สริยา สิวายุ-ประภา วิริยะประไพกิจ-ชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้หญิง 3 คนนี้ ต่างวัยต่างปูมหลังและต่างวิถีทางของชีวิต
แต่ทั้งสามมีอย่างน้อย 2 สิ่งที่เหมือนกันราวฟ้ากำหนด อย่างหนึ่งคือเป็น
"ม่าย" ส่วนอย่างที่สอง แต่ละคนเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจระดับพันล้าน
บทสรุปก่อนปิดฝาโลงของ 'หญิงเหล็ก' ชนัตถ์ ปิยะอุย
"ทุกคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น"
หยก แซ่หวัง…วินาทีนั้นหล่อนบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าก้าวออกจากธนาคารแห่งนั้นด้วยความรู้สึกเช่นไร
สมเพชให้กับความว่างเปล่าที่ได้สัมผัส ยิ้มหยันกับความเชื่อมั่นที่ว่าโครงการใหญ่ซึ่งจะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศของหล่อนนั้นควรได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี
แต่แล้วมันก็เป็นเพียงความฝันที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บช้ำน้ำใจ!!!
"โครงการของคุณไม่เลวเลย แต่จะให้แบงก์ปล่อยกู้เป็นร้อยล้านได้อย่างไร
ในเมื่อที่ดินสร้างโรงแรมเป็นที่ดินที่เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินที่เอาไปจำนองไม่ได้
อีกอย่างหลักทรัพย์ส่วนตัวของคุณเองก็ไม่พอที่จะค้ำประกัน" คำตอบของนายแบงก์คนนั้นยังดังก้องในโสตประสาทของหล่อน
ว่าไปแล้วไม่ใช่แค่แบงก์ใหญ่แห่งนี้ที่ปฏิเสธ อีก 2-3 แบงก์ไม่ว่าจะเป็นแบงก์กรุงเทพ
ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ต่างมีคำตอบแก่หล่อนในลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น
หรือแม้แต่บริษัทขายเสาเข็มเช่น "ซีแพค" ที่อยู่ในเครือปูนซิเมนต์ไทยก็ยังไม่ยอมขายของเงินผ่อนมูลค่าเพียง
20 ล้านบาทให้เลย ทั้งที่ทำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว
หน่อนนึกน้อยใจ…แต่ก็ไม่มีสิทธิโต้เถียงเพราะ "ความจริง" ที่เขายกขึ้นมาอ้างเป็นเช่นนั้นจริง
ๆ หล่อนเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง กับอพาร์ทเมนท์ที่ไม่ใหญ่นักอีก
2 แห่ง แล้วคิดการใหญ่จะสร้างโรงแรมระดับห้าดาวมูลค่า 300-400 ล้านบาท
ใครเล่าเขาจะยอม!?
ชนัตถ์ ปิยะอุย…วินาทีนี้ของ "เจ้าแม่โรงแรม" เมืองไทย เธอช่างมีความสุขอยู่กับการพินิจพิจารณาที่ดินในย่านต่าง
ๆ เพื่อดูความเหมาะสมเป็นไปได้ของการขยายโครงการและดูเหมือนเธอจะเชื่อมั่นมากว่า
โครงการไหนที่ได้ลงมือจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน
ปีนี้เธอมีอายุ 65 ปีแล้ว ทว่ายังพอใจที่จะขี่หลังเสือต่อไป ลำพังเพียงแค่การเป็นเจ้าของโรงแรม
4 แห่งใน 4 จังหวัดคือดุสิตธานี กรุงเทพฯ ดุสิตอินน์ เชียงใหม่ ดุสิตรีสอร์ท
พัทยา และดุสิตลากูน่า ภูเก็ต นั้นยังน้อยไปที่จะทำให้สมญานามนั้นดูขลังมากยิ่งขึ้น
เงินพูดได้ทุกเรื่อง ยิ่งกับเธอด้วยแล้วเงินนั้นต้องไม่สูญเปล่า หลังคิดทบทวนอยู่นานครันก็ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว่าภายในปีนี้จะขอลงทุนสร้างโรงแรม-คอนโดมิเนียมอีกสัก
2 แห่งคือที่ระยองและชะอำ "มันน่าจะวิ่งฉิวไปด้วยดีเช่นทุกโครงการ"
เธอหวังไว้อย่างนั้น
เป็นโครงการของชนัตถ์แล้วแบงก์ไหนปฏิเสธไม่ช่วยเหลือก็บ้าเต็มทน???
กาลเวลาคงเป็นช่องว่างและผ่านไปโดยเปล่าดาย หากไม่ได้บรรจุเอากิจกรรมของคนเราไว้ในตัวของมัน
หรืออาจกล่าวได้ว่าคนเป็นผู้ทำให้กาลเวลามีคุค่าและความหมายด้วยกิจกรรมอันดีเด่นของคน
ๆ นั้น คนเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
หยก แซ่หวัง…20 ปีที่ผ่านมาหล่อนยิ้มได้แล้ว!
ชนัตถ์ ปิยะอุย…กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอหวังว่าคงยิ้มได้ตลอดไป!!
แล้วผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมของไทยสองคนนี้ก็คือคน
ๆ เดียวกัน คนที่ยอมรับกับตัวเองว่า "ฉันเป็นคนขี้เหนียวมากคนหนึ่ง"
"การเมืองเท่านั้นที่บันดาลทุกสรรพสิ่ง
หยก แซ่หวัง…หล่อนกลายเป็นเจ้าของโรงแรมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483 ด้วยเหตุผลง่าย
ๆ ที่ว่า พ่อแม่มีทุนรอนพอให้หยิบยืม กอปรกับความเป็นนักเรียนนอก หล่อนจึงมีเหตุผลที่จะทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า
ธุรกิจโรงแรมควรมีอนาคตที่ไม่ริบหรี่ในเมืองไทย
โรงแรมปรินซเซส (PRINCESS) ของหล่อนที่ตั้งตรงบริเวณปาตรอกโรงแรมโอเรียนเต็ล
นัยว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดไม่น้อย เพราะ-ไม่ต้องบากหน้าไปกู้แบงก์ให้เป็นภาระวุ่นวาย
สอง-ที่ดินสร้างโรงแรมก็เป็นที่ดินในครอบครัวของพี่สาวคนหนึ่ง
สุนีย์รัตน์ เตลาน พี่สาวหล่อนคนนั้นได้ชื่อว่า เป็นเจ้าที่ดินและเศรษฐินีผู้มั่งคั่ง
เคยเป็นเจ้าของโรงแรมรามาทาวเวอร์ บันทึกประวัติศาสตร์จากคนใกล้ชิดระบุว่า
"เธอร่ำรวยเพราะผลพลอยได้จากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา"
ความสนิทสนมขั้นไหนนั้นไม่อาจล่วงรู้ ทราบกันแต่เพียงว่าเขาทิ้งสมบัติเป็นเงินทองไว้กับเธอหลายกระสอบเลยทีเดียว???
"ไม่จริงเลย! พี่สุนียรัตน์ขยันทำการค้าต่างหาก" หยกปฏิเสธแทนพี่สาว
โรงแรมปรินซเซสเป็นโรงแรมเล็กและใหม่ก็จริงอยู่ ทว่าด้วยความทุ่มเทของหยกที่ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การเป็นพนักงานต้อนรับ
จนบางคนเรียกหล่อนว่า "ผู้จัดการสันดานเสมียน" รวมถึงความขยันขันแข็งของทีมงานทุกคน
ทำให้ปรินซเซสพุ่งแรงขยายตัวอย่างฉับพลัน
จาก 60 ห้องในระยะเริ่มแรกกลายเป็น 93 ห้องภายในเวลาไม่นานนัก!!
"คุณเคยเห็นเจ้านายคนไหนบ้างที่ยอมยกมือไหว้ลูกน้องก่อน ทำอย่างนี้ได้กับแขกด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
หล่อนหวานและเข้มแข็งในตัว แค่พนักงานสายการบินต่าง ๆ ที่ดึงมาเป็นแขกประจำก็พอเพียงที่จะทำให้โรงแรมนี้อยู่รอดอย่างสบาย
ๆ" คนเก่าแก่คนหนึ่งย้อนความหลังให้ฟัง
ปรินซเซสกลายเป็นฐานรากของหล่อน ผลกำไรปีหนึ่ง ๆ หลายสิบล้านบาท ไม่เพียงจะทำให้หล่อนมีชื่อในฐานะคนที่นิยมเครื่องเพชรอย่างไม่มีเสียดายคนหนึ่งแล้วนั้น
ช่วยต่อดอกให้หล่อนกลายเป็นเจ้าของอพาร์ทเมนท์ที่ทันสมัยอีก 2 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกันคือ
ชนินทรคอร์ท ซอยต้นสน หลังตึกดีทแฮล์มและจันทร์เฮ้าส์ สุขุมวิท ซอย 1
โชคเป็นของหล่อน…เพราะราวปี พ.ศ. 2500 ทหารอเมริกันจำนวนมากได้ย้ายฐานปฏิบัติการมาอยู่ในเมืองไทยตามนโยบายยอมตนเป็นขี้ข้าของรัฐบาลยุคนั้น
อพาร์ทเมนท์ 2 แห่งของหล่อนเลยสบช่องทำมาหากินกับ จี.ไอ. เหล่านั้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ
หยก แซ่หวัง…หล่อนกลายเป็นผู้หญิงดังของสังคมไปเสียแล้ว!!
มีการค้ามากมายท้าทายให้หล่อนพิสูจน์ความสามารถ!
…………..
ถ้าความเหงาจะเป็นจุดเปราะบางอย่างหนึ่งของผู้หญิง เห็นทีขอยกเว้นกับหล่อน
ภายหลังที่พบบทสรุปว่าชีวิตคู่ที่มีความกินแหนงแคลงใจเป็นที่ตั้ง มีเสียงทะเลาะเบาะแว้งให้ลูก
ๆ ต้องทนฟังทุกวันนั้น หากยังดื้อดึงอยู่ร่วมกันต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
จุดเริ่มต้นการเป็น "ม่าย" โดยสมัครใจมิได้ทำให้หล่อนเหงาและท้อถอยต่อภาวะการงานใด
ๆ ในเมื่อหล่อนรู้ดีว่าเหตุผลหนึ่งของการหย่าร้างนั้นสืบเนื่องมาจากการที่หล่อนมุงานอย่างหนักจนละเลยหน้าที่เมียที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเป็นเช่นนี้หล่อนที่เพลินกับการเก็บเกี่ยวประโยชน์การค้าจึงแอบหวังตั้งใจว่า
เพื่อเอาชนะความเหงาจะต้องสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้- (อ่านชีวทัศน์ด้านปิดของชนัตถ์ในล้อมกรอบเพิ่มเติม)
ปี พ.ศ. 2506 หลังหยกเป็นม่ายไม่นาน เมืองไทยที่ขณะนั้นหาอาคารสูงระฟ้า
0 ชั้น 20 ชั้น พอที่จะโชว์แขกบ้านแขกเมืองไม่ได้ แม้แต่โรงแรมชั้นหนึ่งอย่างสยามคอนติเนนตัลก็สูงไม่กี่ชั้น
ปมด้อยนี้ซึ่งเมื่อผนวกกับการที่อุตสาหกรมท่องเที่ยวเริ่มขยายตัวอย่างกร้าวร้าว
เลยทำให้นักเรียนนอกอย่างหยกหรือที่เริ่มรู้จักในวงสังคมว่า "ชนัตถ์
ปิยะอุย" พลันเกิดแรงบันดาลใจว่า ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงที่จะเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรมท่องเที่ยว
"ความคิดนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ก็ครั้งที่ได้ไปดูงานร่วมกับศูนย์การเพิ่มผลผลิต
แล้วมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงแรมโนมูระซึ่งใหญ่มาก ได้รับการเอาใจอย่างดีจาก
มร. โนดะผู้จัดการโรงแรมที่พาไปพบกับสถาปนิกมีชื่อคนหนึ่งของบริษัทคังโกะเขาบอกว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือเราทุกอย่าง"
ชนัตถ์บอกให้ฟัง
เหตุผลนี้ก็หนักแน่นไม่น้อย แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
ตระกูลปิยะอุย-มีความสนิทสนมกับสายทหารมาแต่ไหนแต่ไร ตัวหยกเองครั้งหนึ่งเคยมีนายทหารยศ
พล.ท. คนหนึ่งมาเลียบเคียงขอเป็นหุ้นส่วนชีวิต พี่สาวคนโตที่ชื่อสุภา ก็เป็นภรรยาของ
พล.ท. ชอุ่ม ยุทธนานาส และยัง พ.ท. วรพงษ์ ปิยะอุย น้องคนที่ 4 ที่เป็น ทส.
คนสนิทของจอมพลผ้าขะม้าแดง
สายสัมพันธ์นี้มีผลประโยชน์สูงต่อธุรกิจของพี่สาวในเวลาถัดมา
พ.ท. วรพงษ์ภายหลังอสัญกรมของจอมพลผ้าขะม้าแดงก็ลาออกจากราชการทหาร หันกลับมาทำการค้าส่วนตัวด้วยการตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
"พ. ปิยะ" จากนั้นจึงขยายการลงทุนไปสร้างโรงงานรีดอะลูมิเนียมที่บางปู
(อัลแคนไทย) โดยมีสมพจน์ ปิยะอุย น้องชายคนสุดท้องมาช่วยอีกแรง ซึ่งอุตสาหกรรมรีดอะลูมิเนียมนั้นมีความจำเป็นอย่างมากต่องานก่อสร้าง
ไม่ว่าจะเป็นหยกหรือชนัตถ์ เธอยังคงไว้ซึ่งความเป็นนักลงทุนที่เฉียบฉลาด
ไหน ๆ น้องชายก็ทำอุตสาหกรรมนั้นแล้ว ตัวเองก็พอมีเงินอยู่บ้าง ชื่อเสียงในวงสังคมไม่ยากนักต่อการระดมทุนเลยทำให้เธอกล้าที่จะตัดสินใจร่างโครงการโรงแรมระดับ
400 ล้านบาทขึ้นทันที
ดุสิตธานีกำเนิดขึ้นตรงจุดนี้!!
คนเราดวงมันจะขึ้นเอาอะไรมาฉุดก็รั้งไว้ไม่อยู่!!??
โชคดีตามมารับใช้เธออีกหน หลังร่างแผนงานก็ตระเวนหาทำเลเพื่อสร้างโรงแรมนั้นจนมาสะดุดเอากับที่ดินบริเวณหัวถนนสีม
ศาลาแดง ซึ่งที่ดินนี้เป็นของสมาคมแพทย์ สมาคมทันตแพทย์และสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษมีเนื้อที่ประมาณ
10 ไร่ อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สิน
หลายคนหวังที่จะได้ที่ดินบริเวณนี้ใจแทบขาด แต่ยังไม่มีใครประสบผลสำเร็จดั่งใจนึก
ทว่ากลับเป็นเรื่องแปลกเอามาก ๆ ที่ชนัตถ์สามารถติดต่อขอเช่าที่ดินบริเวณนี้จากสำนักงานทรัพย์สินฯ
มาได้ในราคาแสนถูกเพียง 10 ล้านบาท/ระยะเวลา 30 ปี และยังมีผลที่จะตีขนดขอซื้อที่ดินในบริเวณใกล้เคียงมาได้อีกซึ่งภายหลังใช้เป็นที่สร้างอาคารสำนักงานชาร์เตอร์ดแบงก์
การค้าเที่ยวนี้พิสดารสับซับซ้อนเพียงใดนั้นเธอย่อมรู้ดี และการได้รับความช่วยเหลือในครั้งนั้นคงถูกต้องแล้วที่เธอจะมอบหุ้นจำนวนหนึ่งให้สำนักงานทรัพย์สินฯ
จนปัจจุบันหุ้นส่วนนั้นกลายเป็นร้อยละ 16.8 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ผู้หญิงม่ายคนนี้เก่งพอตัว เพาะการที่ได้สำนักงานทรัพย์สินฯ มาร่วมถือหุ้นด้วยนั้นทำให้ภาพพจน์ในสายตาคนทั่ว
ๆ ไปค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับ และเชื่อมั่นได้เลยว่าจะไม่เกิดกรณีเบี้ยวสัญญาเป็นอันขาดหากธุรกิจนี้ไปด้วยดี
"คนขายตัว เงินทองของบาดใจ"
บางสิ่งที่เร้นลับอาจเป็นเรื่องง่ายของชนัตถ์ ทว่าเมื่อถึงคราวพูดกันถึงเรื่องเงินลงทุนนั่นแหละชนัตถ์ถึงได้รู้ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอจักต้องจดจำไปจนวันตาย…
แรกทีเดียวโรงแรมดุสิตธานีกำหนดแผนงานในรูปแบบ TURN KEY PROJECT โดยห้บริษัทคังโกะของญี่ปุ่นที่เป็นสถาปนิกรับเป็นผู้ดำเนินการในทุกเรื่องรวมถึงเรื่องเงินกู้
แต่เมื่อแบบเสร็จกลับเห็นว่า คงเป็นการสิ้นเปลืองเกินจำเป็นเพาะรูปแบบนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่าที่เอาไว้หลายล้าน
ดุสิตธานีประมาณการว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 360 ล้านบาท
เมื่อแบบแผนนั้นล้มพับ เลยเปลี่ยนมาใช้รูปแบบใหม่ที่เปิดประมูลให้บริษัต่าง
ๆ แยกกันทำคนละส่วน อาทิงานพื้นฐานก็มอบให้บริษัทซีแพค ของปูนซิเมนต์ไทยรับไปทำ
ซึ่งรูปแบบนี้ประสบความยุ่งยากตรงที่การติดต่อขอเงินกู้จะต้องดำเนินการด้วยตนเอง
เคราะห์ของดุสิตธานียังดีอยู่ที่ว่า EXIM BANK ในต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น
เยอรมัน ล้วนเห็นชอบด้วยกับโครงการนี้ยินยอมที่จะให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ
7 และระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยที่ค่อนข้างยาวนาน เฉพาะญี่ปุ่นชนัตถ์วิ่งเต้นขอกู้เงินได้ถึง
200 ล้านบาท
อะไรมันน่าจะดีไปหมด เรื่องมาสะดุดเอาตรงที่ว่า บรรดาแบงก์ต่างประเทศเหล่านั้นต้องการให้ดุสิตธานีหาธนาคารในประเทศที่พอไว้ใจได้อย่างแบงก์กรุงเทพ
กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ หรือกรุงไทย มาเป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยง
ตรงนี้ล่ะที่สอนให้ชนัตถ์เข้าใจถึงเจตนารมณ์แท้จริงของแบงก์ เพราะจากการที่เธอหอบเอาแบจำลองของโรงแรมไปให้ดูเพื่อขอการสนับสนุนต่างได้รับคำตอบปฏิเสธเกือบทั้งหมด
ดีอยู่หน่อยตรงที่ยังไปถึงกับถีบไสไล่ส่ง แต่เพียงแค่นี้ก็พอจะทำให้ความหวังนั้นดับมอดอยากโยนโครงการทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด???
"มันบอกไม่ถูกนะว่าเรารู้สึกอย่างไร เจ็บใจตัวเองหรือว่าเคียดแค้นแบงก์
บางทีก็นึกปวดร้าวนะที่แบงก์บ้านเราเขาดูกันที่หลักทรัพย์มากกว่าที่จะดูตัวโครงการดูความเป็นไปได้ในอนาคต
ตอนที่เดินออกมามือเปล่าแล้วทอดน่องมาเรื่อย ๆ จากสะพานเหล็กจนถึงโรงแรมปรินซเซสไม่รู้มาได้ยังไงกัน"
แต่แล้วที่สุดเธอก็เป็นกรรมการแบงก์คนหนึ่งเข้าจนได้!!!
ดุสิตธานีไม่มีวันนี้ที่ยิ่งใหญ่ได้เลยถ้าจะไม่มีใจเอื้ออารีของคน ๆ หนึ่งที่เข้ามาช่วยเหลือ
คน ๆ นั้นที่คนตระกูลปิยะอุยต้องไม่ลืมเลยก็คือ "ไพศาล นันทาภิวัฒน์"
จากสภาพที่ไม่ผิดอะไรกับศพที่ถูกมัดตราสังเรียบร้อยรอปิดฝาโลงก่อนนำไปฝังไปเผาแล้วนั้น
ไพศาลเข้ามาชุบชีวิตใหม่ให้โดยแท้
ไพศาลขณะนั้นเป็นนายแบงก์ของแบงก์แหลมทองที่ไม่ใหญ่นัก ทว่าเมื่อเห็นโครงการดุสิตธานีแล้วคิดว่า
"มันมีทางเป็นไปได้" ก็เลยยื่นมือที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้
แต่แบงก์แหลมทองของเขาก็ยังไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้สมบูรณ์แบบ เนื่องจากทุนจดทะเบียนของแบงก์ก็มีแค่สิบล้านบาท
ขณะที่ลูกหนี้อย่างดุสิตธานีมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 40 ล้านบาท
ตลกสิ้นดีมันจะไปค้ำประกันให้กันได้อย่างไร???
แต่ดุสิตธานีก็รอดตายได้หวุดหวิดเมื่อไพศาลใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเจรจาขอร้องกับจำรัส
จตุรภัทร กรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทยให้เป็นคนช่วยเหลือค้ำประกันโครงการนี้อีกทางหนึ่ง
โดยที่แบงก์แหลมทองจะเป็นคนค้ำประกันหนี้จำนวนนั้นกับแบงก์กรุงไทยเอง จำรัสโอ.เค.
ในทันที
ดุสิตธานีเริ่มตอกเสาเข็มเสาแรกด้วยความมั่นใจ!!!
…………
คนอย่างชนัตถ์ไม่เคยเดินเดี่ยวโดยไม่มั่นใจ ศาสตร์หนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเร่งระดมทุนและประกันความเสี่ยงของดุสิตธานีในระยะเริ่มแรกก็คือ
การออกหุ้นกู้ราคาหุ้นละ 100 บาทขายไปในหมู่เพื่อนฝูงและบุคคลอื่นที่สนใจ
วิธีการนี้ไม่เพียงเป็นแนวทางสร้างภาพพจน์ความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนว่า
โรงแรมดุสิตธานีจะดำเนินงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อผลกำไรของผู้ถือหุ้นทั้งหลายเป็นที่ตั้งแล้วนั้น
ยังมีผลดีช่วยให้โครงการนี้ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจากแบงก์โดยไม่จำเป็น
แบแผนนี้คงยึดมั่นเป็นวัตรปฏิบัติถึงปัจจุบัน ซึ่งแต่ละปีสามารถปันผลกำไร/หุ้นได้ไม่เลวนักเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับ
20 บาท โดยเฉพาะปีที่แล้วราคาซื้อขายหุ้นของดุสิตธานีพุ่งขึ้นสูงถึง400 กว่าบาทเรียกความกระสันต์อยากให้กับนักลงทุนทั้งหลายได้ไม่น้อย
ถ้ามองสถานะของโรงแรมดุสิตธานีซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมแห่งเดียวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
และเป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะมีความมั่นคงมากที่สุดนั้น ก็เป็นเรื่องปกติที่ราคาหุ้นจะเป็นที่สนใจของคนทั้งหลาย
ทว่ามองอย่างลุ่มลึกหุ้นตัวนี้ก็มีอัตราการเสี่ยงไม่เบาเช่นกัน
เนื่องจากหุ้นจำนวน 3.6 ล้านหุ้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกำมือของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
7-8 รายเท่านั้น ปริมาณหุ้นที่เวียนซื้อขายในตลาดมีแค่ 6 แสนกว่าหุ้น ที่สำคัญคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับตระกูล
"ปิยะอุย" ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นโอกาสที่หุ้นส่วนนี้จะถูกเทออกมาขายจึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ภาวะที่เป็นอยู่อย่างนี้บางทีในส่วนของคนเล่นหุ้นย่อมอาจเป็น "อันตราย"!!!
ชนัตถ์ ปิยะอุย…บางครั้งก็เป็นนักพนันที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง คนที่เป็นนักพนันเท่านั้นที่ย่อมกล้าได้กล้าเสียอย่างไม่พรั่นพรึง
คุณสมบัติประการนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในตัวของคนที่เป็น "ม่าย"
"ดีไหมถ้าต้องขายตัวเสียก่อน" เธอครุ่นคิดลำพังหลังจากงานก่อสร้างดุสิตธานีผ่านไปได้แล้ว
6-7 ชั้น ความคิดนี้เป็นที่ถูกเสียดสีจากหลาย ๆ คนที่รู้ความตั้งใจของเธอว่า
ต้องการที่จะขายดุสิตธานีให้เป็นที่รู้จักในตลาดทั้ง ๆ ที่ตัวอาคารยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์
มันเสี่ยงเกินไป…เพาะเป็นสินค้าประเภทหนึ่งคงไม่น่าหนักใจ แต่โรงแรมเป็นสินค้าบริการที่ควรให้มีความพรักพร้อมทุกด้านเสียก่อนจึงจะเผยตัว
ดังนั้นแนวคิดนั้นจึงเป็นดั่งดาบสองคม ขายดีก็ดีไปแต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็เท่ากับเชือดตัวเองอย่างเลือดเย็นที่สุดนั่นแหละ!!
ชนัตถ์กำลังเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ตเข้าเสียแล้ว???
"หัวใจ" การทำธุรกิจโรงแรมอาจอยู่ที่การเข้าถึงการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขายอย่างครบกระบวนยุทธ์
ทว่าการค้าเที่ยวนี้นี่ "ซีแอตเติล" ที่เธอตัดสินใจ อาจหวังได้เช่นนั้นจริง
ๆ หรือ?
การประชุม PATA ที่ซีแอตเติล (2510) ชนัตถ์หอบเอาแผ่นปลิวโฆษณาโรงแรมดุสิตธานี
ที่ทำตามแบบจำลองไปแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมประชุมพ้อมกับเสนอขายซึ่งสร้างความสนเท่ห์เป็นอย่างมาก
เพราะทุกคนรู้ดีว่า โรงแรมที่จะใหญ่ที่สุดของเมืองไทยแห่งนี้ยังทำได้ไม่ถึง
50% เอาเสียเลย
โชคดีมีอยู่คนหนึ่งที่เข้าใจในเจตนรมณ์นี้แจ่มชัดว่าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
"มร. คาร์ลสัน" ประธานกรรมการโรงแรม WESTERN โรงแรมที่มีสาขาทั่วโลกมากมายคือคน
ๆ นั้น มร. คาร์ลสันรับปากว่าเขาสนใจที่จะมาเที่ยวเมืองไทยและปรารถนาที่จะให้ดุสิตธานีเป็น
CHAIN หนึ่งของ WESTERN
ที่สุดการตกลงครั้งสุดท้ายก็เป็นจริงนับเป็นการ JOINT VENTURE ครั้งแรกของอุตสาหกรรมโรงแรมในเมืองไทย!!
WESTERN ใช่ว่าจะเข้ามาจัดการการตลาดและวางระบบงานให้กับดุสิตธานีเท่านั้น
ยังสนใจซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งอีกด้วย เนื่องจากดูแล้วเห็นว่าพร้อพเพอตี้ของโรงแรมนี้คงหาไม่ได้อีกแล้วในเมืองไทย
แต่การร่วมงานก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพาะชนัตถ์เชื่อในความสามารถของตนเอง และจิตสำนึกลึก
ๆ ที่บอกว่าแท้ที่จริงดุสิตธานีก็คืออนุสรณ์ของ "ปิยะอุย" นั่นเอง
แม้แต่เรื่องชื่อยังเป็นที่ถกเถียงเพราะ WESTERN ไม่ต้องการใช้คำว่า "ดุสิตธานี"
ที่เวลาออกสำเนียงฝรั่งแล้วฟังดูไม่ค่อยรู้เรื่อง อยากให้เป็น WESTERN เฉย
ๆ "เรายอมรับความสามารถของคุณ แต่โรงแรมนี้เป็นชองคนไทย ชื่อดุสิตธานีก็มีความเป็นไทยในตัว
เราแยกกันเสียเถอะถ้าคิดจะตัดชื่อนี้ออกไป" นั่นเป็นคำขาดที่ชนัตถ์ยื่นให้กับ
WESTERN ในห้วงแรกของการร่วมหอลงโลง
การเริ่มต้นดึงเอา WESTERN เข้ามาร่วมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหากมองถึงอนาคตเบื้องหน้าที่ธุรกิจนี้จะต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการค้าครั้งนี้ถ้า "แตะ" กันอย่างไม่เกรงใจกันแล้ว
อนาคตดูเหมือนจะเลวร้ายสิ้นดี!?
เมฆดำก่อตัวเป็นทิวก่อนเป็นพยับฝนฉันใด เค้าแห่งความยุ่งยากของดุสิตธานีกับ
WESTERN จากความรู้สึกกินใจครั้งนั้นก็น่าจะเป็นฉันนั้นเช่นกัน
"ทำไมคุณต้องเถียงด้วยนะ ฉันเป็นคนท้องถิ่นย่อมเข้าใจอะไรได้ดี"
แม้แต่เรื่องการจัดซื้ออาหารก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้หยุดหย่อน???
การเข้ามาของ WESTERN ถ้ามองผิวเผินอาจรู้สึกว่า ชนัตถ์และผู้ถือหุ้นคนไทยคนอื่น
ๆ ยอมมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้กลุ่มนี้จัดการ แต่จริง ๆ แล้วคงไม่เป็นเช่นนั้นแน่
เพราะชนัตถ์ที่รู้สึกมาตลอดเวลาว่าโรงแรมดุสิตธานีคืออนุสาวรีย์ความสำเร็จของตนนั้นควรที่ตนจะมีส่วนยุ่งเกี่ยว
"ถ้าไม่มีความสำเร็จของโรงแรมปรินซเซสมารองรับ บางทีชนัตถ์อาจปล่อยให้เวสเทิร์นทำแต่เพียงผู้เดียวก็เป็นได้
แต่ทีนี้ชนัตถ์เองก็คิดว่าตัวก็มีความสามารถเหมือนกัน เรื่องที่จะยอมกันง่าย
ๆ เลยดูเป็นเรื่องยากไปเสีย" คนรุ่นเก่าคนหนึ่งสมทบให้ฟัง
ความที่ไม่สามารถประสานแนวทางความคิดและการทำงาน ให้ประสานกันได้อย่างสนิทแนบรวมไปถึงความแตกต่างกันในทางวัฒนธรรมการทำงานต่าง
ๆ จึงเป็นต้นตอของปัญหาอีกร้อยแปดจนถึงเรื่องที่รุนแรงที่สุดเมื่อฝ่ายชนัตถ์ไปขอเงินกำไรส่วนหนึ่งเพื่อใช้หนี้เงินกู้
แต่กลับได้รับคำตอบว่า "ยูจะเอาไปทำอะไร ไอต้องการเงินขยายงานส่วนอื่นออกไปอีก"
"บ้าที่สุด เอาแต่ใจไม่ยอมรับผิดชอบด้วยกันเลย" ชนัตถ์สบถขึ้นอย่างเหลืออด
ยิ่งเห็นทาง WESTERN เล่นองค์ยั่วยุยิ่งทำให้ชนัตถ์อยากเอาชนะให้จงได้ กระทั่งก็สุดทน
ต้องเจรจาขอซื้อหุ้นที่เคยขายไปให้กับทาง WESTERN กลับคืนเพื่อหวังให้เป็นแรงบีบให้กลุ่มนี้ถอนตัวออกไป
เพราะในสัญญาระบุว่า WESTERN จะพ้นหน้าที่ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ซื้อมาไม่มีอีกแล้ว
แล้วชนัตถ์ก็ประสบผลสำเร็จ…การจากไปของ WESTERN เท่ากับเบิกทางให้รูปโฉมการบริหารงานของดุสิตธานีไปอยู่ในเงื้อมเงาของคนในตระกูลปิยะอุยอย่างเต็มรูปแบบ
ชนัตถ์มั่นใจมากว่างานนี้เธอทำได้แน่นอน
ระบบการบริหารที่เป็นไทยโดด ๆ มีเธอเป็นศูนย์กลางของอำนาจเบ็ดเสร็จ!!!
"ก้าวต่อไป"
ถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อดุสิตธานีจะจืดจางลงไป แต่ WESTERN ยังคงยอมรับในความเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่มีความเพียบพร้อมทุก
ๆ ด้านเหนือโรงแรมคู่แข่งแห่งอื่นจึงป้อนลูกค้าให้ตามปกติ สถานการณ์ทั่วไปจึงดูไม่เลวร้ายมากไปนัก
กอปรกับการโหมทุ่มเทสติปัญญาอย่างแข็งขันของชนัตถ์ผสมผสานไปกับการที่มีสำนักงานทรัพย์สินฯ
เป็นผนังทองแดงดึงเอาแบงก์ไทยพาณิชย์มาช่วยจุนเจืออีกทางหนึ่ง
เพียงขึ้นปีที่ 4 24 เมษายน ดุสิตธานีก็สามารถ BREAK EVEN POINT ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ!?
"แรก ๆ ที่เห็นหนี้ยังนอนตาลอยนึกไม่ออกว่าจะหาทางเอามาใช้เขาได้อย่างไร
แต่เมื่อทำได้กลับถูกฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า เรานี่เป็นนักธุรกิจที่ใช้ไม่ได้เลยเพราะนักธุรกิจที่ดีต้องรู้จักการมีหนี้มาก
ๆ" เธอคุยด้วยอารมณ์อันเบิกบาน
การที่ดุสิตธานีสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากจะเสริมสร้างศักยภาพทางการเงินให้แบงก์ยอมรับมากขึ้นแล้ว
ยังส่งผลถึงการขยายตัวอย่างก้าวร้าวในระยะหลังของกลุ่มนี้ด้วยว่า เงินที่ถูกขนมาใช้ล้วนเป็น
"เงินเย็น" ที่ตกดอกกำไรมาจากตัวโรงแรมดุสิตธานี
เงินเย็นช่วยทำให้ชนัตถ์และดุสิตธานีถือไพ่ที่เหนือกว่าคู่แข่งขันในตลาด
และมันก็ง่ายมากที่ดุสิตธานี จะเลือกเล่นเกมในหนทางที่เป็นประโยชน์แก่ตนมากที่สุด
สมแล้วกับคำกล่าวขานที่คนในวงการบางคนบอกว่า "ชนัตถ์กลายเป็นนักฆ่าเลือดเย็นโดยไม่เจตนา"
"ดิฉันคิดว่าเราทำธุรกิจแบที่ไม่เคยบีบใคร สมัยที่ตัวเองเป็นนายกสมาคมโรงแรม
การยื่นข้อเรียกร้องอะไรกับรัฐบาลก็ทำไปเพื่อส่วนรวมทั้งสิ้น แต่คนอื่นเห็นว่าเราใหญ่เกินไปภาพที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า
นี่ต้องเพื่อดุสิตฯ อย่างนี้แน่ ๆ" ชนัตถ์ทอดถอนใจถึงความรู้สึกที่เธอเองไม่ค่อยชอบนัก
ปรากฏการณ์ที่สะท้อนความได้เปรียบของดุสิตธานี ที่นึกจะเล่นเกมอะไรก็ได้โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อนมากนักที่เห็นได้ชัด
ๆ ก็คงเป็นครั้งแรกที่ภาวการณ์ของโรงแรมในเมืองไทยทรุดหนักในช่วงปี 2526
สภาพการณ์ขณะนั้นขวัญของโรงแรมแทบจะไม่มีเหลือหลอ ห้องพักว่างเปล่าเดือนแล้วเดือนเล่า
การแก้ไขปัญหาครั้งนั้นโรงแรมหลายแห่งยอมที่จะเลือกเอาการเจ็บตัวเป็นการยืดอายุด้วยการหั่นราคาห้องพักลงมาอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหลอนให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทั้งที่เนื้อแท้เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น
ดุสิตธานีในปีนั้นเจ็บตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่สาหัสสากรรจ์อะไรมากนัก เนื่องจากสายป่านที่ค่อนข้างยาวทำให้ดุสิตธานีกล้าหาญที่จะทุบห้องพัก
500 กว่าห้องให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วนำภาพนี้ไปเป็น SELLING POINT ว่า
ดุสิตธานีเป็นโรงแรมเดียวที่มีห้องพักใหญ่ที่สุดแต่ขายในราคาถูกที่สุด เพราะห้องที่ทุบรวมคงยืนกรานขายในราคาเดิม
ง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ดุสิตธานีพอที่จะมีกำไรปันให้กับผู้ถือหุ้นได้ไม่ยากเย็น!!
……………
การขยายตัวไปยังหัวเมืองหลัก 3-4 แห่งของดุสิตธานีในระยะปีสองปีที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่าเกมนี้เป็นกฎตายตัวที่ระบุได้ว่า
"ดุสิตธานีเดินหมากที่เกื้อหนุนประโยชน์แก่ตนได้อย่างไม่น่าเกลียด"
เพราะถ้าวิเคราะห์โดยที่ไม่เข้าข้างเกินไปแล้ว จะเห็นว่าโรงแรมที่ชนัตถ์ไปรับซื้อมานั้นถึงจะเป็นโรงแรมของหลาน
ๆ (ดุสิตอินน์และดุสิตรีสอร์ท) ที่ชนัตถ์ซื้อมาในราคาเพียง 70 ล้าน และ 154
ล้านบาทนั้น ราคาซื้อขายจริง ๆ น่าที่จะสูงมากไปกว่านี้ "คนขายก็ต้องเอาแม้จะได้ราคาที่ไม่สูงนัก
เพราะการซื้อของชนัตถ์ส่วนมากใช้เงินสด ๆ เข้าว่า" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกเล่า
ด้วยความได้เปรียบดังกล่าวนี้เมื่อเทียบราคา/ห้องแล้วไม่กี่แสนบาท หากนำไปเปรียบเทียบกับโงแรมใหม่
ๆ ที่ราคา/ห้องสูงถึงล้านกว่าบาท ชั้นเชิงที่เป็นต่อกันอย่างนี้ทำให้ดุสิตธานีเลือกเล่นเกมในเรื่องราคาได้
เพราะเป็นอย่างนี้ชนัตถ์ถึงย่ามใจว่า "ไม่มีเสียล่ะที่จะทำไม่ได้"!!!
ไม่ว่าวันนี้ เวลานี้ดุสิตธานีจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศอย่าง WESTERN
ร่วมแรงแข็งขันอีกต่อไปแล้ว และก็น่าเชื่อได้ว่า ชนัตถ์เองคงสุขใจอย่างมากที่จะบริหารงานต่อไปในทุกโครงการด้วยตัวของตัวเอง
ดุสิตธานียุคปัจจุบันที่ขยายตัวอย่างห้าวฮึก ว่าไปแล้วภาพในอนาคตน่าที่จะสอดคล้องกับทฤษฎีกรบริหารงานบทหนึ่งที่ว่า
บรรดาผู้ประสบความสำเร็จที่เป็นคนรุ่นเก่านั้นส่วนมากจะมีอยู่แล้วในเรื่อง
หนึ่ง-SKILL สอง-EXPERIENCE แต่ที่ขาดไปอย่างหนึ่งและสำคัญมากก็คือ KNOWLEDGE
คนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างชนัตถ์ก็หลีกไม่พ้นกฎเกณฑ์นี้!?
ช่องโหว่ที่น่าปริวิตกกับสภาพการณ์ทางธุรกิจที่นับวันเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น
ปัจฉิมวัยของชนัตถ์ที่เดินทางมาถึงแล้วในวันนี้ ยังไม่รู้ว่าเธอจะสามารถปิดป้องได้ทันการณ์หรือไม่!?
"บทสรุปก่อนปิดฝาโลง"
ดุสิตธานีปัจจุบันเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 360 ล้านบาท เป็นโรงแรมที่ยืนหยัดต้านมรสุมที่รุมรุกโหมกระหน่ำมาได้ทุกยุคทุกสมัย…
ดุสิตธานีที่กำลังรุกคืบไปอย่างน่าเกรงกลัวในยุทธศาสตร์ "เมืองสู่ป่า"
ด้านหนึ่งอาจเป็นของจริงที่สร้างความหวั่นไหวให้กับคู่แข่งขันได้ไม่ยาก แต่อีกด้านหนึ่งโดยตัวของดุสิตธานีและชนัตถ์เองก็
"แฝง" ไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย
ลูกครึ่งแม่ครึ่งสมแล้วที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด!!
ฐานรากอันแข็งแกร่งที่ชนัตถ์สั่งสมมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี อาจช่วยผ่อนคลายความกดดันได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งถ้าไม่เหลือทนจริง ๆ แล้วชื่อ "ดุสิตธานี" คงไม่ถูกเบียดตกหล่นไปจากเวทีประวัติศาสตร์ได้ง่าย
ๆ
แต่นั่นคงเป็นเพียงความนึกคิด เสมือนที่หยกเคยใฝ่ฝันไว้ว่า วันหนึ่งตัวเองจะต้องเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่สักแห่งหนึ่งให้ได้
ทว่าข้อแปลกแยกของเรื่องราวในปัจจุบันเชื่อเหลือเกินว่าชนัตถ์คงไม่ลืมอมตะวลีที่ว่า
"เป็นแชมป์นั้นง่ายแต่ป้องกันแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า"
ปัญหาหนึ่งที่ดุสิตธานีไม่มีสิทธิ์ที่จะหลีกเลี่ยงก็คือ ช่องว่างของผู้สืบทอดภารกิจต่อจากชนัตถ์ที่ว่ากันตรง
ๆ ยังไล่หลังห่างกันมากทั้งในเรื่องบารมีและความสามารถ ชนัตถ์ใกล้ที่จะปิดบันทึกหน้าสุดท้ายเสียแล้ว
ขณะที่ลูก ๆ ซึ่งจะขึ้นมาทดแทน พวกเขาเพียงเริ่มต้นที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าที่หนึ่งในชีวิต
หน้าที่หนึ่งที่ถูกรุมล้อมด้วยปัญหาท้าทายหลายสิ่งหลายอย่าง และคู่แข่งขันมากรายที่กำลังสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาเทียบเคียง
และยังมีบางรายที่มีฐานสนับสนุนทางการเงินที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ดุสิตธานีในรุ่นที่ 2 จึงเดินเข้าสู่วิถีโค้งที่อันตรายเป็นพิเศษ!?
"ดิฉันนึกหวั่นเหมือนกันว่า ถึงใจหนึ่งจะยอมรับในความสามารถของลูก
ๆ โดยเฉพาะชนินทร แต่ด้านหนึ่งความทันสมัยของพวกเขาที่ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาก่อนกลัวว่าเขาจะเพลี่ยงพล้ำง่าย
ๆ แต่ยังไงดิฉันเชื่อว่าคงได้เห็นพวกเขาประสบผลสำเร็จก่อนที่ตัวเองจะจากไป"
ชนัตถ์สะท้อนความในใจออกมาให้รับรู้
เธอต้องขี่หลังเสืออยู่อีก ก็ด้วยเหตุผลนี้ และยังเป็นไปตามเดิมที่ว่าการตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือตัวเธอที่มีสิทธิเด็ดขาด
100%!!!
ในฐานะนักธุรกิจชั้นนำชนัตถ์มีแบบฉบับโดยเแพาะของตัวเองที่น่าเรียนรู้อยู่หลายเรื่องเช่น
หนึ่ง-เธอเป็นคนขี้เหนียวที่รอบคอบไม่ค่อยผลีผลามต่อการตัดสินใจถึงแม้ว่าดุสิตธานีจะยิ่งใหญ่มาหลายปีดีดักทว่ากลับเพิ่งมาขยายตัวในไม่กี่ปีมานี้เอง
และการลงทุนของเธอก็เป็นไปตามทำนองใช้น้ำเย็น ๆ ลูบหัวก่อนตามเฉพาะในสิ่งที่ต้องการ
อย่างเรื่องโครงสร้างเงินเดือนพนักงาน เป็นที่พูดกันมากว่า เปรียบเทียบกับทุกโรงแรมแล้วอัตราเฉลี่ยโดยส่วนใหญ่เงินเดือนของพนักงานดุสิตธานีค่อนข้างจะเสียเปรียบที่อื่น
ๆ อยู่ไม่น้อย ทว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันว่า พนักงานเหล่านั้นสุขใจที่จะทำงานกันที่นี่ต่อไป
สอง-เธออาจเป็น "ม่าย" ก็จริงอยู่ แต่กลับใช้ปมดังกล่าวนี้หล่อหลอมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างน่าทึ่ง
ความเป็น "ม่าย" ที่บางครั้งในหลาย ๆ คนมักมีอารมณ์ไม่คงที่สำหรับเธอแล้วกลับดูราบเรียบ
มีความนอบน้อมถ่อมตนที่ถูกสร้างขึ้นมาทีละนิด ๆ ให้กลายเป็นอาวุธที่เชือดใจลูกค้าและคู่แข่งขันให้สงบราบคาบได้อย่างไม่มีที่ติ
"ตัวแสบ" หลายคนในวงการที่ดินนึกอยากจะเรียกเธออย่างนี้ ค่าที่ด้วยได้เปรียบในเรื่องการเงินจึงทำให้หลายคนยื่นเสนอขายที่ดินให้มากมาย
ซึ่งตรงนี้เลยกลายเป็นชนวนที่บอกต่อกันเป็นทอด ๆ ว่าหากคิดจะปั่นราคาที่ดินให้สูงขึ้น
คุณก็ต้องบอกว่าที่ดินนี้ชนัตถ์กำลังต้องการ!!
และถ้าคุณอยากจะได้มันนักก็ต้องให้ราคาที่สูงกว่าเธอให้!!
หรือว่านี่ชนัตถ์กำลังจะเป็น "เจ้าแม่ที่ดิน" ไปแล้วอีกคน!?
ในห้องทำงานชั้นที่ 6 ของโรงแรมดุสิตธานี หากทอดสายตาลงมารอบ ๆ ข้างจะพบโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานต่าง
ๆ มากมาย หรือไม่ก็เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย และถ้ามีโอกาสขับรถปิคอัพอีซูซุคู่ชีพตระเวนไปรอบ
ๆ เมืองก็ได้เห็นหมู่บ้านจัดสรรดารดาษขึ้นมาราวดอกเห็ด ความคิดหนึ่งที่วูบขึ้นมาในสมองของ
"ตัวแสบ" ที่ตัวเองไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ก็คือว่า
"เราเคยฝันที่จะเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วก็เป็นได้แล้ว และถ้าวันหนึ่งเราคิดว่าจะเป็นเจ้าของโครงการที่พักอาศัยหรู
ๆ สักแห่งหนึ่งก็น่าจะเป็นไปได้"
เส้นทางที่เธอก้าวมาไกลอักโข คงให้คำตอบได้บ้างกระมังว่า ความที่นึกอยากจะเป็นนักพัฒนาที่ดิน
(DEVELOPER) ของเธอนั้น มันมิได้เป็นเรื่องแปลกเกินกว่าที่จะทำให้เป็นจริงไม่ใช่หรือ?
ชนัตถ์ ปิยะอุย…ดูเหมือนว่าเธอเดินทางไม่ห่างเหินไปจากุดเริ่มต้น!?
จุดเริ่มต้นที่มีความทะเยอทะยานเป็น "คำถาม" และ "คุณสมบัติอันล้ำเลิศ"!!!