|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ราคาทองคำฮ่องกงวิ่งทะลุ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นักวิเคราะห์แนะปรับพอร์ตลดน้ำหนักหุ้น-น้ำมัน โยกเงินลงทุนทองคำเพิ่ม หลังเงินเฟ้อส่อแววปรับตัวขึ้น-ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรุดช่วยหนุน สวนทางหุ้นและน้ำมันที่ปรับตัวลดลงแต่ผันผวนมากกว่า
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถาการณ์ของเศรษฐกิจโลกช่วงที่ผ่านมาพบว่าดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและยุโรปปรับลดลงหลัง เนื่องจากจากความวิตกต่อการปรับลดอันดับเครดิตของ บริษัทAIG และปัญหาด้านงบดุลในภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ดีดขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นจีนจากมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นจีน
"ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับลดลงจากความวิตกกังวลต่อภาคสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา แต่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐอเมริกาหนุนตลาดหุ้นในช่วงปลายสัปดาห์"นางสาวศุภมาสกล่าว
ทั้งนี้ การปรับลดอันดับเครดิตของ AIG และความวิตกเกี่ยวกับปัญหางบดุลบัญชีในภาคการเงินได้ส่งผลให้ดัชนี VIX ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนพุ่งขึ้น12.1% สู่ 29.15 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม และส่งผลต่อการปรับลดลงของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม การที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคมลดลงน้อยที่สุดในรอบปีได้หนุนการปรับขึ้นของตลาดหุ้น ถึงแม้ว่าอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 9.7%นักเศรษฐศาสตร์มองว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังแสดงถึงการฟื้นตัวที่ยังไม่แข็งแกร่ง
ด้านดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย นางสาวศุภมาส เปิดเผยว่า ดัชนีส่วนใหญ่ได้มีการปรับขึ้นตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นจีนหลังจากการประกาศมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นจีน โดยดัชนีตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับขึ้นตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นจีนหลังจากที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยการเพิ่มเพดานการลงทุนของนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่สามารถลงทุนในจีนภายใต้โครงการนักลงทุนสถาบันจากเดิม 800 ล้านดอลลาร์ เป็น 1 พันล้านดอลลาร์
ส่วนทิศทางการลงทุนนั้น หลังจากนี้คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและน้ำมันจะเริ่มมีความผันผวนมากขึ้น แต่ในส่วนของทองคำราคากลับปรับขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันจากมุมมองอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยสินทรัพย์ที่แนะนำให้ลงทุนช่วงนี้น่าจะเป็นทองคำ และควรลดการลงทุนในหุ้นและน้ำมันลง อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าน่าจะคงสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และตลาดเงินเอาไว้
ทังนี้ ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงวานนี้(8 ก.ย.52) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับจิตวิทยา 1000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยปิดที่ราคา 1,006.00-1,007.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 10 ดอลลาร์สหรัฐจากราคาปิดเมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2552 ซึ่งอยู่ที่ 995.50-996.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงเคยทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2008 ในระดับราคา 1,032.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ส่วนราคาทองคำในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยปิดที่ราคา 993.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีบางช่วงที่ขยับขึ้นมาทดสอบที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แต่ไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ "การปรับตัวขึ้นดังกล่าวเนื่องมุมมองต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นการปรับตัวที่สวนทางกับราคาน้ำมันดิบสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งดิ่งลงมาปิดที่ระดับ 66 ดอลลาร์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดิ่งลง 8.7%มาปิดที่ 66.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แข็งแกร่ง และสต๊อกน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่"นางสาวศุภมาสกล่าว
แนะซื้อหน่วยK-GOLDทำกำไร
นางสาวศุภมาส กล่าวอีกว่า การลงทุนหลังจากนี้เราแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในทองคำหลังจากที่ราคาปรับขึ้นสวนทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงประเภทหุ้นและน้ำมัน เนื่องจากมุมมองต่อราคาทองคำเริ่มเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยกองทุนที่แนะนำจะเป็นกองทุน K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย ที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินทั้งหมด นอกจากนี้กองทุนดังกล่าวยังแสดงถึงการปรับขึ้นของ NAV ที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนหลักเดียวกันคือ SPDR GoldTrust
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เรายังคงแนะนำ TMBCB ของบลจ.ทหารไทย ที่เน้นตราสารหนี้ภาคเอกชนในกลุ่มของสถาบันการเงินเป็นหลัก และ ING TFIF ของบลจ.ไอเอ็นจีที่เน้นการลงทุนกว่า 96% ในตราสารหนี้ภาครัฐ
ส่วนกองทุนตลาดเงินยังคงแนะนำเป็นกองทุน KPM และ PCASH ที่บริหารโดยบลจ.ฟิลลิปโดย KPM มีการเพิ่มสัดส่วนการถือตราสารหนี้ภาคเอกชนเป็น 20.86% ของ NAV
|
|
|
|
|