จากวิกฤติน้ำมันโลกครั้งปิดคลองสุเอซเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันที่เกิดวิกฤติน้ำมันแพง กระบวนทัศน์คำว่า "mini" กลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคทางเลือกใหม่ ที่น่าสนใจกว่า โดยมีมิติของขนาดที่เล็กกะทัดรัด พอเพียง ไม่กินเนื้อที่ ประหยัดพลังงานและทรัพยากร แต่ท้าทายให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่เกินตัวตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงปัจจุบัน
ภายใต้บริบทของอารมณ์ความรู้สึกของสังคมและการตื่นตัวทางการเมืองของชาวอังกฤษ (The Political Framework) ที่มีต่อวิกฤติการณ์ปิดคลองสุเอซ (The Suez Crisis) ในปี 1956 ซึ่งนัสเซอร์ นายกรัฐมนตรีอียิปต์ขณะนั้นต้องการตอบโต้อังกฤษ ฝรั่งเศสและอิสราเอล ที่หยุดความช่วยเหลือด้านการเงินสร้างเขื่อนอัสวาน เพราะไม่พอใจนโยบายฝักใฝ่โซเวียตของอียิปต์ ก่อให้เกิดสงครามรุนแรง ฐานทัพอียิปต์ถูกระเบิดทำลาย นัสเซอร์ตอบโต้โดยสั่งจมเรือ 40 ลำเพื่อปิดคลองสุเอซ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ขนส่งสำคัญของน้ำมันโลก จนนำไปสู่มติสหประชาชาติให้มีการถอนกำลังทหารอังกฤษ ฝรั่งเศสและอิสราเอลในที่สุด
จากวิกฤติน้ำมันครั้งนั้นเป็นแรงกดดันที่ท้าทายวิศวกรนักออกแบบรถวัย 51 อย่างท่านเซอร์ Alec Issigonis ซึ่งได้รับว่าจ้างจากลอร์ดเลียวนาร์ด เจ้าของบริษัท British Motor Corporation (BMC) ให้ออกแบบรถขนาดเล็กประหยัดน้ำมัน นี่คือ Creative Challenge ที่ท่านเซอร์อเล็กได้แสดงศักยภาพที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดสุนทรียภาพทั้งภายนอกและภายในรถขนาดเล็กอย่าง MINI กับเทคโนโลยีเครื่องยนต์วางขวางและขับเคลื่อนล้อหน้า สวนกระแสหลักที่ขับเคลื่อนล้อหลังขณะนั้น
"เล่ากันว่า ท่านนั่งจิบชาและสเกตช์แบบรถบนกระดาษทิชชูขณะประชุม ซึ่งตอนนี้กระดาษนั้นก็ยังเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์มรดกของ British Motor นอกจากนี้ ในรถมินิคลาสสิก รุ่นนั้นจะไม่มีวิทยุ แต่มีที่เขี่ยบุหรี่ขนาดใหญ่แทน เพราะท่านเซอร์ชอบสูบบุหรี่มากกว่า" ปรีชา นินาทเกียรติกุล จีเอ็มหนุ่มอารมณ์ดีบริษัท MINI Thailand เล่าให้ฟังเมื่อครั้งได้ไปเยือน Oxford Plant ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีคำว่า "ยินดีต้อนรับ" ด้วย
The Era of MINI Classic
เศรษฐกิจสร้างสรรค์แบบ mini Economy ของอังกฤษเมื่อห้าทศวรรษที่แล้วจึงเริ่มต้นจาก MINI มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นของร้านมินิมาร์ท มินิคอนเสิร์ต จนถึงแนวคิดปรัชญาการออกแบบ minimalism ที่เป็นสไตล์ของสถาปัตยกรรม ดนตรีสมัยใหม่ เป็นไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่คำว่า "mini is beautiful" ตอบโจทย์ความต้องการปัจเจกชนได้ลงตัว
ยุคทศวรรษ 1960 จึงเป็นยุคเฟื่องฟูของรถขนาดเล็ก หลายค่ายรถยักษ์ใหญ่ลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วย ปัจจุบันกลายเป็นรถหายากที่นักสะสมต้องการ เช่น รถ MINI Classic, Goggomobile, Zundapp, Isetta, Messerschmitt, Vespa, Heinkle Trojan, and Fiat
26 สิงหาคม 1959 วันแห่งประวัติศาสตร์ของ MINI เริ่มต้นด้วยรถคันแรก 621 AOK ผลงานมาสเตอร์พีซของเซอร์ Alec ขับเคลื่อนออกจากโรงงาน Oxford Plant ที่เมือง Cowley (อีกแห่งอยู่ที่ Longbridge) โดยติดตราแบรนด์ Austin MINI และ Morris MINI Minor เป็นรถที่มีหน้าตาดูเป็นมิตรน่ารัก ขนาด 10 ฟุต สองประตู หน้าต่างบานเลื่อน มีที่เก็บของเล็กๆ ที่ท่านเซอร์ออกแบบจากรสนิยมส่วนตัว ไม่มีวิทยุ แต่มีที่เขี่ยบุหรี่ ส่วนฝากระโปรงท้ายรถสามารถเปิดได้เหมือนรถกระบะ วงล้อรถ MINILITE เล็ก 10 นิ้ว
ซึ่งวางอยู่สี่มุมตัวรถเหมือนรถแข่งโก-คาร์ต ถือว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ MINI ที่โดนใจคนทั่วโลก ตั้งแต่ระดับราชวงศ์อังกฤษ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ลอร์ดสโนว์ดอน จนถึงดารานักร้องยอดนิยมอย่าง The Beatles ยอดขายถล่มทลายพุ่งขึ้นนับ 1.19 ล้านช่วงทศวรรษ -60
ยุค -60 รถเล็กน่ารักสีขาวนวล 4 สูบ 35 แรงม้า สนนราคาเพียง 496 ปอนด์เหล่านี้ถูกนำใช้ในชีวิตประจำวัน แม่บ้านขับไปส่งลูกที่โรงเรียน หรือไปชอปปิ้งซื้อของหนุ่มสาวขับไปมหาวิทยาลัย หาที่จอดรถก็ง่าย
สายการผลิตและออกแบบพัฒนารถมินิคลาสสิกรุ่นต่างๆ ออกมาตอบสนองความต้องการด้วยโมเดลรุ่นต่างๆ ดังนี้ MINI Mark I (1959-1967), MINI Mark II (1967-1970), MINI Mark III (1970-2000), MINI Cooper & Cooper S (1961-2000) MINI Clubman และ 1275 GT (1969-1980)
นอกจากนั้น MINI ยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบ หลายคนอยากจะแปลงโฉมใช้งานต่างๆ กันออกไป จึงมีรถ
มินิรุ่นดัดแปลงต่างๆ เช่น MINI Moke (1964, 1968 ในอังกฤษ) ที่ใช้ในสงคราม โดยทิ้งจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพได้, MINI Wolseley Hornet และ Riley Elf (1961-1969) แปลงโฉมเป็นรถหรูหรา, Cooper สร้างให้เป็นรถแข่งเพราะสมรรถนะขับขี่และเกาะถนนเยี่ยม, Mayfair, Sprite และในปี 1971 เพิ่มผู้ออกแบบรุ่นมินิคูเปอร์อีกสองรายคือ ในอิตาลีในนามบริษัท Innocenti ต่อมาในปี 1973 อนุญาตให้บริษัท Authi (Automoviles de Turismo Hispano-Ingleses) ของสเปนด้วย
กระบวนทัศน์แบบ MINI กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่มีอำนาจและสร้างทางเลือกใหม่ พ้นจากการครอบงำวิถีชีวิตกระแสหลักที่นิยมรถยนต์คันหรูดูใหญ่โตโอ่อ่าของบริษัทอุตสาหกรรมรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่มีอังกฤษและอเมริกาเป็นศูนย์กลางในทศวรรษ 1950-1960
เช่น รถหรู Rolls-Royce PHANTOM V, Bentley S2 Continental, Bristol 409, Aston Martin DB4 Series V รถใหญ่เครื่องแรง 3670 CC. ของค่ายรถอังกฤษ, Renault DAUPHINE ของบริษัทเรโนลต์ ฝรั่งเศส ขณะที่รถในค่ายเยอรมัน ก็มี Amphicar, Mercedes-Benz 300SE Cabriolet ของค่ายรถเยอรมัน ส่วนรถใหญ่คันโตกินน้ำมันจุในค่ายอเมริกันชนยุคนั้นก็มีรุ่น Oldsmobile 88, Plymouth FURY, Pontiac Bonneville, Buick Roadmaster Series 70 ขนาด 5200 cc. ที่ซดน้ำมันหนักเช่นเดียวกับ Cadillac Eldorado Seville Custom
MINI ยุคคลาสสิกจึงกลายเป็น icon car ที่มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมสร้างสรรค์แบบมินิสไตล์อังกฤษ และเป็นงานออกแบบสมัยใหม่ที่สะท้อนการปลดปล่อยเสรีภาพ แฝงอารมณ์ขันเชิงเหน็บแนมอย่างแยบยลและมีไหวพริบ ถ้าหากเจ้าของรถรู้จักเล่นรถแต่งรถ ก็ยิ่งเพิ่มอารมณ์สนุกสนานในการขับขี่ประจำวันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ดังปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job ซึ่งถือว่าเป็น MINI movie ที่ถูกสร้างถึงสองเวอร์ชั่นในปี 1969 และ 2003 โดยมีรถ MINI เป็นตัวเอก ทำหน้าที่ขนทองคำมูลค่ามหาศาลที่ปล้นมาแต่คนเกิดโลภมาหักหลังกันเองแบบโจรปล้นโจร จึงเกิดฉากไล่ล่ากันอย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะฉากอมตะที่โชว์พาวเวอร์ของ MINI คือฉากรถมินิ 3 คันขับแบบไต่วิบากลงบันไดสูงชันมาทีละขั้นๆ ผ่านท่อระบายน้ำและขับซิ่งขึ้นด้านหลังรถบัสจนรอดได้ เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนหนังทั้งโรง หรือขับซอกแซกในช่องแคบๆ ระหว่างตึกได้ จนถึงเสียงขอบยางล้อเสียดสีดังรุนแรงกับพื้นถนนขณะหักเลี้ยวโค้งหลบหนีกะทันหันลอดอันตรายได้น่าอัศจรรย์ใจ
หนังเรื่อง The Italian Job นี้ เคยฉายวนไม่รู้จบให้แฟนานุแฟนไทยของ MINI ชมกันในงาน MINI Phenomenon 2007 ซึ่งมีการแปรอักษร LONG LIVE THE KING ด้วยรถมินิไม่ถึง 444 คันมาแล้ว สร้างความประทับใจไปทั่วโลก
How to Survival
กล่าวกันว่า "The First rule of survival is clear. Nothing is more dangerous than yesterday's success"
ปี 1960 ถือเป็นปีรุ่งโรจน์ของ MINI ที่สามารถวัดได้จากยอดขายปีเดียวพุ่งสูง 1.16 แสนคัน จนกระทั่งสร้างความฉงนใจแก่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Ford ถึงขั้นต้องการรู้ความลับว่า อะไรคือกุญแจไขสู่ความสำเร็จนั้น โดยไปซื้อรถมินิมารื้อถอดออกทีละชิ้นๆ แล้ววิเคราะห์ต้นทุนการผลิต เขาพบความจริงอันน่าตกใจว่า BMC เจ้าของผู้ผลิตและขายรถยอดนิยม MINI ขาดทุน!?
ปี 1985 บริษัท MG ROVER เข้าซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อเรียกว่า "MINI ROVER" ก่อนหน้าท่านเซอร์ Alec Issigonis จะเสียชีวิตในปี 1988 ถึงเวลานั้นการตลาดยุคใหม่ที่มุ่งขยายการค้าสู่ตลาดโลกก็ไปไกลกว่าที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายรถ MINI ในประเทศญี่ปุ่นสูงโดดเด่นในตลาดเอเชีย และยุทธวิธีการทำการตลาดสมัยใหม่ที่เน้น design& icon car value และสร้างมูลค่ารุ่นหายากด้วยคำว่า Limited เช่น ในปี 1990 เปิดตัว MINI Cooper รุ่น limited พร้อมลายเซ็น John Cooper นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ซึ่งเปิดอู่ผลิต MINI Special ด้วย และในปี 1993 รถมินิเปิดประทุนโมเดล Cabriolet ที่ออกแบบโดยคาร์มานน์ในเยอรมนี
แม้จะพัฒนาเครื่องยนต์ในปี 1997 ปรับเป็นหัวฉีด 1300 ซีซี แบบจอห์น คูเปอร์ และมีถุงลมนิรภัยเป็นมาตรฐาน แต่กิจการของบริษัทโรเวอร์ก็ยังต้องประสบภาวะขาดทุนจากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชีย ทำให้ปลายปี 1999 โรเวอร์ประกาศระงับการผลิตตั้งแต่ปี 2000 แต่ยังคงผลิตตัวถังเป็นอะไหล่ แต่จะใช้ชื่อแบรนด์ MINI ไม่ได้ แต่สามารถสร้างรถขึ้นใหม่ภายใต้แบรนด์ที่ตัวเองเป็นเจ้าของคือ Austin หรือ Morris ได้
40 ปีที่ครองเจ้าตลาดรถขนาดเล็กจากเจ้าของรายแรก BMC มาถึง MG ROVER ยอดผลิตรถ MINI กระจายไปทั่วโลกประมาณ 5.4 ล้านคัน
ปี 2001 BMW Group ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์หรู เช่น BMW, Rolls-Royce ก็เข้าครอบครองเป็นเจ้าของใหม่ และบริหารธุรกิจในนามของ BMW MINI เจ้าของรถ New MINI ที่พัฒนาจากยีนต้นแบบรถ เข้าสู่ดีไซน์ภายนอกและภายในอย่างทันสมัย ขนาดตัวถังรถ new MINI จะใหญ่กว่า MINI Classic ประมาณ 22 นิ้ว ขณะที่ความกว้างกว่า 12 นิ้ว และหนักกว่า
ความจริงแล้ว BMW Group เคยมีประสบการณ์ผลิตและจำหน่ายรถไมโคคาร์ Isetta มาตั้งแต่ปี 1955-1964 โดยออกแบบเหมือนรถการ์ตูนที่ผสมระหว่างรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ขนาด 250 cc เน้นอารมณ์ขับขี่แบบสนุกสนาน Fun ซึ่งถือเป็น passion ที่กลายเป็นจุดขายของรถขนาดเล็ก
เพียง 6 ปีจากเมษายน 2001-2007 ปรากฏยอดผลิตของ New MINI ครบ 1 ล้านคัน เทียบเท่ากับยุครุ่งโรจน์ของการผลิตรถ MINI Classic ในอดีต
|