Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กันยายน 2552
บริษัทจีนประกาศศักดา             
 


   
search resources

Commercial and business




บริษัทของจีนตั้งแต่บริษัทผลิตเครื่องบินจนถึงธนาคารและบริษัทน้ำมัน ต่างยกขบวนเข้าติดอันดับบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลก

Global 500 คือการจัดอันดับบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลก 500 แห่งเป็นประจำทุกปีโดยนิตยสาร Fortune สำหรับในปีนี้ สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีบริษัทติดอันดับ Global 500 มากที่สุด คือ 140 แห่ง มากกว่าประเทศที่ตามมาเป็นอันดับ 2 อย่างญี่ปุ่นถึงสองเท่า (บริษัทญี่ปุ่นติดอันดับ 68 แห่งในปีนี้) แม้ว่าขณะนี้สหรัฐฯ กำลังต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมาก็ตาม แต่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังคงมีความสำคัญที่สุดในโลก และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคตอันใกล้

Exxon Mobil ยังคงเป็นบริษัทอเมริกันที่มีผลกำไรมากที่สุดในโลก ด้วยรายได้ 4,520 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ราคาน้ำมันแพงตลอดทั้งปีที่แล้ว ทำให้บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง พาเหรดเข้าสู่อันดับ Global 500 ในปีนี้ โดยคว้าไปถึง 7 ใน 10 อันดับแรกของบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นของสหรัฐฯ ในด้านธุรกิจกำลังค่อยๆ ชะลอลงและเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ไม่เพียง Royal Dutch Shell ซึ่งไม่ใช่บริษัทในสหรัฐฯ มีรายได้ในปีที่แล้ว 458,000 ล้านดอลลาร์ จะสามารถแย่งตำแหน่งไปจาก Wal-Mart Stores ของสหรัฐฯ ในฐานะบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลกได้แล้วเท่านั้น แต่จำนวนบริษัทอเมริกันเพียง 140 แห่งที่ติดอันดับในปีนี้ ยังนับเป็นจำนวนที่น้อยที่สุด นับตั้งแต่นิตยสารฉบับนี้เริ่มจัดอันดับ Global 500 มาตั้งแต่ปี 1995 ด้วย นอกจากนี้ยังมีบริษัทอเมริกันอีกหลายแห่งที่ถึงกับตกจากอันดับไปเลย อย่างเช่น AIG, Countrywide Financial, Freddie Mac, Lehman Brothers, Merrill Lynch, Wachovia และ Washington Mutual

จีนกลายเป็นประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาในการจัดอันดับ Global 500 ในปีนี้ บริษัทจีนติดอันดับ 37 แห่ง โดย 9 แห่งเป็นบริษัทที่เพิ่ง เข้าอันดับเป็นครั้งแรก ส่วนที่เหลือก็เลื่อนอันดับดีขึ้นทั้งหมด (บริษัท อินเดียก็เลื่อนอันดับดีขึ้นเช่นกัน) State Grid (อันดับ 15) มีรายได้ 164,000 ล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทของรัฐบาลจีนที่เป็นเจ้าของสายส่ง กระแสไฟฟ้าถึง 80% ในจีน รวมถึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่สามารถส่งกระแสไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินและพลังน้ำที่ตั้งอยู่ในเขต ชนบท ไปถึงยังเขตเมืองของจีนได้โดยตรง Peterson Institute for International Economics ในวอชิงตันชี้ว่า State Grid ได้ผงาดขึ้น เป็นผู้นำโลกในด้านการส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงและ State Grid เพิ่ง ประกาศจะลงทุน 12,000 ล้านดอลลาร์ในด้านเทคโนโลยีในปีนี้และ ปีหน้า โดยส่วนหนึ่งของการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการนำเข้าไฟฟ้าจากรัสเซีย

Aviation Industry Corp. of China หรือ AVIC (อันดับ 426) เป็นบริษัทจีนที่เพิ่งติดอันดับเป็นครั้งแรก ยอดขายส่วนใหญ่ของ AVIC มาจากการขายสินค้าให้แก่กองทัพจีน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทจากจีน-สหรัฐฯ-ยุโรป ที่กำลังสร้าง เครื่องบินไอพ่นโดยสารระดับภูมิภาค สำหรับตลาดทั้งในประเทศและตลาดส่งออก โดยเครื่องบินนี้จะใช้เครื่องยนต์ของ GE (อันดับ 12)

"การเคลื่อนย้ายความมั่งคั่งและอำนาจทางเศรษฐกิจจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก กำลังเกิดขึ้นแล้วอย่างขนานใหญ่และรวดเร็ว ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สมัยใหม่" นี่คือข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในรายงานที่มีชื่อว่า Global Trends 2025 ของรัฐบาลสหรัฐฯ จัดทำโดย National Intelligence Council หน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่ทำการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ รายงานดังกล่าวสรุปว่า ภายในปี 2025 จีนจะกลายเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก

แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่า อย่าให้ความสำคัญมากเกินไปกับการที่บริษัทจีนผงาดขึ้นมาใน Global 500 "บริษัทที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของสามารถฝ่าฟันพายุการเงินได้ดีกว่าบริษัทเอกชนด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ พวกเขาได้รับการอัดฉีดเงินทุนมหาศาลจากรัฐบาล จีน" Yasheng Huang ศาสตราจารย์ด้านการบริหารจัดการระหว่างประเทศจาก Sloan School of Management ของ MIT ชี้ Huang เสริมด้วยว่า เราไม่เคยรู้เลยว่า มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ในบริษัทของจีน เพราะการขาดความโปร่งใส

อย่างไรก็ตาม หลักฐานต่างๆ ก็บ่งชี้ว่าจีนกับอินเดีย ซึ่งมีระบบการเงินที่ได้รับการปกป้องจากรัฐบาล จะฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในสภาพที่ดีกว่าสหรัฐฯ ยุโรป หรือญี่ปุ่น J.P. Morgan Chase ชี้ว่าเศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวเร็วกว่าชาติตะวันตก

รัฐบาลจีนรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคก่อสร้าง McKinsey & Co. ชี้ว่า เมืองทุกเมืองของจีนมีการวางแผนพัฒนาระยะยาว 20 ปี ในขณะที่ตลาดสินเชื่อในสหรัฐฯ ยังคงหยุดชะงัก แต่จีนยังคงอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดสินเชื่อของตน สามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ได้ในปีนี้

ธนาคารและสถาบันการเงินที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของและรัฐวิสาหกิจอย่าง Sinopec (อันดับ 9) China National Petroleum (อันดับ 13) China Mobile (อันดับ 99) และ China Life Insurance (อันดับ 133) คือส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่ยกขบวนเข้าสู่อันดับในปีนี้ แต่ไม่ใช่ด้วยความสามารถในการสร้างนวัตกรรมหรือ ความสามารถทางการตลาดแต่อย่างใด จีนยังจำเป็นที่จะต้องสร้างแบรนด์ระดับโลกที่ทรงพลัง แต่แบรนด์ที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงการเป็นแบรนด์ระดับโลกของจีนมากที่สุดคือ Lenovo ซึ่งเพิ่งซื้อแผนกผลิตคอมพิวเตอร์พีซีของ IBM ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน กลับตกจากอันดับ ในปีนี้ไป เพราะยอดขายที่ตกต่ำ

แต่นักวิเคราะห์จาก McKinsey ยังเชื่อว่า จีนกับอินเดียจะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของนวัตกรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จีนกำลังพยายามจะสร้างความเป็นผู้นำโลกในอุตสาหกรรมหลายๆ ด้าน เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าภายในประเทศของจีนมีมหาศาล โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของรถยนต์ดังกล่าว จะเป็นสินค้าที่ขายดีอันดับต้นๆ ในจีนในอีกไม่นานนี้ แม้ว่าบริษัทจีนอาจจะมีขนาดใหญ่ไม่เท่าหรือมีประสบการณ์น้อยกว่าบริษัทอย่าง BMW หรือ GM แต่จีนมีเงินทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจุดแข็งหลัก

แม้ว่าจีนจะเริ่มผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในการผลิตของโลก แต่สหรัฐฯ ยังคงครองส่วนแบ่งการผลิตสินค้าของโลก 20% เหมือน เดิมหรือมากกว่า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหนือกว่าจีนมานานกว่า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่บริษัทอย่าง GE, Boeing (อันดับ 116) และ Caterpillar (อันดับ 144) กำลังเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังคงดีที่สุดในเรื่องการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมและการสร้างแบรนด์ บริษัทอเมริกันที่เพิ่งติดอันดับ Global 500 เป็นครั้งแรกในปีนี้ (หรือ กลับเข้าอันดับอีกครั้งหลังจากที่เคยตกไป) รวมถึงบริษัทที่เป็นนักสร้าง นวัตกรรมอย่าง Nucor ผู้ผลิตเหล็กกล้า (อันดับ 386) Google (อันดับ 423) Amazon (อันดับ 485) และ Nike (อันดับ 497) Nike ถือเป็นบริษัทอเมริกันเพราะมีสำนักงานอยู่ในรัฐโอเรกอน Nike ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการตลาด ว่าจ้างโรงงานในกว่า 40 ประเทศ รวมถึง โรงงาน 150 แห่งในจีน และรายได้มากกว่าครึ่งของ Nike มาจากตลาดนอกสหรัฐฯ

การผงาดขึ้นมาของบริษัทจีนในการจัดอันดับบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกในด้านรายได้นี้ ไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับสหรัฐฯ เพราะจะทำให้ความต้องการซื้อสินค้าที่ส่งออกไปจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น หากจีนยึดมั่นในคำสัญญาที่จะสร้างเศรษฐกิจของตนให้เติบโตอย่างยั่งยืน ก็จะเกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ เอง ซึ่งกำลังพยายามสร้างนวัตกรรมในด้านพลังงานสะอาด รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือสายส่งไฟฟ้าที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์  พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ฟอร์จูน 20 กรกฎาคม 2552   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us