Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน9 กันยายน 2552
จัดสรรดูดเงินฟาสต์แทร็ก             
 


   
search resources

Real Estate




จัดสรร ร่วมวงดูดเงินโครงการฟาสต์แทร็ก บิ๊กธอส.เผยมีกว่าหมื่นยูนิต มูลค่าสินเชื่อกว่า 4 หมื่นล้าน ยันถึงสิ้นปีไม่ขึ้นดอกเบี้ย ด้าน 5 สมาคมอสังหาฯ ชี้ตลาดคอนโดฯ ยังรุ่งตามดีมานด์ คนอยากมีบ้านในเมือง แต่อสังหาฯ เจาะต่างชาติ ยังทรุด ธุรกิจโรงแรมกระอัก ครึ่งปีรายได้จากการเข้าพักหดตัวรุนแรง 30% จับตาโครงการในเมืองท่องเที่ยวเร่ขาย-หยุดก่อสร้าง

วานนี้ (8 ก.ย.) ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จัดงานสัมมนาประจำปีเรื่อง “ อสังหาฯ ฝ่ากระแสเศรษฐกิจ ” โดยมีนากยกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จาก 5 สมาคม และผู้เชี่ยวชาญตลาดอสังหาฯร่วมสัมมนา

โดยนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปล่อยสินเชื่อเร่งด่วน หรือ ฟาสต์แทร็ก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล ว่า ธอส.ได้เริ่มปล่อยสินเชื่อดังกล่าวได้ 2 สัปดาห์ โดยมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 8,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ต้องปล่อย 15,000 ล้านบาท ซึ่งเหลือวงเงินให้ปล่อยสินเชื่ออีก 7,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่สนใจส่งลูกค้าเข้าร่วมโครงการสินเชื่อฟาสต์แทร็ก 20 บริษัท จำนวนที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 10,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อ 40,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินของโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม ธอส.ยังไม่มีนโยบายขยายวงเงินสินเชื่อฟาสต์แทร็กเพิ่ม แต่อาจพิจารณานำวงเงินของต่างจังหวัด หากยอดขอสินเชื่อไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็จะนำมาปล่อยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแทน

ทั้งนี้ หากสินเชื่อฟาสต์แทร็กปล่อยเต็มวงเงินแล้ว ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยปกติ คือ 4.5% ต่อปี โดยสินเชื่อฟาสต์แทร็กมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.5% คงที่ 3 เดือน ในเดือนที่ 4 อยู่ที่ 2.99% หลังจากนั้น คิด MRR ลบ 2% โดยปีที่ 4 ลูกค้าสวัสดิการคิดที่ MRR ลบ 1% ลูกค้าทั่วไป MRR ลบ 0.5%

สำหรับภาพรวมยอดปล่อยสินเชื่อ ณ ส.ค. 2552 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 72,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าหลังจากนี้ อัตราอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะยังทรงตัว เพราะต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหลัก ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วง 3 ครั้งที่ผ่านมา ธปท. ยังคงยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออาร์พี อยู่ที่ 1.25% และเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยืนอยู่ระดับนี้ไม่ปรับเพิ่มขึ้นในระยะนี้

นอกจากนี้ สภาพคล่องในตลาดการเงินยังมีสูง แม้ว่าธปท. จะมีการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินไปถึงประมาณ 1 แสนล้านบาทก็ตาม ซึ่งทางธอส.จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่ จะพิจารณาในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอีกครั้ง

“ ประมาณ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ธอส.ได้ปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นไป และจัดแพ็คเกจพิเศษให้ลูกค้าเปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อรับเงินดอกเบี้ยได้ทุกเดือน ส่งผลให้มีเงินไหลเข้าธนาคารประมาณ 20,000 ล้านบาท ”

ส.อสังหาฯฟันธงปีหน้าฟื้น คอนโดฯยังรุ่งราคาปรับขึ้น 7%

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯถือว่าผ่านช่วงมรสุมมาแล้ว เชื่อว่าช่วงเวลาที่เหลือนับจากนี้ ตลาดอสังหาฯ จะมีแนวโน้มเป็นบวก โดยเฉพาะในตลาดคอนโดฯมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวเลขการเติบโตในเชิงบวกแน่นอน

“ในปีหน้า ตลาดคอนโดฯจะการขยับราคาขายขึ้นในเชิงมูลค่าอย่างน้อย 7% ซึ่งมีหลายปัจจัย ทั้งจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้น และที่สำคัญหาก รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการภาษี จะทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอย่างแน่นอน 4.2% โดยรวมจะทำให้ต้นทุนเพิ่ม 7% ”

นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็น่าจับตามอง เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายปีตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้จริง ย่อมส่งผลต่อความต้องการในเม็ดเงินลงทุนที่สูงขึ้น ประกอบกับการใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้เงินในระบบมากขึ้น นั่นเป็นปัจจัยที่กระทบต่ออัตราดอกเบี้ยได้

ทาวน์เฮาส์ใกล้เมืองมาแรง

นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าววา ตลาดทาวน์เฮาส์มือสองที่อยู่ในทำเลใกล้เมือง ขนาดประมาณ 160-200 ตร.ม. กำลังได้รับความนิยมจากผู้ซื้อมาก เพราะมีราคาใกล้เคียงกับคอนโดฯ มีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ใกล้เมืองราคาประมาณ 3-4 ล้านบาท หรือราคาเพียง 20,000- 30,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่คอนโดฯมีราคา 50,000 บาท/ตร.ม.ขึ้นไป

สำหรับภาพรวมตลาดบ้านมือสองหลังจากนี้ เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่แนวโน้มตลาดบ้านมือสองในปีหน้า อาจมีคู่แข่งสำหรับจากบ้านบีโอไอ ราคาใกล้เคียงกันที่ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท แต่บ้านบีโอไอเป็นบ้านใหม่ ผู้บริโภคย่อมมีทางเลือกที่มากขึ้น โดยหลังจากที่รัฐบาลปรับเกณฑ์บ้านบีโอไอจาก 6 แสนบาทเป็น1.2 ล้านบาท กระตุ้นให้เจ้าของโครงการหลายแห่ง หันมาลงทุนในตลาดนี้มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบ้านมือสองจะต้องปรับตัว หาจุดขายที่โดดเด่นกว่า เพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

ทั้งนี้ ปัจจัยการเติบโตของตลาดบ้านมือสอง อยู่ที่ความพยายามในการเร่งปล่อยสินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)ตามนโยบายของรัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าความเข้มในการปล่อยสินเชื่อจะผ่อนคลายลง เพราะผลของการเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ทำให้หลายสถาบันการเงินไม่สามารถ ปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้า นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่มีผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

อสังหาฯเจาะต่างชาติทรุดหนัก

ด้านนายกิตติพล ปราโมช นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ขณะที่ตลาดอสังหาฯประเภทอื่นๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่อสังหาฯ ที่เน้นตลาดต่างชาติอยู่ จะยังชะลอตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คอนโดฯหรู บ้านพักตากอากาศในเมืองท่องเที่ยว โดยสะท้อนได้จากตัวเลขของตลาดโรงแรมที่มีอัตราเข้าพักลดลงจากปีที่ผ่านมาเกือบ 50% รายได้จากการเข้าพักช่วงครึ่งปีแรกหดตัวลงสูงถึง 30% ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปีหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยเจาะกลุ่มต่างชาติ ก็ยังหดตัวลงเช่นเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ ตลาดดังกล่าวเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมาก คาดว่าจะแตะ 8 แสนล้านบาท ยกตัวอย่างเฉพาะตลาดบ้านเจาะกลุ่มสแกนดิเนเวียที่เคยได้สำรวจมา มีผู้ประกอบการสร้างบ้านเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ เพียง 1 โครงการ มีมูลค่าอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมโครงการที่ตกสำรวจ

ด้านนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่กล่าวว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ พบว่า โครงการอสังหาฯ ที่พัฒนาเพื่อจับกลุ่มคนต่างชาติ ทั้งโครงการประเภทร่วมทุนกับคนไทย หรือต่างชาติเข้ามาลงทุนเองหลายโครงการ เริ่มขายทิ้ง หรือหยุดก่อสร้าง จากหลายปัจจัยที่กล่าวถึง เช่น ตลาดที่สมุย เชียงใหม่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us