในอดีต อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การทำตลาดที่มีแนวคิดสร้างความแตกต่างของยามาฮ่า มีการชูแผนการตลาดแบบอีโมชันนัล นำเอาไลฟ์สไตล์มาร์เกตติ้งที่มีทั้งเรื่องราวของแฟชั่น, มิวสิก, สปอร์ต มาร์เกตติ้ง มาเป็นแนวรุก ซึ่งผลที่ออกมาก็พบว่า ยอดขายที่เคยตั้งเป้าไว้ในเริ่มแรก 6,000 คันต่อเดือน เริ่มพัฒนาขึ้นมาเป็น 10,000 คัน เพิ่มขึ้นเรื่อยมาจนปัจจุบัน 20,000-25,000 คัน

ปัจจุบัน ยามาฮ่า มียอดขายสะสมมากกว่า 500,000 คัน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งยอดขายของยามาฮ่าฟีโน่ก็เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ยอดขายรวมของรถ จักรยานยนต์ในกลุ่มเกียร์อัตโนมัติมีเหนือค่ายคู่แข่งฮอนด้า โดยตัวเลขเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ยามาฮ่าครองส่วนแบ่งทางการตลาดในรถกลุ่มเกียร์อัตโนมัติ 53% ตามมาด้วยฮอนด้า 44% และซูซูกิ 2%

ตัวเลขยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ายรถจักรยานยนต์คู่แข่งอยู่นิ่งไม่ได้ แม้บางรายเคยประกาศว่าไม่สนใจ แต่สุดท้าย ทั้งเจ้าตลาดรถจักรยานยนต์ และอันดับ 3 ในตลาด อย่างฮอนด้า และซูซูกิ ก็ประกาศเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ในกลุ่มโมเดิร์น-คลาสสิก จนได้ทั้ง 2 แบรนด์ กลบจุดด้อยของการเดินเข้าสู่ตลาดนี้ตามหลังยามาฮ่าฟีโน่ ถึง 3 ปี ด้วยความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีหัวฉีดเหมือนกัน เพราะถือเป็นจุดอ่อนที่ยามาฮ่ายังไม่มีการบรรจุเข้าไว้ในฟีโน่ รุ่นปัจจุบัน นอกจากนั้นตัวรูปลักษณ์หน้าตา ที่มีความสดใหม่ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ดึงให้ผู้บริโภคต้องหันมาสนใจอีก 2 แบรนด์ใหม่

สมรภูมิสองล้อโมเดิร์น-คลาสสิก เรโทรสไตล์นับจากนี้ไปต้องระอุอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นตลาดที่พร้อมหน้าของ 3 แบรนด์ผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ ที่พร้อมพรั่งทั้งตัวสินค้า แผนการตลาด และกลยุทธ์การตลาดที่จะฟาดฟันกันเพื่อชิงส่วนแบ่ง โดยไม่ปล่อยให้แบรนด์ใดผูกขาดตลาดอีกต่อไป

ซูซูกิ มั่นใจ 'เจลาโต้' ดีไซน์ต่าง ชูเครื่องยนต์แรง แถมเทคโนโลยีหัวฉีด

ค่ายซูซูกิ ถือเป็นเบอร์ 3 ของตลาดรถจักรยานยนต์ มียอดขายต่อปีราว 80,000 คัน ซึ่งถือว่าห่างไกลกับผู้นำอันดับ 1 อย่างฮอนด้าที่มียอดขายมากกว่า 1 ล้านคันต่อปี หรืออันดับ 2 ยามาฮ่าที่มียอดขายราว 4 แสนคันต่อปี เมื่อมองดูตัวเลขแล้วก็พบว่าห่างไกลกันพอสมควร ปัจจัยที่ทำให้ซูซูกิยังไม่สามารถไล่ทันทั้งสองแบรนด์ผู้นำในตลาดนั้น เนื่องจากแบรนด์ยังไม่มีความแข็งแกร่ง รวมไปถึงระบบการบริหารงานที่ดูมีหลายขั้นตอนเพราะต้องบริหารร่วมกันทั้งซูซู กิ และดิสทริบิวเตอร์หลัก 2 รายคือ บ้านซูซูกิ และ บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ ซึ่งแตกต่างจากยามาฮ่าและฮอนด้าที่มีการบริหารจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี ซูซูกิพยายามที่จะแก้ไขและเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ดังจะเห็นจากแผนงานของซูซูกินับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ที่ส่งสัญญาณขอกลับมาสู่ตลาดอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ชูคอนเซ็ปต์ Way of Life!, การทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด, การทุ่มงบประมาณในการปรับปรุงภาพลักษณ์ของโชว์รูมและศูนย์บริการ โดยมีการเปิดโชว์รูมใหม่ ซูซูกิ อเวนิว ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เมเจอร์ รัชโยธิน และล่าสุดกับการเปิดตัวรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ เจลาโต้ 125

การตัดสินใจเปิดตัวเจลาโต้ 125 ซึ่งเป็นรถเกียร์อัตโนมัติสไตล์โมเดิร์น-คลาสสิกในครั้งนี้ มาซาโนบุ ไซโต้ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาน้ำมันที่เริ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีการตระหนักถึงรถที่ประหยัดน้ำมัน ดังนั้น การเปิดตัวรถในรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับการออกแบบที่ดูทันสมัย และมีเทคโนโลยีหัวฉีด ที่สามารถประหยัดน้ำมัน ลดมลภาวะ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้ซูซูกิมั่นใจว่ารถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี จากผู้บริโภค

ซูซูกิ เจลาโต้ 125 ถือเป็นส่วนผสมของรถต้นแบบ 2 รุ่นมารวมกันคือ ซูซูกิ เจลลี่ และซูซูกิ ลาเต้ โดยนำมาโชว์ให้กับผู้บริโภคคนไทยในช่วงมอเตอร์โชว์ 2009 และการตอบรับของรถทั้งสองรุ่นนั้นดีมาก จึงเป็นที่มาของการพัฒนารถรุ่นใหม่ออกมา และกลายเป็น ซูซูกิ เจลาโต้ ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย น่ารัก และมีขนาดเครื่องยนต์ Super CVT 125 ซีซี. 4 จังหวะ ซึ่งถือว่าแรงกว่าคู่แข่ง พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดอัจฉริยะ DCP-FI สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อี20 ได้ และรับประกันอุปกรณ์หัวฉีดเป็นระยะเวลา 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

ซูซูกิ เจลาโต้ 125 มีกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น ที่ชอบความน่ารัก สดใส ทันสมัย รองรับทุกไลฟ์สไตล์ โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ Three Stars ที่มี 2 สีให้เลือก คือสีแดงและสีดำ สนนราคา 46,000 บาท และ Five Stars มี 4 สีให้เลือกได้แก่ สีชมพู, สีฟ้า, สีน้ำตาลอ่อน และสีน้ำตาลเข้ม สนนราคา 47,000 บาท ผู้บริหารไทยซูซูกิมอเตอร์ คาดว่ายอดขายของเจลาโต้ 125 จะอยู่ที่ 5,000 คันต่อเดือน

ปัจจัยที่ทำให้ซูซูกิมั่นใจว่าจะขายรถได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือแผนการตลาดเริ่มตั้งแต่การวางโพซิชั่นของผลิตภัณฑ์ โดยรถรุ่นใหม่ถูกออกแบบให้มีความทันสมัย แตกต่างจากคู่แข่งอย่างยามาฮ่าและฮอนด้าที่เป็นสไตล์เรโทร ส่วนการสื่อสารการตลาดผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ได้มีการดึงเอา นิชคุณ หรเวชกุล หนึ่งในนักร้องวง 2PM จากประเทศเกาหลี มาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยซูซูกิมองว่านิชคุณเป็นคนไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงสามารถก้าวไปเป็นนัก ร้องชื่อดังของเกาหลีได้ อีกทั้งซูซูกิต้องการสนับสนุนคนไทยที่มีความสามารถ ซึ่งเชื่อว่านิชคุณจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ชื่อของเจลาโต้เป็นที่ รู้จักในกลุ่มเป้าหมายของซูซูกิ และนำพาให้แบรนด์เจลาโต้เป็นที่รู้จักทั่วเอเชีย

นอกจากการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหลัก ซูซูกิยังเดินหน้ากิจกรรมแบบบีโลว์เดอะไลน์ ด้วยการจัดโรดโชว์จำนวน 6 ครั้ง ภายใต้ชื่อ 'Suzuki Jelato Festival' เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด ได้แก่ หาดใหญ่, เชียงใหม่, โคราช, พัทยา และปิดท้ายด้วยกรุงเทพฯ อีก 1 ครั้ง โดยภายในงานนอกจากจะได้พบกับนิชคุณแล้ว ยังจะมีการแนะนำรถใหม่, โชว์รูปลักษณ์ของตัวรถที่มีการตกแต่งในสไตล์ต่างๆ และมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ภายในโชว์รูมทั่วประเทศ จะมีการมอบแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถรุ่นใหม่ระหว่างเดือนกันยายน -ตุลาคมนี้จะได้รับกระเป๋าเป้, หมวกกันน็อก, แว่นตาและพวงกุญแจ ที่ออกแบบมาในคอลเลกชั่นพิเศษสำหรับรถรุ่นใหม่โดยเฉพาะ

ขณะเดียวกัน ยังจับมือกับดีลเลอร์ทั่วประเทศในการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกค้าได้ การเข้าไปช่วยเหลือร้านซ่อมทั่วไปเกี่ยวกับการตกแต่งหรือดูแลรถเครื่องยนต์ หัวฉีด ในแง่การสนับสนุนการขายก็จะมีการประสานงานกับพันธมิตรทางการเงินหรือไฟแนนซ์ ต่างๆ เพื่อเอื้อให้กับการซื้อ-ขายรถของลูกค้า

ซูซูกิมองว่ารถรุ่นใหม่เป็นรถที่สมบูรณ์แบบ ถือเป็นตัวสินค้าที่ดีมากเพราะแข็งแรงทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยี และเมื่อมาบวกกับแผนการตลาดที่มีการตอกย้ำ คาดว่าจะทำให้ซูซูกิสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5,000 คัน หรือหากในอนาคตความต้องการของรถรุ่นนี้สูงขึ้น บริษัทก็พร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่อยู่ที่ 5,000-6,000 คันต่อเดือน' ไซโต้ กล่าว

นอกจากแผนการตลาดที่เตรียมความพร้อมกันมาเป็นอย่างดีแล้ว ปัญหาสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของซูซูกิไม่แข็งแกร่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ การบริการหลังการขาย จุดนี้ซูซูกิก็มีการปรับปรุงภาพลักษณ์และพัฒนาโชว์รูมหรือเครือข่ายศูนย์ บริการที่กระจายอยู่ 330 แห่งทั่วประเทศให้ดูทันสมัย ส่วนแผนการขยายโชว์รูมใหม่นั้น คาดว่าจะรุกไปในพื้นที่ที่ยังไม่มีการทำตลาด ส่วนพื้นที่ที่มีโชว์รูมอยู่แล้วก็จะเน้นมาพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย

แม้จะมุ่งหวังเพียงเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในตลาด แต่แผนรุกของซูซูกิในครั้งนี้ ที่พร้อมทั้งตัวผลิตภัณฑ์และแผนการตลาด ก็ทำให้ไม่สามารถมองข้ามแบรนด์ซูซูกิไปได้

ฮอนด้า มาแล้ว ส่งสกู๊ปปี้ ไอ ชิงบัลลังก์เบอร์ 1

ย้อนมาที่ค่ายผู้นำในตลาดรวมสองล้ออย่างฮอนด้า แม้จะมีรถสไตล์โมเดิร์น-คลาสสิกวางจำหน่ายในญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่สำหรับตลาดสำคัญในประเทศไทย กลับปฏิเสธที่จะทำตลาดมาโดยตลอด ปล่อยให้ยามาฮ่ากวาดยอดขายอย่างสนุกมือเพียงลำพัง แม้ในช่วงแรกฮอนด้าจะพยายามสกัดความแรงของยามาฮ่า ด้วยการนำรถในรุ่นไอคอน ที่เน้นการแต่งรถได้ตามสไตล์ของผู้ขับขี่ และไม่เน้นสมรรถนะออกมาสู้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเร่งแซงยามาฮ่าได้ ความพยายามจากค่ายฮอนด้ายังไม่จบสิ้น เพราะมีการส่งฮอนด้าคลิก เข้ามารุกตลาดเกียร์อัตโนมัติ แม้จะไม่ใช่รถในสไตล์โมเดิร์น-คลาสสิก แต่ก็ถือว่าตั้งใจเข้ามาชนกับยามาฮ่าฟีโน่ ซึ่งหมัดนี้ที่ฮอนด้าสวนมาก็สามารถทำยอดขายได้ดีขึ้น สามารถเข็นตัวเลขยอดขายเบียดใกล้ยามาฮ่าฟีโน่เข้ามาบ้าง

แต่จนถึงวันนี้ ยามาฮ่าฟีโน่ ก็ยังไม่ลดความแรง ยอดขายที่ยังสูงถึงหลัก 2 หมื่นคันต่อเดือนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฮอนด้าต้องหันมาให้ความสำคัญกับการเดินเข้าสู่ตลาดเรโทรสไตล์อย่างเต็ม ตัว เตรียมส่งรถจักรยานยนต์สไตล์ย้อนยุค รุ่นสกู๊ปปี้ ไอ ที่จะเปิดตัวในวันที่ 14-15 กันยายนนี้ และยกขบวนไปเปิดตัวกันถึงพัทยา และก่อนหน้าที่จะเปิดตัวนั้นก็มีการปล่อยทีเซอร์ ภาพยนตร์โฆษณาสั้นๆ ผ่านหน้าจอ ขณะเดียวกันก็มีการสื่อสารให้เห็นถึงความเป็นมาของรถรุ่นใหม่ว่ามีประวัติ ความเป็นมายาวนานเพียงใด

แม้ส่วนแบ่งตลาดจะถูกยามาฮ่าชิงไปได้บ้าง แต่ภาพพจน์ของแบรนด์ ฮอนด้าคงไม่ยอมให้ใครแซงหน้าได้ การที่ฮอนด้าต้องการสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นถึงประวัติของรถรุ่นนี้ที่มีมา ตั้งแต่ปี 1992 ถือเป็นการบอกกล่าวให้รู้ว่าฮอนด้า ไม่ใช่ผู้ตาม รถจักรยานยนต์รุ่นสกู๊ปปี้ ไอ มิใช่การก๊อบปี้ หรือเดินตามรอยของยามาฮ่าฟีโน่ หรือคู่แข่งอื่นๆ หากแต่อยู่ที่ความพร้อมที่จะทำตลาดมากกว่า

ฮอนด้าวางคอนเซ็ปต์ของรถรุ่นใหม่ออกมาว่า โค้งมน น่ารัก สนุก มาพร้อมเครื่องยนต์ 110 ซีซี. หัวฉีดอัจฉริยะ PGM-Fi มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่าคู่แข่ง และยังชูจุดขายหลักคือเทคโนโลยีหัวฉีดที่พยายามจะพัฒนาให้ครบทุกรุ่นในอนาคต ขณะที่แผนการตลาดในเบื้องต้นนั้น ได้เลือกพรีเซนเตอร์ที่จะมาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายคือ มาริโอ้ เมาเร่อ และแพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา นอกจากนั้นยังเกาะกระแสมิวสิก มาร์เกตติ้ง ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต ที่มีศิลปินชื่อดัง อาทิ โมเดิร์นด็อก, บิ๊กแอส, ที-โบน โดยคอนเสิร์ตจะจัดขึ้น 4 แห่ง ได้แก่ ชะอำ, เชียงใหม่, เขาใหญ่ และกระบี่ ซึ่งภายในงานนอกจากจะมีกิจกรรมมันส์ๆ แล้วยังมีการแนะนำรถรุ่นใหม่ และโชว์เทคโนโลยีหัวฉีดของฮอนด้าเพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าใจว่าสามารถ ประหยัดน้ำมัน ลดมลภาวะ และไม่มีปัญหาในการซ่อมที่ยุ่งยาก

ยามาฮ่าไม่หวั่นคู่แข่งเชื่อแบรนด์แข็งแกร่ง-พร้อมรอสวนหมัดเด็ด

การพร้อมใจกันเปิดตัวรถจักรยานยนต์เรโทรสไตล์ของค่ายคู่แข่งทั้งสองแบรนด์ ทำให้ผู้นำในตลาดนี้อย่างยามาฮ่าต้องจับตาดูสถานการณ์แบบไม่กะพริบตา และเตรียมแผนรับมือ โดย จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า การมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้ผู้ บริโภคมีทางเลือก เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งในแง่ของการแข่งขัน แม้เหล่าคู่แข่งอาจจะมาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดที่ฟีโน่เคยครองอยู่แต่เพียง ผู้เดียว แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของธุรกิจ

การตั้งรับของยามาฮ่าคือการสร้างความแตกต่างผ่านกิจกรรมทางการตลาด, การโรดโชว์ รวมไปถึงการส่งแคมเปญ My FINO, My Experience ที่ยามาฮ่าได้ทุ่มงบประมาณไปกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสื่อสารผ่านพรีเซนเตอร์ของยามาฮ่าฟีโน่ อย่าง ซูเปอร์จูเนียร์, กอล์ฟ-ไมค์ และสิงโต เดอะ สตาร์ ที่จะขับขี่ยามาฮ่าฟีโน่ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ถือเป็นการสร้างประสบการณ์และปูทางไปสู่วัฒนธรรมการขับขี่ในสไตล์ของยามาฮ่า เช่นเดียวกับกิจกรรมทางการตลาดที่ยามาฮ่าเพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์จนสามารถ จดเป็นสถิติโลกได้ นั่นคือการรวมพลของสมาชิกฟีโน่ที่เข้าร่วมงานจำนวน 2,500 คัน และร่วมกันแปรอักษร และปิดท้ายด้วยกิจกรรมคอนเสิร์ต 'FINO RAINY MUSIC FESTIVAL' ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก

โดยยามาฮ่ามองว่าแคมเปญที่จัดขึ้นจะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับสมาชิกฟีโน่ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมการขับขี่ ที่ไม่ใช่แค่เพียงเน้นสมรรถนะแต่เป็นการขับขี่ที่มีความสุขสนุกสนาน และเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่ในส่วนของตัวสินค้า ยามาฮ่าก็มีการปรับโฉมใหม่ให้กับฟีโน่ โดยมี 3 สไตล์ให้เลือกคือ Fino Premium มี 2 สี คือ สีน้ำตาล-ขาว และสีน้ำเงิน-ขาว Fino Fashion มี 2 สี สีชมพู-ขาว และสีเขียว-ขาว กราฟิกใหม่สไตล์ย้อนยุค Vintage และ Fino Disco มี 2 สี สีดำ-เขียว-ขาว และ สีดำ-ส้ม-ขาว ในยุค 70s สไตล์ Retro POP สนนราคาของ 3 รุ่นใหม่อยู่ที่ 45,500 บาท

'ตั้งแต่ทำการเปิดตัวจนมาถึงบัดนี้ เราเชื่อว่าการตลาดของฟีโน่นั้นมาถูกทางแล้ว เราสร้างความแตกต่างที่ตลาดให้การยอมรับ จนสามารถส่งให้เราเป็นเทรนด์เซตเตอร์ และนั่นทำให้ฐานลูกค้าเราเหนียวแน่น และแน่นอนว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นยามาฮ่าก็จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญในเรื่องของแบรนด์ ที่ยามาฮ่ายึดถือตลอดมา ขณะเดียวกันรูปแบบการตลาดก็ต้องมีการพัฒนาต่อไป ซึ่งแนวทางที่ยามาฮ่าทำมันสะท้อนออกมาเป็นยอดขายที่สูงกว่า 25,000 คันต่อเดือน ขณะที่กำลังการผลิตนั้นอยู่ที่ 25,000 คัน เรียกว่าทุกวันนี้ผลิตไม่พอขาย' จินตนา กล่าว

นอกจากแผนการตลาดที่มุ่งสร้างความแตกต่างแล้ว ในแง่ของโชว์รูมและศูนย์บริการก็มีแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายในสิ้นปีจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่มีจำนวน 283 แห่ง โดยโชว์รูมของยามาฮ่าถือเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าให้ เข้ามาใช้บริการ เนื่องจากมีการปรับโฉมให้เป็น ยามาฮ่าสแควร์ ที่มีภาพลักษณ์ทันสมัย มีมุมสินค้าและบริการหลากหลาย ทั้งส่วนที่เป็นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มุมสินค้าแฟชั่น และมุมสินค้าสำหรับตกแต่งรถในรุ่นต่างๆ และที่ถือว่าเรียกลูกค้าเข้าร้านได้มากที่สุดคือบริการออกแบบรถจักรยานยนต์ โดยผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ซึ่งลูกค้าสามารถตกแต่งรถยามาฮ่ารุ่นต่างๆ ด้วยอุปกรณ์ชุดตกแต่งภาพ 3 มิติ หมุนได้รอบ 360 องศา ทำให้สามารถเห็นชุดแต่งต่างๆได้ครบทุกมุม

พรีเซนเตอร์แม่เหล็กชิงกลุ่มเป้าหมาย

ยามาฮ่าฟีโน่ ไม่ได้สร้างสีสันให้กับตลาดรถจักรยานยนต์เพียงแค่การจุดกระแสการนำรถยนต์ หน้าตาย้อนยุค แต่ดีไซน์ถูกใจวัยรุ่นมาสู่ตลาดเท่านั้น ในด้านการสื่อสารการตลาด ฟีโน่ ก็ถือเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์การใช้พรีเซนเตอร์สร้างแบรนด์จนประสบความสำเร็จ เพราะหากย้อนกลับไปดูพรีเซนเตอร์ของรถ เอ.ที.สไตล์โมเดิร์น-คลาสสิก ซึ่งมียามาฮ่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดนั้น พบว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ชื่อของยามาฮ่าเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างนั้นคือ พรีเซนเตอร์ โดยเริ่มตั้งแต่ ดูโอพี่น้อง กอล์ฟ-ไมค์ ตามมาด้วย ชิน ชินวุฒ, พั้นช์ วรกาญจน์, เต้ย จรินทร์พร และล่าสุด 13 นักร้องชื่อดังจากเกาหลี วงซูเปอร์จูเนียร์ และสิงโต เดอะ สตาร์ ก็ถูกดึงมาร่วมขบวนฟีโน่ โดยยามาฮ่ามองว่าการคัดเลือกพรีเซนเตอร์เพื่อมาสื่อสารความเป็น ยามาฮ่าฟีโน่ แก่ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย จะต้องมีคาแรกเตอร์ที่เหมาะสมกับตัวผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจึงเห็นพรีเซนเตอร์ที่มีทั้งชายและหญิง ทั้งนี้เพราะต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น เช่นเดียวกับการเลือกนักร้องชื่อดังจากเกาหลีที่แม้จะใช้งบประมาณสูง แต่ผลการตอบรับในแง่ของแบรนด์นั้น ก็พบว่าชื่อเสียงของยามาฮ่า เมื่อพูดถึงก็จะนึกถึงรถของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การขับขี่ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นรถที่มีสไตล์ มีความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นผู้นำด้านแฟชั่น

นอกจากนั้นแล้วการที่ยามาฮ่าเลือกพรีเซนเตอร์ซึ่งเป็นนักร้องนั้น เพราะว่านักร้องส่วนใหญ่มีความเป็นแมส สามารถดึงผู้บริโภคให้เข้ามาสนใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องทำกิจกรรมหรือไปโรดโชว์ในต่างจังหวัด กลุ่มนักร้องจะสามารถสร้างความสนุกสนานให้กับผู้บริโภคได้มากกว่านักแสดง

ขณะที่ค่ายซูซูกิ ซึ่งที่ผ่านมาก็ให้ความสำคัญกับการใช้พรีเซนเตอร์มาโดยตลอดเช่นกัน วงดนตรีชั้นนำอย่าง แทททู คัลเลอร์ และโปเตโต้ รวมถึงนักแสดงหนุ่มชื่อดัง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ล้วนเคยทำหน้าที่สื่อสารแบรนด์ให้กับซูซูกิมาแล้ว ครั้งนี้ ซูซูกิ เจลาโต้ ได้ นิชคุณ หรเวชกุล นักร้องชื่อดังจากวง 2PM ประเทศเกาหลี มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรถในรุ่นใหม่ ซึ่งความพิเศษของ นิชคุณ คือการเป็นวัยรุ่นไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ยอมรับทั้งใน ประเทศไทยและเกาหลี อย่างไรก็ตาม การเลือกพรีเซนเตอร์แค่คนเดียว อาจยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับคู่แข่งที่ใช้พรีเซนเตอร์ทั้ง ชาย-หญิง เพื่อตอกย้ำแบรนด์ให้เข้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้

ส่วนค่ายฮอนด้า ยังเกาะกระแสความดังของ มาริโอ้ เมาเร่อ ที่แม้จะเคยเป็นพรีเซนเตอร์รถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ มาก่อนหน้านั้น แต่ฮอนด้าก็ยังเลือกใช้บริการ เนื่องจากมองว่าเป็นดาราวัยรุ่นที่ได้รับความนิยมและน่าจะสื่อสารกับกลุ่ม เป้าหมายได้ ขณะที่พรีเซนเตอร์หญิงนั้นได้ใช้บริการ แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ซึ่งฮอนด้าได้เข้าไปสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวด้วยการนำรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าคลิก เข้าไปถ่ายทำ ทำให้ความแปลกใหม่ในตัวของพรีเซนเตอร์จากค่ายฮอนด้าไม่หวือหวาเมื่อเปรียบ เทียบกับยามาฮ่าและซูซูกิ

แม้พรีเซนเตอร์จะไม่ได้เป็นตัวตัดสินยอดขาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเครื่องมือสำคัญในการพาแบรนด์เข้าไปถึงกลุ่มเป้า หมาย สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ วันนี้ค่ายผู้นำอย่างยามาฮ่า ที่เดินเข้ามาเล่นในตลาดนี้ก่อน ได้สร้างมาตรฐานความสำเร็จในการใช้พรีเซนเตอร์เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ไว้ ท้าทายให้คู่แข่งที่เพิ่งเดินเข้ามาทั้งสองค่าย ต้องให้ความสำคัญกับการใช้พรีเซนเตอร์อย่างมาก เพราะหากไม่สามารถคว้าชัยชนะในจุดนี้ได้ ยามาฮ่าก็คงได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ที่มีคนมาช่วยกระตุ้นตลาดรถจักรยานยนต์เรโทรสไตล์ให้คึกคักขึ้น แทนที่จะทำตลาดอยู่คนเดียว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us