Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กันยายน 2552
ล่องแพเติมพลังย่านชานกรุง             
โดย วิมล อังสุนันทวิวัฒน์
 


   
search resources

Tourism
Health




แต่ละวันผู้คนในเมืองกรุงต่างคร่ำเคร่งทำงานกันอย่างเร่งรีบจนร่างกายและจิตใจเคร่งเครียดและเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว พอวันหยุดทีเหมือนอยากจะหยุดโลกไม่ให้หมุน เพื่อผ่อนอัตราเร่งของชีวิตให้ช้าลงโดยไม่ต้องมีเป้าหมายของงานไว้คอยไล่ล่า

การได้พักผ่อนช่วงวันสุดสัปดาห์ดูจะเป็นสิ่งที่มนุษย์งานทั้งหลายเฝ้ารอ กิจกรรมช่วงสุดสัปดาห์สำหรับครอบครัวในสถานที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ อีกแห่งที่น่าสนใจคือ จังหวัดนครปฐม ที่อวลไปด้วยบรรยากาศ ความเป็นพื้นบ้านไทยในวันเก่าๆ ย้อนเวลาขึ้นไปได้นับพันปีทีเดียว

จังหวัดนครปฐมเป็นเมืองในที่ลุ่มปากแม่น้ำ มีแม่น้ำลำคลองมากมาย ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ในอดีต และมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน คือ แม่น้ำนครชัยศรี หรือเรียกอีกชื่อว่าแม่น้ำท่าจีน เมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา ที่นี่เคยเป็นเมืองริมทะเล เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลระหว่างชุมชนในสุวรรณภูมิยุคสมัยทวารวดี มีพุทธศาสนาจากอินเดียแผ่เข้ามายังดินแดนแถบนี้เป็นครั้งแรก ต่อมากระแสน้ำที่เคยไหลผ่านได้เปลี่ยนทาง คนจึงอพยพไปตามริมน้ำและสร้างเมืองใหม่ ชื่อ "นครชัยศรี" หรือ "ศรีวิชัย"

นครปฐมร้างมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชอยู่ได้ธุดงค์ไปพบพระปฐมเจดีย์ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อเจดีย์แบบลังกาครอบเจดีย์เดิมไว้ ทรงทำการปฏิสังขรณ์และโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองเจดีย์บูชา เพื่อให้การคมนาคมดีขึ้น

ชาวบ้านแถบนี้เดิมทำการเกษตรเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เลิกไพร่เลิกทาส และส่งเสริมให้ราษฎรทำนาอย่างกว้างขวาง พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวแหล่งใหญ่เพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ มีโรงสีข้าวเกิดขึ้นมากมายริมแม่น้ำนครชัยศรี

ปัจจุบันบ้านเมืองพัฒนาไปมาก มีตึกรามเกิดขึ้นมากมาย ถนนหนทางเข้ามาแทนที่แม่น้ำลำคลอง แม้กระนั้นพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำนครชัยศรีก็ยังเต็มไปด้วยความสดใสบริสุทธิ์ แม้เกษตรกรหลายรายจะเลิกทำนาไปแล้ว มีโรงสีข้าวเก่าทิ้งร้างเป็นระยะๆ แต่ก็ยังมีบรรยากาศ เขียวขจีมองไปเห็นปลายนาสวนผักของเกษตรกรอีกหลายรายที่ยังดำเนินชีวิตแบบเก่าๆ อยู่

นอกจากสภาพบ้านไร่ปลายนาที่ยังอุดมสมบูรณ์แล้ว ที่นี่มีวัดเก่าแก่อายุนับร้อยปีมากมายให้เที่ยวไปสักการะและชื่นชมศิลปะที่สืบ ทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง ผู้คนจากกรุงเทพฯ จะใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็สามารถผ่อนคลายท่องเที่ยวดูบ้านชนบทและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมกำลังใจในยามเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ เพราะเป็นแหล่งที่มีพระเกจิอาจารย์ขึ้นชื่อมากมายมาช้านาน

พระเกจิรูปสำคัญคือ หลวงพ่อเปิ่นแห่งวัดบางพระ หรือพระครูอุดมประชานาถ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ดังที่ชายไทยใจหาญและเหล่าข้าราชการในอดีตไม่มีใครไม่รู้จัก ท่านเก่งคาถาอาคมและชอบสักยันต์รูปเสือที่ขึ้นชื่อในทางคงกระพันและเสริมเมตตามหานิยม เมื่อท่านมรณภาพใน พ.ศ.2545 ร่างไม่เน่าบรรจุโลงแก้วไว้ในโบสถ์ ด้านหน้าวัดมีศาลรูปหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือให้คนมากราบไหว้ขอพร

วัดบางพระ เดิมชื่อ วัดปากคลองบางพระ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายอยู่ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม สร้างขึ้นราว พ.ศ.2220 สมัยอยุธยาตอนกลาง ภายในอุโบสถหลังเดิมมีพระประธาน หินทรายปนแดง ปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปสมัย อโยธยาสุพรรณภูมิ (อู่ทอง) เรียกกันว่า "หลวงพ่อสิทธิมงคล" ด้านหน้ามีพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 26 นิ้ว 1 องค์ ด้านขวามีพระพุทธรูปอีก 3 องค์ และด้านซ้ายอีก 3 องค์

พระอุโบสถหลังเก่า มีลักษณะแบบ มหาอุตม์ พื้นที่ภายในกำแพงแก้วยกดินสูง มีสถูปเจดีย์ล้อมรอบสี่ด้าน ด้านหน้าหันออกสู่แม่น้ำนครชัยศรี มีเรือสำเภาก่ออิฐถือปูน กลางลำเรือก่อขึ้นเป็นเจดีย์ บ่งบอกว่าที่แถบนี้มีการค้าขายทางเรือ ตัวอุโบสถก่ออิฐถือปูน หลังคาลดหลั่นเป็น 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องดินเผาสมัยอยุธยาตอนกลาง ประกอบช่อฟ้าใบระกา

ภายในอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง รูปเทพชุมนุม สลับกับภาพอดีตของพระพุทธเจ้า มีการปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ภาพที่น่าสนใจคือ ภาพมารผจญ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงจีวรสีแดง ประทับนั่งบนดอกบัวแก้ว มีแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นภาพ ที่งดงามด้วยการใช้สีเพียง 4 สี เท่านั้น คือ ขาว ดำ แดง และเขียวใบแค

วัดบางพระมีตำนานจากพระนักปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นเจ้าอาวาสทุกรุ่น ซึ่งเป็นผู้นำชาวบ้านร่วมกันพัฒนาวัดและชุมชนด้วยศรัทธาแรงกล้า ในยุคหลวงปู่หิ่ม หรือเจ้าอธิการหิ่ม อินทโชโต ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาคาถาอาคมและการรักษาโรคให้กับหลวงพ่อเปิ่น หลวงปู่หิ่ม ได้สร้างพระพุทธบาทจำลอง ขนาด 1.1 x 4.2 เมตร ทำด้วยโลหะ ทุกกลางเดือนสี่จะมีงานเทศกาลให้ชาวบ้านมานมัสการปิดทอง

ในยุคหลวงปู่หิ่ม ท่านเห็นว่าอุโบสถหลังเก่าเล็กและชำรุดทรุดโทรม จึงเกณฑ์พระเณรและชาวบ้านช่วยกันชักลากไม้แถบนั้นมาสร้างโบสถ์หลังใหม่แล้วเสร็จ พ.ศ.2470 ประดิษฐานหลวงพ่อโต ปางสะดุ้งมาร ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีคนเห็นหลวงพ่อโตน้ำตาไหล ผู้คนจึงนิยมมาบนบาน หลวงพ่อโตด้วยว่าวจุฬาและประทัด หลวงปู่หิ่มมรณภาพเมื่อ พ.ศ.2496

พอมาถึงสมัยหลวงพ่อเปิ่นเป็นเจ้าอาวาส ใน พ.ศ.2518 โบสถ์ทรุดโทรมลง จึงเริ่มบูรณะโดยเปลี่ยนจากไม้เป็นปูน ทางเข้าวัดเดิมเป็นหลุมเป็นบ่อ หลวงพ่อเปิ่นยังไม่มีชื่อเสียง เศรษฐกิจทั่วไปก็ไม่ดี ท่านพากเพียรจนสร้างโบสถ์หลังใหม่สำเร็จและพัฒนาวัดจนกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน

ปัจจุบันวัดบางพระเป็นแหล่งรวมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะด้านการรักษาโรค หลวงพ่อเปิ่นได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นในปี 2537 และขยายตัว จนให้บริการด้านต่างๆ ผสมผสานการแพทย์แผนโบราณเข้ากับการแพทย์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านกายภาพบำบัด การฝังเข็ม แพทย์แผนไทย ทันตกรรม และริเริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพขึ้นเมื่อปี 2545

ทัวร์สุขภาพของโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น เป็นงานบริการเพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพของประชาชนแบบองค์รวม ด้วยการล่องแพชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี โดยแบ่งเป็นโปรแกรม 1 วัน เริ่มตั้งแต่ เวลา 8.00-16.00 น. และโปรแกรม 2 วัน 1 คืน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีการตรวจสุขภาพในช่วงเช้า จากนั้นจะมีอาหารเช้า อาทิ ข้าวต้ม สลัดผัก และเครื่องดื่มสมุนไพร

จากนั้นล่องแพชมความงามของแม่น้ำนครชัยศรีราว 1 ชั่วโมง ซึ่งจะมีกิจกรรมสุขภาพมากมาย เช่น เกมตอบปัญหาสุขภาพ การสอนนวดหน้าคลายเครียดด้วยตัวเอง ฝึกโยคะ นวดแผนไทยจากเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี ภายใต้การดูแลโดยเจ้าหน้าที่อายุรเวทของโรงพยาบาล ระหว่างล่องแพจะมีการแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวริมฝั่งน้ำไปตามรายทาง ราวเวลา 15.00-16.00 น. ก็จะขึ้นแพกลับโรงพยาบาล เพื่อรับฟังผลการตรวจสุขภาพจากแพทย์

ส่วนโปรแกรม 2 วัน 1 คืน เพิ่มรายการอบและประคบสมุนไพร เที่ยวชมสวนผักผลไม้ สวนสมุนไพร ศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาไทยปิยชนก ชมการทำน้ำอบไทย แป้งร่ำ และสีผึ้ง เที่ยวชมพระราชวังสนามจันทร์ อนุสาวรีย์ย่าเหล สักการะเทวาลัยพระพิฆเนศ ชมพระตำหนักทับแก้ว พระตำหนักทับขวัญ ชมละครเรื่อง วิวาห์พระสมุทร ณ พระที่นั่งสามัคคี มุขมาตย์

ระหว่างล่องแพแวะชมสถานที่ต่างๆ อาทิ แวะสักการะอนุสรณ์ สถานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระบิดา 3 เหล่าทัพ อันได้แก่ พระบิดาแห่งกองทัพบก จอมพลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระบิดาแห่งกองทัพเรือ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวง ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และพระบิดาแห่งกองทัพอากาศ จอมพลสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนคร ชัยศรี ในเขต ต.บางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งไม่ห่างจากวัดบางพระ ก่อตั้งขึ้น พ.ศ.2534 โดยนางอนะ วงศ์สรรพ์ และนายธนพัฒน์ โพธิ์สว่าง เพื่อเทิดพระเกียรติและเตือนใจให้คนไทยเกิดสำนึกหวงแหนแผ่นดินที่บรรพบุรุษรักษาให้อยู่อย่างสงบสุขมาจนทุกวันนี้

จากอนุสรณ์สถานล่องแพต่อไปตาม ลำน้ำ จะไปขึ้นท่าที่วัดสุขวัฒนาราม หรือวัดบางระกำ ซึ่งเป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2414 โดยคุณปู่จุ้ยและคุณย่าเจียมสายอุบล บริจาคที่ดินให้

ภายในวัดมีวิหารจตุรมุขประดิษฐาน หลวงพ่อพุทธทีปังกร สมัยกรุงศรีอยุธยา ทำจากหินศิลาแลง เป็นที่เคารพของชาวบ้านมาก ก่อนจะเข้าไปไหว้พระ จะต้องเดินลอดโบสถ์ที่มีลักษณะทางเข้าคล้ายอุโมงค์ แล้วท่องบทสวดมนต์และอธิษฐานขอพร ที่นี่มีงานบุญปิดทองช่วงสงกรานต์ นอกจากนี้ยังมีพระศรีอาริย์องค์ใหญ่ รูปหล่อพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เจ้าแม่กวนอิม และอดีตเจ้าอาวาสทุกรูป

ตรงริมน้ำหน้าวัดจะมีวังมัจฉาเป็นที่อาศัยของปลานานาชนิด เมื่อไหว้พระจน อิ่มบุญแล้วก็มาให้ทานอาหารแก่เหล่าปลานานาชนิด มีทั้งปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาเทพา ปลาตะเพียน ปลากด ปลาลิ้นหมา ฯลฯ มีนักเรียนโรงเรียนวัดสุขวัฒนารามมาแสดงอังกะลุงทุกวันเสาร์และอาทิตย์

ในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ชาวนาและพิพิธภัณฑ์ย้อนยุค จัดแสดงเครื่องใช้ในการทำนา ทำไร่ของชาวบ้านแถบลุ่มน้ำนครชัยศรี อาทิ ไถเดี่ยว ไถคู่ คราด ลูกทุบ แอก ครกกระเดื่อง สีฝัด และเครื่องมือทำการเกษตรแบบโบราณอีกมากมาย ทางวัดได้จัดขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ การทำนาแบบดั้งเดิมของชุมชน นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์เรือไทยภาคกลาง มีเรือจัดแสดง อาทิ เรือขุด เรือสำปั้น เรือบด เรือมาด ฯลฯ และพิพิธภัณฑ์พระเครื่อง

เมื่อเที่ยวชมจนอิ่มตาอิ่มใจแล้วก็จะล่องแพต่อมาที่ตลาดน้ำหน้าวัดลำพญา เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน มีจำหน่ายของพื้นบ้านมากมาย ในแพ 15 แพ ตลอดโค้งน้ำ ระยะทาง 270 เมตร มีผักผลไม้สดจากสวน มีส้มโอ มะม่วงเขียวเสวยลำพญา ห่อหมกปลาช่อน กุ้งชุบแป้งทอด ปลาต้มส้ม กุนเชียงปลา ข้าวหมกไก่ ข้าวหมูแดง เป็ดพะโล้ ขนมจีน หมูสะเต๊ะ ขนมเปี๊ยะ ขนมไทยนานาชนิด

เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว หากยังมีเวลาพอก็ลองแวะเข้าไปเที่ยวชมวัดลำพญา วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2400 ประดิษฐานพระศักดิสิทธิ์คือ หลวงพ่อมงคลมาลานิมิต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างด้วยศิลาแลงพอกปูน ปิดทองทับไว้ ช่วงหน้าหนาวนกปากห่างนับพันตัวจะอพยพหนีหนาวมากินอยู่แถบนี้ให้ได้ชม ละแวกใกล้ๆ ยังมีชุมชนบ้านบางภาษี ทำผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากผักตบชวา ชมบ้านทรงไทยดำ แวะซื้อสินค้าจากโรงงานทำกระถาง

ที่นี่มีบริการเรือยนต์ลากแพล่องวัดสุขวัฒนาราม ชมริมฝั่งน้ำที่มีโรงสีข้าวร้าง บ้านกำนันตำบลลำพญา ซึ่งตกแต่งบ้านด้วยวัสดุธรรมชาติ ค่าบริการคนละ 50 บาท หรือนั่งเรือแจวคนละ 25 บาท ไปนมัสการศาลเจ้าอาม่า ต.ลำพญา แวะซื้อพันธุ์ไม้ท้องถิ่น เช่น สะตือ แทงหวาย หรือนั่งเรือเอี้ยมจุ๊นโบราณลอยลำไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่วัดศรีมหาโพธิ์ ล่องต่อไปตลาดน้ำดอนหวายและวัดไร่ขิง และช่วงออกพรรษาราวตุลาคม ทางหอการค้าและสำนักงานจังหวัดจะจัดงานวันส้มโอมณฑลนครชัยศรี

จากตลาดน้ำฯ ล่องแพมาเรื่อยๆ จะได้พบกับคุ้มแม่น้ำท่าจีนของหม่อม ไฉไล ยุคล ณ อยุธยา ชายาในพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธุ์ ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) บนเนื้อที่ 30 ไร่ ร่มรื่นด้วยพรรณไม้มากมาย เดิมที่แห่งนี้เป็นผืนนา หม่อมไฉไลเป็นลูกหลานชาวลุ่มน้ำนครชัยศรี ได้เข้ามาพัฒนารีสอร์ต เพื่อรำลึกถึงคืนวันอันงดงามของริมฝั่งน้ำรุ่นปู่ย่า มีหมู่เรือนไทยใหญ่ที่สุดในประเทศอายุกว่า 200 ปี มีเรือเอี้ยมจุ๊นต่อเป็นบ้านพัก 17 ลำ หม่อมไฉไลออกแบบและคุมการก่อสร้างเอง

โดดเด่นด้วยห้องอาหารเรือเวียดนาม เป็นเรือสะสมของเสด็จพระองค์ชายใหญ่ ซื้อมาจากชาวเวียดนามสมัยไซ่ง่อนแตกและอพยพคนจากเวียดนามล่องเรือไปหาแผ่นดินใหม่ ภายในรีสอร์ตมีพิพิธภัณฑ์ของสะสมของเสด็จพระองค์ ชายใหญ่ อาทิ เครื่องดนตรีไทยย่อส่วน กลองดองซอน สมบัติของรัชกาลที่ 2 ที่ตกทอดมา เอกสารลายพระหัตถ์รัชกาลที่ 5 จระเข้สต๊าฟ ซึ่งเคยเข้าฉากละคร จำปูน และสักการะพระแม่อุมาเทวี อายุกว่า 1,000 ปี ซึ่งเป็นชายาพระศิวะและพระมารดาพระพิฆเนศ

ที่นี่มีบริการอาบใบตองล้างพิษ เป็นศาสตร์โยคะโบราณกว่า 5,000 ปี โดยจะอาบก่อน 9 โมงเช้า และหลัง 4 โมงเย็น ซึ่งใบตองจะช่วยกรองแสงแดด ที่ไม่ดีออก เหลือแต่แสงสีเขียวมากระทบตัว ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิว ทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา และสร้างภูมิต้านทาน

ล่องแพมาถึงตรงนี้ก็ชักจะบ่ายคล้อยมากแล้ว หากไม่พักค้างแรม ก็จะต้องหาโอกาสกลับมาเที่ยวอีกครั้ง เพราะพื้นที่แถบชานกรุงเทพฯ อย่างนครปฐม มีสถานที่ให้เที่ยวชมอีกมากมายไม่รู้เบื่อ แม้จะเรียบง่ายแบบบ้านชนบท แต่ก็ลึกซึ้งดื่มด่ำกับสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนชาวพุทธที่ผูกพันกันต่อเนื่องมานาน นับพันปี และสามารถยืนหยัดท้าทายความเปลี่ยนแปลงจากเมืองใหญ่ที่ถาโถมเข้ามา ด้วยพลังของชุมชนภายในที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดการพื้นที่ภายใต้ "เครือข่ายคนรักท่าจีน"

เมื่อวันเวลาจะผันผ่านไป สรรพสิ่งต่างๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความงามของลุ่มน้ำนครชัยศรีจะไม่แปรเปลี่ยน หากคนท้องถิ่นยังมีสำนึกรัก และยึดโยงด้วยศรัทธาต่อกันเฉกเช่นวันคืนที่ผ่านมา พื้นที่แห่งนี้ก็จะประทับอยู่ในความทรงจำของผู้มาเยือน ให้อยากแวะเวียนกลับไปอีกไม่รู้เบื่อ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us