Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2531
สริยา-ประภา-ชนัตถ์ ม่ายเหล็กพันล้าน             
 

   
related stories

โลกลับชนัตถ์ ปิยะอุย บางเรื่องของม่ายใจดำที่จำต้องยอม

   
www resources

โฮมเพจ โรงแรมดุสิตธานี

   
search resources

ชนัตถ์ ปิยะอุย
Hotels & Lodgings
โรงแรมดุสิตธานี




สริยา สิวายุ-ประภา วิริยะประไพกิจ-ชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้หญิง 3 คนนี้ ต่างวัยต่างปูมหลังและต่างวิถีทางของชีวิต แต่ทั้งสามมีอย่างน้อย 2 สิ่งที่เหมือนกันราวฟ้ากำหนด อย่างหนึ่งคือเป็น "ม่าย" ส่วนอย่างที่สอง แต่ละคนเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจระดับพันล้าน

บทสรุปก่อนปิดฝาโลงของ 'หญิงเหล็ก' ชนัตถ์ ปิยะอุย

"ทุกคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น"

หยก แซ่หวัง…วินาทีนั้นหล่อนบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าก้าวออกจากธนาคารแห่งนั้นด้วยความรู้สึกเช่นไร สมเพชให้กับความว่างเปล่าที่ได้สัมผัส ยิ้มหยันกับความเชื่อมั่นที่ว่าโครงการใหญ่ซึ่งจะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศของหล่อนนั้นควรได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี

แต่แล้วมันก็เป็นเพียงความฝันที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บช้ำน้ำใจ!!!

"โครงการของคุณไม่เลวเลย แต่จะให้แบงก์ปล่อยกู้เป็นร้อยล้านได้อย่างไร ในเมื่อที่ดินสร้างโรงแรมเป็นที่ดินที่เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินที่เอาไปจำนองไม่ได้ อีกอย่างหลักทรัพย์ส่วนตัวของคุณเองก็ไม่พอที่จะค้ำประกัน" คำตอบของนายแบงก์คนนั้นยังดังก้องในโสตประสาทของหล่อน

ว่าไปแล้วไม่ใช่แค่แบงก์ใหญ่แห่งนี้ที่ปฏิเสธ อีก 2-3 แบงก์ไม่ว่าจะเป็นแบงก์กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ต่างมีคำตอบแก่หล่อนในลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น หรือแม้แต่บริษัทขายเสาเข็มเช่น "ซีแพค" ที่อยู่ในเครือปูนซิเมนต์ไทยก็ยังไม่ยอมขายของเงินผ่อนมูลค่าเพียง 20 ล้านบาทให้เลย ทั้งที่ทำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว

หน่อนนึกน้อยใจ…แต่ก็ไม่มีสิทธิโต้เถียงเพราะ "ความจริง" ที่เขายกขึ้นมาอ้างเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หล่อนเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง กับอพาร์ทเมนท์ที่ไม่ใหญ่นักอีก 2 แห่ง แล้วคิดการใหญ่จะสร้างโรงแรมระดับห้าดาวมูลค่า 300-400 ล้านบาท

ใครเล่าเขาจะยอม!?

ชนัตถ์ ปิยะอุย…วินาทีนี้ของ "เจ้าแม่โรงแรม" เมืองไทย เธอช่างมีความสุขอยู่กับการพินิจพิจารณาที่ดินในย่านต่าง ๆ เพื่อดูความเหมาะสมเป็นไปได้ของการขยายโครงการและดูเหมือนเธอจะเชื่อมั่นมากว่า โครงการไหนที่ได้ลงมือจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน

ปีนี้เธอมีอายุ 65 ปีแล้ว ทว่ายังพอใจที่จะขี่หลังเสือต่อไป ลำพังเพียงแค่การเป็นเจ้าของโรงแรม 4 แห่งใน 4 จังหวัดคือดุสิตธานี กรุงเทพฯ ดุสิตอินน์ เชียงใหม่ ดุสิตรีสอร์ท พัทยา และดุสิตลากูน่า ภูเก็ต นั้นยังน้อยไปที่จะทำให้สมญานามนั้นดูขลังมากยิ่งขึ้น

เงินพูดได้ทุกเรื่อง ยิ่งกับเธอด้วยแล้วเงินนั้นต้องไม่สูญเปล่า หลังคิดทบทวนอยู่นานครันก็ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว่าภายในปีนี้จะขอลงทุนสร้างโรงแรม-คอนโดมิเนียมอีกสัก 2 แห่งคือที่ระยองและชะอำ "มันน่าจะวิ่งฉิวไปด้วยดีเช่นทุกโครงการ" เธอหวังไว้อย่างนั้น

เป็นโครงการของชนัตถ์แล้วแบงก์ไหนปฏิเสธไม่ช่วยเหลือก็บ้าเต็มทน???

กาลเวลาคงเป็นช่องว่างและผ่านไปโดยเปล่าดาย หากไม่ได้บรรจุเอากิจกรรมของคนเราไว้ในตัวของมัน หรืออาจกล่าวได้ว่าคนเป็นผู้ทำให้กาลเวลามีคุค่าและความหมายด้วยกิจกรรมอันดีเด่นของคน ๆ นั้น คนเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์

หยก แซ่หวัง…20 ปีที่ผ่านมาหล่อนยิ้มได้แล้ว!

ชนัตถ์ ปิยะอุย…กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอหวังว่าคงยิ้มได้ตลอดไป!!

แล้วผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมของไทยสองคนนี้ก็คือคน ๆ เดียวกัน คนที่ยอมรับกับตัวเองว่า "ฉันเป็นคนขี้เหนียวมากคนหนึ่ง"

"การเมืองเท่านั้นที่บันดาลทุกสรรพสิ่ง

หยก แซ่หวัง…หล่อนกลายเป็นเจ้าของโรงแรมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483 ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่า พ่อแม่มีทุนรอนพอให้หยิบยืม กอปรกับความเป็นนักเรียนนอก หล่อนจึงมีเหตุผลที่จะทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า ธุรกิจโรงแรมควรมีอนาคตที่ไม่ริบหรี่ในเมืองไทย

โรงแรมปรินซเซส (PRINCESS) ของหล่อนที่ตั้งตรงบริเวณปาตรอกโรงแรมโอเรียนเต็ล นัยว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดไม่น้อย เพราะ-ไม่ต้องบากหน้าไปกู้แบงก์ให้เป็นภาระวุ่นวาย สอง-ที่ดินสร้างโรงแรมก็เป็นที่ดินในครอบครัวของพี่สาวคนหนึ่ง

สุนีย์รัตน์ เตลาน พี่สาวหล่อนคนนั้นได้ชื่อว่า เป็นเจ้าที่ดินและเศรษฐินีผู้มั่งคั่ง เคยเป็นเจ้าของโรงแรมรามาทาวเวอร์ บันทึกประวัติศาสตร์จากคนใกล้ชิดระบุว่า "เธอร่ำรวยเพราะผลพลอยได้จากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา"

ความสนิทสนมขั้นไหนนั้นไม่อาจล่วงรู้ ทราบกันแต่เพียงว่าเขาทิ้งสมบัติเป็นเงินทองไว้กับเธอหลายกระสอบเลยทีเดียว???

"ไม่จริงเลย! พี่สุนียรัตน์ขยันทำการค้าต่างหาก" หยกปฏิเสธแทนพี่สาว

โรงแรมปรินซเซสเป็นโรงแรมเล็กและใหม่ก็จริงอยู่ ทว่าด้วยความทุ่มเทของหยกที่ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การเป็นพนักงานต้อนรับ จนบางคนเรียกหล่อนว่า "ผู้จัดการสันดานเสมียน" รวมถึงความขยันขันแข็งของทีมงานทุกคน ทำให้ปรินซเซสพุ่งแรงขยายตัวอย่างฉับพลัน

จาก 60 ห้องในระยะเริ่มแรกกลายเป็น 93 ห้องภายในเวลาไม่นานนัก!!

"คุณเคยเห็นเจ้านายคนไหนบ้างที่ยอมยกมือไหว้ลูกน้องก่อน ทำอย่างนี้ได้กับแขกด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ หล่อนหวานและเข้มแข็งในตัว แค่พนักงานสายการบินต่าง ๆ ที่ดึงมาเป็นแขกประจำก็พอเพียงที่จะทำให้โรงแรมนี้อยู่รอดอย่างสบาย ๆ" คนเก่าแก่คนหนึ่งย้อนความหลังให้ฟัง

ปรินซเซสกลายเป็นฐานรากของหล่อน ผลกำไรปีหนึ่ง ๆ หลายสิบล้านบาท ไม่เพียงจะทำให้หล่อนมีชื่อในฐานะคนที่นิยมเครื่องเพชรอย่างไม่มีเสียดายคนหนึ่งแล้วนั้น ช่วยต่อดอกให้หล่อนกลายเป็นเจ้าของอพาร์ทเมนท์ที่ทันสมัยอีก 2 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกันคือ ชนินทรคอร์ท ซอยต้นสน หลังตึกดีทแฮล์มและจันทร์เฮ้าส์ สุขุมวิท ซอย 1

โชคเป็นของหล่อน…เพราะราวปี พ.ศ. 2500 ทหารอเมริกันจำนวนมากได้ย้ายฐานปฏิบัติการมาอยู่ในเมืองไทยตามนโยบายยอมตนเป็นขี้ข้าของรัฐบาลยุคนั้น อพาร์ทเมนท์ 2 แห่งของหล่อนเลยสบช่องทำมาหากินกับ จี.ไอ. เหล่านั้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ

หยก แซ่หวัง…หล่อนกลายเป็นผู้หญิงดังของสังคมไปเสียแล้ว!!

มีการค้ามากมายท้าทายให้หล่อนพิสูจน์ความสามารถ!

…………..

ถ้าความเหงาจะเป็นจุดเปราะบางอย่างหนึ่งของผู้หญิง เห็นทีขอยกเว้นกับหล่อน ภายหลังที่พบบทสรุปว่าชีวิตคู่ที่มีความกินแหนงแคลงใจเป็นที่ตั้ง มีเสียงทะเลาะเบาะแว้งให้ลูก ๆ ต้องทนฟังทุกวันนั้น หากยังดื้อดึงอยู่ร่วมกันต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น

จุดเริ่มต้นการเป็น "ม่าย" โดยสมัครใจมิได้ทำให้หล่อนเหงาและท้อถอยต่อภาวะการงานใด ๆ ในเมื่อหล่อนรู้ดีว่าเหตุผลหนึ่งของการหย่าร้างนั้นสืบเนื่องมาจากการที่หล่อนมุงานอย่างหนักจนละเลยหน้าที่เมียที่สมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้หล่อนที่เพลินกับการเก็บเกี่ยวประโยชน์การค้าจึงแอบหวังตั้งใจว่า เพื่อเอาชนะความเหงาจะต้องสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้- (อ่านชีวทัศน์ด้านปิดของชนัตถ์ในล้อมกรอบเพิ่มเติม)

ปี พ.ศ. 2506 หลังหยกเป็นม่ายไม่นาน เมืองไทยที่ขณะนั้นหาอาคารสูงระฟ้า 0 ชั้น 20 ชั้น พอที่จะโชว์แขกบ้านแขกเมืองไม่ได้ แม้แต่โรงแรมชั้นหนึ่งอย่างสยามคอนติเนนตัลก็สูงไม่กี่ชั้น ปมด้อยนี้ซึ่งเมื่อผนวกกับการที่อุตสาหกรมท่องเที่ยวเริ่มขยายตัวอย่างกร้าวร้าว เลยทำให้นักเรียนนอกอย่างหยกหรือที่เริ่มรู้จักในวงสังคมว่า "ชนัตถ์ ปิยะอุย" พลันเกิดแรงบันดาลใจว่า ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงที่จะเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรมท่องเที่ยว

"ความคิดนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ก็ครั้งที่ได้ไปดูงานร่วมกับศูนย์การเพิ่มผลผลิต แล้วมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงแรมโนมูระซึ่งใหญ่มาก ได้รับการเอาใจอย่างดีจาก มร. โนดะผู้จัดการโรงแรมที่พาไปพบกับสถาปนิกมีชื่อคนหนึ่งของบริษัทคังโกะเขาบอกว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือเราทุกอย่าง" ชนัตถ์บอกให้ฟัง

เหตุผลนี้ก็หนักแน่นไม่น้อย แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง

ตระกูลปิยะอุย-มีความสนิทสนมกับสายทหารมาแต่ไหนแต่ไร ตัวหยกเองครั้งหนึ่งเคยมีนายทหารยศ พล.ท. คนหนึ่งมาเลียบเคียงขอเป็นหุ้นส่วนชีวิต พี่สาวคนโตที่ชื่อสุภา ก็เป็นภรรยาของ พล.ท. ชอุ่ม ยุทธนานาส และยัง พ.ท. วรพงษ์ ปิยะอุย น้องคนที่ 4 ที่เป็น ทส. คนสนิทของจอมพลผ้าขะม้าแดง

สายสัมพันธ์นี้มีผลประโยชน์สูงต่อธุรกิจของพี่สาวในเวลาถัดมา

พ.ท. วรพงษ์ภายหลังอสัญกรมของจอมพลผ้าขะม้าแดงก็ลาออกจากราชการทหาร หันกลับมาทำการค้าส่วนตัวด้วยการตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง "พ. ปิยะ" จากนั้นจึงขยายการลงทุนไปสร้างโรงงานรีดอะลูมิเนียมที่บางปู (อัลแคนไทย) โดยมีสมพจน์ ปิยะอุย น้องชายคนสุดท้องมาช่วยอีกแรง ซึ่งอุตสาหกรรมรีดอะลูมิเนียมนั้นมีความจำเป็นอย่างมากต่องานก่อสร้าง

ไม่ว่าจะเป็นหยกหรือชนัตถ์ เธอยังคงไว้ซึ่งความเป็นนักลงทุนที่เฉียบฉลาด ไหน ๆ น้องชายก็ทำอุตสาหกรรมนั้นแล้ว ตัวเองก็พอมีเงินอยู่บ้าง ชื่อเสียงในวงสังคมไม่ยากนักต่อการระดมทุนเลยทำให้เธอกล้าที่จะตัดสินใจร่างโครงการโรงแรมระดับ 400 ล้านบาทขึ้นทันที

ดุสิตธานีกำเนิดขึ้นตรงจุดนี้!!

คนเราดวงมันจะขึ้นเอาอะไรมาฉุดก็รั้งไว้ไม่อยู่!!??

โชคดีตามมารับใช้เธออีกหน หลังร่างแผนงานก็ตระเวนหาทำเลเพื่อสร้างโรงแรมนั้นจนมาสะดุดเอากับที่ดินบริเวณหัวถนนสีม ศาลาแดง ซึ่งที่ดินนี้เป็นของสมาคมแพทย์ สมาคมทันตแพทย์และสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษมีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สิน

หลายคนหวังที่จะได้ที่ดินบริเวณนี้ใจแทบขาด แต่ยังไม่มีใครประสบผลสำเร็จดั่งใจนึก

ทว่ากลับเป็นเรื่องแปลกเอามาก ๆ ที่ชนัตถ์สามารถติดต่อขอเช่าที่ดินบริเวณนี้จากสำนักงานทรัพย์สินฯ มาได้ในราคาแสนถูกเพียง 10 ล้านบาท/ระยะเวลา 30 ปี และยังมีผลที่จะตีขนดขอซื้อที่ดินในบริเวณใกล้เคียงมาได้อีกซึ่งภายหลังใช้เป็นที่สร้างอาคารสำนักงานชาร์เตอร์ดแบงก์

การค้าเที่ยวนี้พิสดารสับซับซ้อนเพียงใดนั้นเธอย่อมรู้ดี และการได้รับความช่วยเหลือในครั้งนั้นคงถูกต้องแล้วที่เธอจะมอบหุ้นจำนวนหนึ่งให้สำนักงานทรัพย์สินฯ จนปัจจุบันหุ้นส่วนนั้นกลายเป็นร้อยละ 16.8 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

ผู้หญิงม่ายคนนี้เก่งพอตัว เพาะการที่ได้สำนักงานทรัพย์สินฯ มาร่วมถือหุ้นด้วยนั้นทำให้ภาพพจน์ในสายตาคนทั่ว ๆ ไปค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับ และเชื่อมั่นได้เลยว่าจะไม่เกิดกรณีเบี้ยวสัญญาเป็นอันขาดหากธุรกิจนี้ไปด้วยดี

"คนขายตัว เงินทองของบาดใจ"

บางสิ่งที่เร้นลับอาจเป็นเรื่องง่ายของชนัตถ์ ทว่าเมื่อถึงคราวพูดกันถึงเรื่องเงินลงทุนนั่นแหละชนัตถ์ถึงได้รู้ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอจักต้องจดจำไปจนวันตาย…

แรกทีเดียวโรงแรมดุสิตธานีกำหนดแผนงานในรูปแบบ TURN KEY PROJECT โดยห้บริษัทคังโกะของญี่ปุ่นที่เป็นสถาปนิกรับเป็นผู้ดำเนินการในทุกเรื่องรวมถึงเรื่องเงินกู้ แต่เมื่อแบบเสร็จกลับเห็นว่า คงเป็นการสิ้นเปลืองเกินจำเป็นเพาะรูปแบบนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่าที่เอาไว้หลายล้าน

ดุสิตธานีประมาณการว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 360 ล้านบาท

เมื่อแบบแผนนั้นล้มพับ เลยเปลี่ยนมาใช้รูปแบบใหม่ที่เปิดประมูลให้บริษัต่าง ๆ แยกกันทำคนละส่วน อาทิงานพื้นฐานก็มอบให้บริษัทซีแพค ของปูนซิเมนต์ไทยรับไปทำ ซึ่งรูปแบบนี้ประสบความยุ่งยากตรงที่การติดต่อขอเงินกู้จะต้องดำเนินการด้วยตนเอง

เคราะห์ของดุสิตธานียังดีอยู่ที่ว่า EXIM BANK ในต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น เยอรมัน ล้วนเห็นชอบด้วยกับโครงการนี้ยินยอมที่จะให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 7 และระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยที่ค่อนข้างยาวนาน เฉพาะญี่ปุ่นชนัตถ์วิ่งเต้นขอกู้เงินได้ถึง 200 ล้านบาท

อะไรมันน่าจะดีไปหมด เรื่องมาสะดุดเอาตรงที่ว่า บรรดาแบงก์ต่างประเทศเหล่านั้นต้องการให้ดุสิตธานีหาธนาคารในประเทศที่พอไว้ใจได้อย่างแบงก์กรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ หรือกรุงไทย มาเป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยง

ตรงนี้ล่ะที่สอนให้ชนัตถ์เข้าใจถึงเจตนารมณ์แท้จริงของแบงก์ เพราะจากการที่เธอหอบเอาแบจำลองของโรงแรมไปให้ดูเพื่อขอการสนับสนุนต่างได้รับคำตอบปฏิเสธเกือบทั้งหมด ดีอยู่หน่อยตรงที่ยังไปถึงกับถีบไสไล่ส่ง แต่เพียงแค่นี้ก็พอจะทำให้ความหวังนั้นดับมอดอยากโยนโครงการทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด???

"มันบอกไม่ถูกนะว่าเรารู้สึกอย่างไร เจ็บใจตัวเองหรือว่าเคียดแค้นแบงก์ บางทีก็นึกปวดร้าวนะที่แบงก์บ้านเราเขาดูกันที่หลักทรัพย์มากกว่าที่จะดูตัวโครงการดูความเป็นไปได้ในอนาคต ตอนที่เดินออกมามือเปล่าแล้วทอดน่องมาเรื่อย ๆ จากสะพานเหล็กจนถึงโรงแรมปรินซเซสไม่รู้มาได้ยังไงกัน"

แต่แล้วที่สุดเธอก็เป็นกรรมการแบงก์คนหนึ่งเข้าจนได้!!!

ดุสิตธานีไม่มีวันนี้ที่ยิ่งใหญ่ได้เลยถ้าจะไม่มีใจเอื้ออารีของคน ๆ หนึ่งที่เข้ามาช่วยเหลือ คน ๆ นั้นที่คนตระกูลปิยะอุยต้องไม่ลืมเลยก็คือ "ไพศาล นันทาภิวัฒน์" จากสภาพที่ไม่ผิดอะไรกับศพที่ถูกมัดตราสังเรียบร้อยรอปิดฝาโลงก่อนนำไปฝังไปเผาแล้วนั้น ไพศาลเข้ามาชุบชีวิตใหม่ให้โดยแท้

ไพศาลขณะนั้นเป็นนายแบงก์ของแบงก์แหลมทองที่ไม่ใหญ่นัก ทว่าเมื่อเห็นโครงการดุสิตธานีแล้วคิดว่า "มันมีทางเป็นไปได้" ก็เลยยื่นมือที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้ แต่แบงก์แหลมทองของเขาก็ยังไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้สมบูรณ์แบบ เนื่องจากทุนจดทะเบียนของแบงก์ก็มีแค่สิบล้านบาท ขณะที่ลูกหนี้อย่างดุสิตธานีมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 40 ล้านบาท

ตลกสิ้นดีมันจะไปค้ำประกันให้กันได้อย่างไร???

แต่ดุสิตธานีก็รอดตายได้หวุดหวิดเมื่อไพศาลใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเจรจาขอร้องกับจำรัส จตุรภัทร กรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทยให้เป็นคนช่วยเหลือค้ำประกันโครงการนี้อีกทางหนึ่ง โดยที่แบงก์แหลมทองจะเป็นคนค้ำประกันหนี้จำนวนนั้นกับแบงก์กรุงไทยเอง จำรัสโอ.เค. ในทันที

ดุสิตธานีเริ่มตอกเสาเข็มเสาแรกด้วยความมั่นใจ!!!

…………

คนอย่างชนัตถ์ไม่เคยเดินเดี่ยวโดยไม่มั่นใจ ศาสตร์หนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเร่งระดมทุนและประกันความเสี่ยงของดุสิตธานีในระยะเริ่มแรกก็คือ การออกหุ้นกู้ราคาหุ้นละ 100 บาทขายไปในหมู่เพื่อนฝูงและบุคคลอื่นที่สนใจ

วิธีการนี้ไม่เพียงเป็นแนวทางสร้างภาพพจน์ความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนว่า โรงแรมดุสิตธานีจะดำเนินงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อผลกำไรของผู้ถือหุ้นทั้งหลายเป็นที่ตั้งแล้วนั้น ยังมีผลดีช่วยให้โครงการนี้ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจากแบงก์โดยไม่จำเป็น

แบแผนนี้คงยึดมั่นเป็นวัตรปฏิบัติถึงปัจจุบัน ซึ่งแต่ละปีสามารถปันผลกำไร/หุ้นได้ไม่เลวนักเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับ 20 บาท โดยเฉพาะปีที่แล้วราคาซื้อขายหุ้นของดุสิตธานีพุ่งขึ้นสูงถึง400 กว่าบาทเรียกความกระสันต์อยากให้กับนักลงทุนทั้งหลายได้ไม่น้อย

ถ้ามองสถานะของโรงแรมดุสิตธานีซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมแห่งเดียวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะมีความมั่นคงมากที่สุดนั้น ก็เป็นเรื่องปกติที่ราคาหุ้นจะเป็นที่สนใจของคนทั้งหลาย ทว่ามองอย่างลุ่มลึกหุ้นตัวนี้ก็มีอัตราการเสี่ยงไม่เบาเช่นกัน

เนื่องจากหุ้นจำนวน 3.6 ล้านหุ้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกำมือของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 7-8 รายเท่านั้น ปริมาณหุ้นที่เวียนซื้อขายในตลาดมีแค่ 6 แสนกว่าหุ้น ที่สำคัญคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับตระกูล "ปิยะอุย" ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นโอกาสที่หุ้นส่วนนี้จะถูกเทออกมาขายจึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก

ภาวะที่เป็นอยู่อย่างนี้บางทีในส่วนของคนเล่นหุ้นย่อมอาจเป็น "อันตราย"!!!

ชนัตถ์ ปิยะอุย…บางครั้งก็เป็นนักพนันที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง คนที่เป็นนักพนันเท่านั้นที่ย่อมกล้าได้กล้าเสียอย่างไม่พรั่นพรึง คุณสมบัติประการนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในตัวของคนที่เป็น "ม่าย"

"ดีไหมถ้าต้องขายตัวเสียก่อน" เธอครุ่นคิดลำพังหลังจากงานก่อสร้างดุสิตธานีผ่านไปได้แล้ว 6-7 ชั้น ความคิดนี้เป็นที่ถูกเสียดสีจากหลาย ๆ คนที่รู้ความตั้งใจของเธอว่า ต้องการที่จะขายดุสิตธานีให้เป็นที่รู้จักในตลาดทั้ง ๆ ที่ตัวอาคารยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์

มันเสี่ยงเกินไป…เพาะเป็นสินค้าประเภทหนึ่งคงไม่น่าหนักใจ แต่โรงแรมเป็นสินค้าบริการที่ควรให้มีความพรักพร้อมทุกด้านเสียก่อนจึงจะเผยตัว ดังนั้นแนวคิดนั้นจึงเป็นดั่งดาบสองคม ขายดีก็ดีไปแต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็เท่ากับเชือดตัวเองอย่างเลือดเย็นที่สุดนั่นแหละ!!

ชนัตถ์กำลังเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ตเข้าเสียแล้ว???

"หัวใจ" การทำธุรกิจโรงแรมอาจอยู่ที่การเข้าถึงการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขายอย่างครบกระบวนยุทธ์ ทว่าการค้าเที่ยวนี้นี่ "ซีแอตเติล" ที่เธอตัดสินใจ อาจหวังได้เช่นนั้นจริง ๆ หรือ?

การประชุม PATA ที่ซีแอตเติล (2510) ชนัตถ์หอบเอาแผ่นปลิวโฆษณาโรงแรมดุสิตธานี ที่ทำตามแบบจำลองไปแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมประชุมพ้อมกับเสนอขายซึ่งสร้างความสนเท่ห์เป็นอย่างมาก เพราะทุกคนรู้ดีว่า โรงแรมที่จะใหญ่ที่สุดของเมืองไทยแห่งนี้ยังทำได้ไม่ถึง 50% เอาเสียเลย

โชคดีมีอยู่คนหนึ่งที่เข้าใจในเจตนรมณ์นี้แจ่มชัดว่าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน "มร. คาร์ลสัน" ประธานกรรมการโรงแรม WESTERN โรงแรมที่มีสาขาทั่วโลกมากมายคือคน ๆ นั้น มร. คาร์ลสันรับปากว่าเขาสนใจที่จะมาเที่ยวเมืองไทยและปรารถนาที่จะให้ดุสิตธานีเป็น CHAIN หนึ่งของ WESTERN

ที่สุดการตกลงครั้งสุดท้ายก็เป็นจริงนับเป็นการ JOINT VENTURE ครั้งแรกของอุตสาหกรรมโรงแรมในเมืองไทย!!

WESTERN ใช่ว่าจะเข้ามาจัดการการตลาดและวางระบบงานให้กับดุสิตธานีเท่านั้น ยังสนใจซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งอีกด้วย เนื่องจากดูแล้วเห็นว่าพร้อพเพอตี้ของโรงแรมนี้คงหาไม่ได้อีกแล้วในเมืองไทย แต่การร่วมงานก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพาะชนัตถ์เชื่อในความสามารถของตนเอง และจิตสำนึกลึก ๆ ที่บอกว่าแท้ที่จริงดุสิตธานีก็คืออนุสรณ์ของ "ปิยะอุย" นั่นเอง

แม้แต่เรื่องชื่อยังเป็นที่ถกเถียงเพราะ WESTERN ไม่ต้องการใช้คำว่า "ดุสิตธานี" ที่เวลาออกสำเนียงฝรั่งแล้วฟังดูไม่ค่อยรู้เรื่อง อยากให้เป็น WESTERN เฉย ๆ "เรายอมรับความสามารถของคุณ แต่โรงแรมนี้เป็นชองคนไทย ชื่อดุสิตธานีก็มีความเป็นไทยในตัว เราแยกกันเสียเถอะถ้าคิดจะตัดชื่อนี้ออกไป" นั่นเป็นคำขาดที่ชนัตถ์ยื่นให้กับ WESTERN ในห้วงแรกของการร่วมหอลงโลง

การเริ่มต้นดึงเอา WESTERN เข้ามาร่วมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหากมองถึงอนาคตเบื้องหน้าที่ธุรกิจนี้จะต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการค้าครั้งนี้ถ้า "แตะ" กันอย่างไม่เกรงใจกันแล้ว อนาคตดูเหมือนจะเลวร้ายสิ้นดี!?

เมฆดำก่อตัวเป็นทิวก่อนเป็นพยับฝนฉันใด เค้าแห่งความยุ่งยากของดุสิตธานีกับ WESTERN จากความรู้สึกกินใจครั้งนั้นก็น่าจะเป็นฉันนั้นเช่นกัน

"ทำไมคุณต้องเถียงด้วยนะ ฉันเป็นคนท้องถิ่นย่อมเข้าใจอะไรได้ดี" แม้แต่เรื่องการจัดซื้ออาหารก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้หยุดหย่อน???

การเข้ามาของ WESTERN ถ้ามองผิวเผินอาจรู้สึกว่า ชนัตถ์และผู้ถือหุ้นคนไทยคนอื่น ๆ ยอมมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้กลุ่มนี้จัดการ แต่จริง ๆ แล้วคงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ เพราะชนัตถ์ที่รู้สึกมาตลอดเวลาว่าโรงแรมดุสิตธานีคืออนุสาวรีย์ความสำเร็จของตนนั้นควรที่ตนจะมีส่วนยุ่งเกี่ยว

"ถ้าไม่มีความสำเร็จของโรงแรมปรินซเซสมารองรับ บางทีชนัตถ์อาจปล่อยให้เวสเทิร์นทำแต่เพียงผู้เดียวก็เป็นได้ แต่ทีนี้ชนัตถ์เองก็คิดว่าตัวก็มีความสามารถเหมือนกัน เรื่องที่จะยอมกันง่าย ๆ เลยดูเป็นเรื่องยากไปเสีย" คนรุ่นเก่าคนหนึ่งสมทบให้ฟัง

ความที่ไม่สามารถประสานแนวทางความคิดและการทำงาน ให้ประสานกันได้อย่างสนิทแนบรวมไปถึงความแตกต่างกันในทางวัฒนธรรมการทำงานต่าง ๆ จึงเป็นต้นตอของปัญหาอีกร้อยแปดจนถึงเรื่องที่รุนแรงที่สุดเมื่อฝ่ายชนัตถ์ไปขอเงินกำไรส่วนหนึ่งเพื่อใช้หนี้เงินกู้ แต่กลับได้รับคำตอบว่า "ยูจะเอาไปทำอะไร ไอต้องการเงินขยายงานส่วนอื่นออกไปอีก"

"บ้าที่สุด เอาแต่ใจไม่ยอมรับผิดชอบด้วยกันเลย" ชนัตถ์สบถขึ้นอย่างเหลืออด ยิ่งเห็นทาง WESTERN เล่นองค์ยั่วยุยิ่งทำให้ชนัตถ์อยากเอาชนะให้จงได้ กระทั่งก็สุดทน ต้องเจรจาขอซื้อหุ้นที่เคยขายไปให้กับทาง WESTERN กลับคืนเพื่อหวังให้เป็นแรงบีบให้กลุ่มนี้ถอนตัวออกไป เพราะในสัญญาระบุว่า WESTERN จะพ้นหน้าที่ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ซื้อมาไม่มีอีกแล้ว

แล้วชนัตถ์ก็ประสบผลสำเร็จ…การจากไปของ WESTERN เท่ากับเบิกทางให้รูปโฉมการบริหารงานของดุสิตธานีไปอยู่ในเงื้อมเงาของคนในตระกูลปิยะอุยอย่างเต็มรูปแบบ ชนัตถ์มั่นใจมากว่างานนี้เธอทำได้แน่นอน

ระบบการบริหารที่เป็นไทยโดด ๆ มีเธอเป็นศูนย์กลางของอำนาจเบ็ดเสร็จ!!!

"ก้าวต่อไป"

ถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อดุสิตธานีจะจืดจางลงไป แต่ WESTERN ยังคงยอมรับในความเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่มีความเพียบพร้อมทุก ๆ ด้านเหนือโรงแรมคู่แข่งแห่งอื่นจึงป้อนลูกค้าให้ตามปกติ สถานการณ์ทั่วไปจึงดูไม่เลวร้ายมากไปนัก กอปรกับการโหมทุ่มเทสติปัญญาอย่างแข็งขันของชนัตถ์ผสมผสานไปกับการที่มีสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นผนังทองแดงดึงเอาแบงก์ไทยพาณิชย์มาช่วยจุนเจืออีกทางหนึ่ง

เพียงขึ้นปีที่ 4 24 เมษายน ดุสิตธานีก็สามารถ BREAK EVEN POINT ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ!?

"แรก ๆ ที่เห็นหนี้ยังนอนตาลอยนึกไม่ออกว่าจะหาทางเอามาใช้เขาได้อย่างไร แต่เมื่อทำได้กลับถูกฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า เรานี่เป็นนักธุรกิจที่ใช้ไม่ได้เลยเพราะนักธุรกิจที่ดีต้องรู้จักการมีหนี้มาก ๆ" เธอคุยด้วยอารมณ์อันเบิกบาน

การที่ดุสิตธานีสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากจะเสริมสร้างศักยภาพทางการเงินให้แบงก์ยอมรับมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลถึงการขยายตัวอย่างก้าวร้าวในระยะหลังของกลุ่มนี้ด้วยว่า เงินที่ถูกขนมาใช้ล้วนเป็น "เงินเย็น" ที่ตกดอกกำไรมาจากตัวโรงแรมดุสิตธานี

เงินเย็นช่วยทำให้ชนัตถ์และดุสิตธานีถือไพ่ที่เหนือกว่าคู่แข่งขันในตลาด และมันก็ง่ายมากที่ดุสิตธานี จะเลือกเล่นเกมในหนทางที่เป็นประโยชน์แก่ตนมากที่สุด สมแล้วกับคำกล่าวขานที่คนในวงการบางคนบอกว่า "ชนัตถ์กลายเป็นนักฆ่าเลือดเย็นโดยไม่เจตนา"

"ดิฉันคิดว่าเราทำธุรกิจแบที่ไม่เคยบีบใคร สมัยที่ตัวเองเป็นนายกสมาคมโรงแรม การยื่นข้อเรียกร้องอะไรกับรัฐบาลก็ทำไปเพื่อส่วนรวมทั้งสิ้น แต่คนอื่นเห็นว่าเราใหญ่เกินไปภาพที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า นี่ต้องเพื่อดุสิตฯ อย่างนี้แน่ ๆ" ชนัตถ์ทอดถอนใจถึงความรู้สึกที่เธอเองไม่ค่อยชอบนัก

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนความได้เปรียบของดุสิตธานี ที่นึกจะเล่นเกมอะไรก็ได้โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อนมากนักที่เห็นได้ชัด ๆ ก็คงเป็นครั้งแรกที่ภาวการณ์ของโรงแรมในเมืองไทยทรุดหนักในช่วงปี 2526 สภาพการณ์ขณะนั้นขวัญของโรงแรมแทบจะไม่มีเหลือหลอ ห้องพักว่างเปล่าเดือนแล้วเดือนเล่า

การแก้ไขปัญหาครั้งนั้นโรงแรมหลายแห่งยอมที่จะเลือกเอาการเจ็บตัวเป็นการยืดอายุด้วยการหั่นราคาห้องพักลงมาอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหลอนให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทั้งที่เนื้อแท้เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น

ดุสิตธานีในปีนั้นเจ็บตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่สาหัสสากรรจ์อะไรมากนัก เนื่องจากสายป่านที่ค่อนข้างยาวทำให้ดุสิตธานีกล้าหาญที่จะทุบห้องพัก 500 กว่าห้องให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วนำภาพนี้ไปเป็น SELLING POINT ว่า ดุสิตธานีเป็นโรงแรมเดียวที่มีห้องพักใหญ่ที่สุดแต่ขายในราคาถูกที่สุด เพราะห้องที่ทุบรวมคงยืนกรานขายในราคาเดิม

ง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ดุสิตธานีพอที่จะมีกำไรปันให้กับผู้ถือหุ้นได้ไม่ยากเย็น!!

……………

การขยายตัวไปยังหัวเมืองหลัก 3-4 แห่งของดุสิตธานีในระยะปีสองปีที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่าเกมนี้เป็นกฎตายตัวที่ระบุได้ว่า "ดุสิตธานีเดินหมากที่เกื้อหนุนประโยชน์แก่ตนได้อย่างไม่น่าเกลียด" เพราะถ้าวิเคราะห์โดยที่ไม่เข้าข้างเกินไปแล้ว จะเห็นว่าโรงแรมที่ชนัตถ์ไปรับซื้อมานั้นถึงจะเป็นโรงแรมของหลาน ๆ (ดุสิตอินน์และดุสิตรีสอร์ท) ที่ชนัตถ์ซื้อมาในราคาเพียง 70 ล้าน และ 154 ล้านบาทนั้น ราคาซื้อขายจริง ๆ น่าที่จะสูงมากไปกว่านี้ "คนขายก็ต้องเอาแม้จะได้ราคาที่ไม่สูงนัก เพราะการซื้อของชนัตถ์ส่วนมากใช้เงินสด ๆ เข้าว่า" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกเล่า

ด้วยความได้เปรียบดังกล่าวนี้เมื่อเทียบราคา/ห้องแล้วไม่กี่แสนบาท หากนำไปเปรียบเทียบกับโงแรมใหม่ ๆ ที่ราคา/ห้องสูงถึงล้านกว่าบาท ชั้นเชิงที่เป็นต่อกันอย่างนี้ทำให้ดุสิตธานีเลือกเล่นเกมในเรื่องราคาได้

เพราะเป็นอย่างนี้ชนัตถ์ถึงย่ามใจว่า "ไม่มีเสียล่ะที่จะทำไม่ได้"!!!

ไม่ว่าวันนี้ เวลานี้ดุสิตธานีจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศอย่าง WESTERN ร่วมแรงแข็งขันอีกต่อไปแล้ว และก็น่าเชื่อได้ว่า ชนัตถ์เองคงสุขใจอย่างมากที่จะบริหารงานต่อไปในทุกโครงการด้วยตัวของตัวเอง

ดุสิตธานียุคปัจจุบันที่ขยายตัวอย่างห้าวฮึก ว่าไปแล้วภาพในอนาคตน่าที่จะสอดคล้องกับทฤษฎีกรบริหารงานบทหนึ่งที่ว่า บรรดาผู้ประสบความสำเร็จที่เป็นคนรุ่นเก่านั้นส่วนมากจะมีอยู่แล้วในเรื่อง หนึ่ง-SKILL สอง-EXPERIENCE แต่ที่ขาดไปอย่างหนึ่งและสำคัญมากก็คือ KNOWLEDGE

คนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างชนัตถ์ก็หลีกไม่พ้นกฎเกณฑ์นี้!?

ช่องโหว่ที่น่าปริวิตกกับสภาพการณ์ทางธุรกิจที่นับวันเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น ปัจฉิมวัยของชนัตถ์ที่เดินทางมาถึงแล้วในวันนี้ ยังไม่รู้ว่าเธอจะสามารถปิดป้องได้ทันการณ์หรือไม่!?

"บทสรุปก่อนปิดฝาโลง"

ดุสิตธานีปัจจุบันเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 360 ล้านบาท เป็นโรงแรมที่ยืนหยัดต้านมรสุมที่รุมรุกโหมกระหน่ำมาได้ทุกยุคทุกสมัย…

ดุสิตธานีที่กำลังรุกคืบไปอย่างน่าเกรงกลัวในยุทธศาสตร์ "เมืองสู่ป่า" ด้านหนึ่งอาจเป็นของจริงที่สร้างความหวั่นไหวให้กับคู่แข่งขันได้ไม่ยาก แต่อีกด้านหนึ่งโดยตัวของดุสิตธานีและชนัตถ์เองก็ "แฝง" ไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย

ลูกครึ่งแม่ครึ่งสมแล้วที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด!!

ฐานรากอันแข็งแกร่งที่ชนัตถ์สั่งสมมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี อาจช่วยผ่อนคลายความกดดันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่เหลือทนจริง ๆ แล้วชื่อ "ดุสิตธานี" คงไม่ถูกเบียดตกหล่นไปจากเวทีประวัติศาสตร์ได้ง่าย ๆ

แต่นั่นคงเป็นเพียงความนึกคิด เสมือนที่หยกเคยใฝ่ฝันไว้ว่า วันหนึ่งตัวเองจะต้องเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่สักแห่งหนึ่งให้ได้ ทว่าข้อแปลกแยกของเรื่องราวในปัจจุบันเชื่อเหลือเกินว่าชนัตถ์คงไม่ลืมอมตะวลีที่ว่า "เป็นแชมป์นั้นง่ายแต่ป้องกันแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า"

ปัญหาหนึ่งที่ดุสิตธานีไม่มีสิทธิ์ที่จะหลีกเลี่ยงก็คือ ช่องว่างของผู้สืบทอดภารกิจต่อจากชนัตถ์ที่ว่ากันตรง ๆ ยังไล่หลังห่างกันมากทั้งในเรื่องบารมีและความสามารถ ชนัตถ์ใกล้ที่จะปิดบันทึกหน้าสุดท้ายเสียแล้ว ขณะที่ลูก ๆ ซึ่งจะขึ้นมาทดแทน พวกเขาเพียงเริ่มต้นที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าที่หนึ่งในชีวิต

หน้าที่หนึ่งที่ถูกรุมล้อมด้วยปัญหาท้าทายหลายสิ่งหลายอย่าง และคู่แข่งขันมากรายที่กำลังสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาเทียบเคียง และยังมีบางรายที่มีฐานสนับสนุนทางการเงินที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ดุสิตธานีในรุ่นที่ 2 จึงเดินเข้าสู่วิถีโค้งที่อันตรายเป็นพิเศษ!?

"ดิฉันนึกหวั่นเหมือนกันว่า ถึงใจหนึ่งจะยอมรับในความสามารถของลูก ๆ โดยเฉพาะชนินทร แต่ด้านหนึ่งความทันสมัยของพวกเขาที่ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาก่อนกลัวว่าเขาจะเพลี่ยงพล้ำง่าย ๆ แต่ยังไงดิฉันเชื่อว่าคงได้เห็นพวกเขาประสบผลสำเร็จก่อนที่ตัวเองจะจากไป" ชนัตถ์สะท้อนความในใจออกมาให้รับรู้

เธอต้องขี่หลังเสืออยู่อีก ก็ด้วยเหตุผลนี้ และยังเป็นไปตามเดิมที่ว่าการตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือตัวเธอที่มีสิทธิเด็ดขาด 100%!!!

ในฐานะนักธุรกิจชั้นนำชนัตถ์มีแบบฉบับโดยเแพาะของตัวเองที่น่าเรียนรู้อยู่หลายเรื่องเช่น

หนึ่ง-เธอเป็นคนขี้เหนียวที่รอบคอบไม่ค่อยผลีผลามต่อการตัดสินใจถึงแม้ว่าดุสิตธานีจะยิ่งใหญ่มาหลายปีดีดักทว่ากลับเพิ่งมาขยายตัวในไม่กี่ปีมานี้เอง และการลงทุนของเธอก็เป็นไปตามทำนองใช้น้ำเย็น ๆ ลูบหัวก่อนตามเฉพาะในสิ่งที่ต้องการ

อย่างเรื่องโครงสร้างเงินเดือนพนักงาน เป็นที่พูดกันมากว่า เปรียบเทียบกับทุกโรงแรมแล้วอัตราเฉลี่ยโดยส่วนใหญ่เงินเดือนของพนักงานดุสิตธานีค่อนข้างจะเสียเปรียบที่อื่น ๆ อยู่ไม่น้อย ทว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันว่า พนักงานเหล่านั้นสุขใจที่จะทำงานกันที่นี่ต่อไป

สอง-เธออาจเป็น "ม่าย" ก็จริงอยู่ แต่กลับใช้ปมดังกล่าวนี้หล่อหลอมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างน่าทึ่ง ความเป็น "ม่าย" ที่บางครั้งในหลาย ๆ คนมักมีอารมณ์ไม่คงที่สำหรับเธอแล้วกลับดูราบเรียบ มีความนอบน้อมถ่อมตนที่ถูกสร้างขึ้นมาทีละนิด ๆ ให้กลายเป็นอาวุธที่เชือดใจลูกค้าและคู่แข่งขันให้สงบราบคาบได้อย่างไม่มีที่ติ

"ตัวแสบ" หลายคนในวงการที่ดินนึกอยากจะเรียกเธออย่างนี้ ค่าที่ด้วยได้เปรียบในเรื่องการเงินจึงทำให้หลายคนยื่นเสนอขายที่ดินให้มากมาย ซึ่งตรงนี้เลยกลายเป็นชนวนที่บอกต่อกันเป็นทอด ๆ ว่าหากคิดจะปั่นราคาที่ดินให้สูงขึ้น

คุณก็ต้องบอกว่าที่ดินนี้ชนัตถ์กำลังต้องการ!!

และถ้าคุณอยากจะได้มันนักก็ต้องให้ราคาที่สูงกว่าเธอให้!!

หรือว่านี่ชนัตถ์กำลังจะเป็น "เจ้าแม่ที่ดิน" ไปแล้วอีกคน!?

ในห้องทำงานชั้นที่ 6 ของโรงแรมดุสิตธานี หากทอดสายตาลงมารอบ ๆ ข้างจะพบโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานต่าง ๆ มากมาย หรือไม่ก็เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย และถ้ามีโอกาสขับรถปิคอัพอีซูซุคู่ชีพตระเวนไปรอบ ๆ เมืองก็ได้เห็นหมู่บ้านจัดสรรดารดาษขึ้นมาราวดอกเห็ด ความคิดหนึ่งที่วูบขึ้นมาในสมองของ "ตัวแสบ" ที่ตัวเองไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ก็คือว่า

"เราเคยฝันที่จะเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วก็เป็นได้แล้ว และถ้าวันหนึ่งเราคิดว่าจะเป็นเจ้าของโครงการที่พักอาศัยหรู ๆ สักแห่งหนึ่งก็น่าจะเป็นไปได้"

เส้นทางที่เธอก้าวมาไกลอักโข คงให้คำตอบได้บ้างกระมังว่า ความที่นึกอยากจะเป็นนักพัฒนาที่ดิน (DEVELOPER) ของเธอนั้น มันมิได้เป็นเรื่องแปลกเกินกว่าที่จะทำให้เป็นจริงไม่ใช่หรือ?

ชนัตถ์ ปิยะอุย…ดูเหมือนว่าเธอเดินทางไม่ห่างเหินไปจากุดเริ่มต้น!?

จุดเริ่มต้นที่มีความทะเยอทะยานเป็น "คำถาม" และ "คุณสมบัติอันล้ำเลิศ"!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us