Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน7 กันยายน 2552
“พาณิชย์”เปิดแผนดันส่งออกปี53รุกตลาดใหม่-ขายความคิด-ลุยAEC             
 


   
search resources

กรมส่งเสริมการส่งออก
Import-Export




“พาณิชย์”เปิดแผนส่งออกปี 2553 หันจับตลาดใหม่ พึ่งพาตลาดหลักลดลง ตั้งเป้าดันสัดส่วนการส่งออกเพิ่มเป็น 55% พร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาโลจิสติกส์ ผลักดันธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ เน้นการสร้างแบรนด์ ขายดีไซน์ สนับสนุนธุรกิจบริการ เตรียมลุย AEC หลังเปิดเสรีเต็มรูปแบบอีก 6 ปีข้างหน้า “พรทิวา”ร่วมประชุมทูตพาณิชย์ปลายก.ย.นี้ถกแผนและเป้าส่งออกปีหน้า คาดแนวโน้มดีขึ้น หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดทำแผนกระตุ้นการส่งออกสำหรับปี 2553 เสร็จสิ้นแล้ว โดยจะลดสัดส่วนการพึ่งพาตลาดหลัก และหันไปให้ความสำคัญกับตลาดใหม่เพิ่มมากขึ้น มีเป้าหมายจะผลักดันให้การส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มสัดส่วนเป็น 55% ตลาดหลักจะอยู่ที่ 45% จากปีนี้ที่คาดว่าสัดส่วนตลาดใหม่กับตลาดหลักจะอยู่ที่ 50/50โดยตลาดใหม่ที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม)

“ประเทศที่เป็นตลาดใหม่ จะให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหลักก็จะให้ความสำคัญเช่นเดิม แต่จะพยายามลดสัดส่วนการพึ่งพาลงมา”นายราเชนทร์กล่าว

นายราเชนทร์กล่าวว่า สำหรับสินค้าที่จะผลักดันการส่งออก จะยังคงเน้นในกลุ่มสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีจุดแข็งและใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยจะเป็นกลุ่มที่จะมีกิจกรรมผลักดันการส่งออก เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการต่อเนื่องตามความจำเป็นจากการบริโภคในชีวิตประจำวัน

ขณะเดียวกัน จะมีแผนการพัฒนาโลจิสติกส์ที่ชัดเจน โดยจะส่งเสริมกิจกรรมด้านการพัฒนาเครือข่ายการขนส่งและโลจิสติกส์ในเชื่อมโยงระหว่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มเห็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งเป้าหมายการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์เน้นกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เช่น ลาว เขมร พม่าและจีน

นายราเชนทร์กล่าวว่า แผนการส่งออกในปีหน้า จะเพิ่มสัดส่วนโดยเน้นการสนับสนุนธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.การพัฒนาตัวสินค้าที่จะเน้นการลงทุนพัฒนาด้านการออกแบบ การสร้างแบรนด์ การออกไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศ โดยกำหนดเพิ่มจำนวนธุรกิจที่ไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีจำนวน 800 รายซึ่งแผนนี้จะสอดคล้องกับการเข้าถึงตลาดใหม่ เนื่องจากพิจารณาแล้วมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจของไทยจะเข้าไปเจาะตลาดได้และมีความยั่งยืน

2.การส่งเสริมธุรกิจบริการ จะเน้นการสนับสนุนธุรกิจบันเทิง สินค้าContent เช่น ภาพยนตร์ไทย แอนนิเมชั่น เพลงและอื่นๆ รวมทั้งจะผลักดันให้ธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น สุขภาพ สปา ความงาม และการออกแบบทรงผม ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบการดำเนินการยอมรับว่าต้องมีการสร้างเครือข่ายกับต่างประเทศเพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความเชื่อมโยง และต่อเนื่องกัน

นอกจากนี้ กรมฯ จะให้ความสำคัญกับการผลักดันการค้าและการลงทุนในอาเซียน หลังจากที่อาเซียนจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 6 ปีข้างหน้า ที่จะเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน โดยกรมฯ ตั้งเป้าหมายการส่งออกไปกลุ่มอาเซียนจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเฉลี่ยปีละ 20% ให้เป็น 25% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าตามทิศทางตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้ว

“เฉพาะตลาดอาเซียน จะเน้นการสร้างเครือข่ายการผลิตร่วมกันในรูปแบบคลัสเตอร์ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ที่ไทยมีความเข้มแข็งเรื่องการออกแบบแฟชั่นที่โดดเด่นในกลุ่มอาเซียน มีมาตรฐานการผลิตที่ดี แต่อุตสาหกรรมต้นน้ำบางส่วนอาจอยู่ในประเทศอื่น หากเราใช้ AEC ให้เป็นประโยชน์จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงโดยตามแนวทางนี้จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันนอกกลุ่มความร่วมมือได้ เป็นการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ในการแข่งขัน”นายราเชนทร์กล่าว

นายราเชนทร์กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ ถือเป็นแผนงานเบื้องต้น ที่จะใช้ปฎิบัติจริงในปีหน้า โดยแผนจะสอดคล้องกับงบประมาณที่กรมฯ ได้รับ จากงบประมาณประจำปี 2553 ประมาณ 2,500 ล้านบาท และงบจากกองทุนส่งเสริมการส่งออกที่จะประชุมวันนี้ (7 ก.ย.) ที่มีอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะมีการหารือกับหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงแผนงานประมาณปลายเดือนก.ย.นี้พร้อมกับมีการหารือถึงเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ซึ่งนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะร่วมให้นโยบายการทำงานด้วย

“ปีหน้าการส่งออกจะดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจน หลายๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัวแล้ว การจับจ่ายใช้สอยเริ่มดีขึ้น โดยเชื่อว่าจะขยายตัวดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน ส่วนในปีนี้ แม้ว่าการส่งออกจะยังขยายตัวติดลบ แต่ส่วนแบ่งตลาดของไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งไม่ได้ลดลงเลยยังสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”นายราเชนทร์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us