วสันต์ โพธิพิมพานนท์เป็นเจ้าของรถเบนซ์แวนคันแรกที่นำไปตรวจสภาพ จดทะเบียนแล้วก็มีปัญหา…
วสันต์ก็เหมือนักธุรกิจทั่วไปที่ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเท่าใดนัก ถ้าไม่จำเป็นยิ่งยวดอย่างเบนซ์แวนแล้วนั้นเขาคงไม่จัดการด้วยตนเอง
วันหนึ่งวสันต์ไปติดต่อเรื่องจดทะเบียนเบนซ์แวนที่กองทะเบียน ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเขามักจะใช้ลูกน้องเสียมากกว่า
การปรากฏตัวของเขาครั้งนี้สร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ใคร ๆ ในกองทะเบียนไม่น้อยเลย
"เฮ้ย มึงจะเอาเงิน 4 ล้านมายัดใต้โต๊ะใช่ไหม" เพื่อนคนหนึ่งของวสันต์ที่เป็นนายตำรวจอยู่ที่นั่นยังไม่วายอดสงสัย
และเสียงกระซิบที่ไม่ค่อยเงียบเช่นนี้เลยถูกส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักความฉ้อฉลของการจดทะเบียนเบนซ์แวนว่าต้องมีนอกมีในให้ดูเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
ถ้าวสันต์จะเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าอะไรก็ได้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์
ปมปริศนาที่พูดกันกระหึ่มช้างต้นอาจดูเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ ที่หยิบหาสาระอะไรไม่ได้
แต่ช่วยไม่ได้ที่วสันต์มาเป็นพ่อค้ารถยนต์ เกือบล่มจมมาครั้งหนึ่งก็เพราะรถยนต์
แล้วร่ำรวยสามารถส่งเมียไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกาได้อย่างสบาย ๆ มีเงินมีทองที่จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของหลายบริษัทหลายธุรกิจได้
ก็เพราะรถยนต์ หนำซ้ำรถยนต์ที่ทำให้เขาโชคดีในวันนี้ได้นั้นดันผ่ามาเป็น
"รถเบนซ์" เข้าไปอีก
วสันต์เลยต้องตกอยู่ในข่ายต้องสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ (อีกที)!!!
วสันต์เป็นเจ้าของบริษัทยงวัฒนาธุรกิจ จำกัด หรือ "เบนซ์ทองหล่อ"
ซึ่งเป็นดีลเลอร์รายใหญ่ระดับท๊อปไฟว์ของธนบุรีพานิช ยอดขายเบนซ์ของวสันต์เทียบเคียงกับโค้วยู่ฮะของเสี่ยวิญญู
คุวานนท์ได้อย่างสบาย ๆ
สำหรับกรณีเบนซ์แวน วสันต์ก็เป็นคนแรกที่แทบจะกล่าวได้ว่า เขาสามารถมองเห็นหนทางของการ
"ฟัน" กำไรได้โดยไม่ลำบากยากเย็น ดังนั้นวสันต์จึงเป็นผู้สั่งจองรถคันแรกและอีก
80 คันเพื่อนำมาขาย
วสันต์นั้นคำนวณคร่าวๆ แล้วว่าถ้าเบนซ์แวนสามารถขายเป็นรถบรรทุกได้โดยไม่ต้องเสียภาษีแล้วจะทำให้ขายได้เร็วขึ้น
มีเงินมาใช้มากขึ้น และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็นอีกด้วย เมื่อมีการนำรถไปตรวจสภาพครั้งแล้วครั้งเล่า
วสันต์จึงลุ้นจนตัวโก่งให้รถเบนซ์แวนอยู่ในข่ายไม่ต้องเสียภาษี
ที่สุดความคิดใฝ่ฝันของวสันต์ก็เป็นจริง!!
ข้อสงสัยที่ว่าเขาเป็นคนวิ่งเต้นจึง "พุ่ง" เข้าสู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!!
"แหม ก็ขายรถเนซ์แวนเที่ยวนี้เขากำไรไม่รู้กี่สิบล้าน ชื่อเสียงฟู่ฟ่าทันตาเห็นมันก็น่าอยู่หรอกที่ชวนให้สงสัย"
แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว ขณะที่วสันต์ปฏิเสธเสียงเดียวว่า
"ผมไม่เคยทำอย่างที่ถูกกล่าวหาเลย จริง ๆ แล้วขายก็ไม่ได้กำไรนัก อย่างดีก็ได้เงินมาใช้จ่ายหมุนเวียนโดยที่ไม่ต้องไปกู้แบงก์เท่านั้นเอง
อย่างที่บอกว่าผมสนิทกับ พ.ต.อ. อัมรินทร์ เนียมสกุล ก็ไม่ได้รู้จักกันเลย
พ่อเขาคุณประหยัด เป็นคนขายรถเก่าแต่เราก็เพิ่งมารู้จักกัน ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นของยงวัฒนาธุรกิจแต่อย่างไร"
"ผมไม่สบายใจนัก" วสันต์สรุปสั้น ๆ กับ "ผู้จัดการ"
เขาจะกำไรมากน้อยเท่าไรนั้น ก็ลองคิดกันเองเองว่ารถเบนซ์แวนคันหนึ่งขายในราคาเจ็ดแสนห้าหมื่นบาท
ดีลเลอร์ตัดราคามาจากบริษัทตัวแทนที่ต่ำกว่านี้ไม่น้อย คันหนึ่ง ๆ เฉลี่ยแล้วกำไรหนีไม่พ้นหนึ่งแสนบาท
แค่นี้ดีลเลอร์ก็กำไรเป็นปื้นแล้ว… ส่วนวสันต์จะเป็นหัวหอกวิ่งเต้นให้ขายคล่องหรือเปล่านั้น
ก็คงไม่มีใครบอกได้อย่างแน่ชัดนอกเสียจากหลักฐานที่ผู้กระทำแต่ละรายรู้อยู่แก่ใจของตัวเองดี!?
วสันต์หรือ "ฮะ" หรือ "เก๋ง" เป็นคนกาญจนบุรี เขากับพี่ชายเป็นตัวแทนขายรถยนต์โตโยต้าอยู่ที่เมืองกาญจน์
แม้ว่าเตี่ยจะเป็นคนจีนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาทำมาหากินในเมืองไทย ทว่าครอบครัวของเขาก็ได้ชื่อว่า
เป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่คนหนึ่งของจังหวัด "ตระกูลนี้เขาค้าขายอย่างเฉียบขาดจริง
ๆ ตัวฮะเองนั้นเด็ก ๆ ไม่ค่อยเอาถ่านนัก ที่ไปเรียนเมืองนอกไม่รู้ว่ามันจบจริงหรือเปล่า
ชื่อเดิมของมันคือ ฮะ ชื่อเก๋งนั้นเพื่อนที่เรียนเมืองนอกเรียกทีหลัง"
คนเมืองกาญจน์ที่รู้จักครอบครัวนี้ดีบอกกับ "ผู้จัดการ"
วสันต์เคยเกือบพลิกคว่ำมาแล้วคราวที่ตลาดรถยนต์ญี่ปุ่นประสบปัญหา ดีที่ว่าพื้นฐานของครอบครัวเขาและพี่ชายค่อนข้างจะแน่นเลยรอดพ้นมรสุมมาได้
ตอนหลัง ๆ ตัววสันต์เองเลยเร่หาที่ทำกินแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ โดยเป็นเอเย่นต์ขายโตโยต้าและเบนซ์ในนามบริษัทยงวัฒนาธุรกิจ
คนในวงการบอกว่า "เขารวยขึ้นมาเที่ยวนี้เพราะเบนซ์แท้ ๆ เทียว"
ในอดีตวสันต์เป็นรายแรกที่ทำธุรกิจรถแท็กซี่ลีมูซีนในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ก่อนที่สัญญาจะหมดลงและถูกพระพิราพขนส่งยึดหัวหาดไปครอง (ปัจจุบันกิจการประเภทนี้อยู่ในกำมือบริษัทปิยะอนันต์ของปิยะ
อังกินันท์ คนโตเมืองเพชรบุรี)
กิจการรถลีมูซีนนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นบรรทัดฐานของการก่อร่างสร้างตัวอีกทางหนึ่งของวสันต์เท่านั้น
หากยังเป็นข้อต่อที่ทำให้เขาสนิทสนมกับพ่อค้าเพชรที่รวยแบบเงียบ ๆ ของเมืองไทยอีกหายคน
ซึ่งข้อต่อนั้นกำลังจะส่งผลทางธุรกิจแก่วสันต์ในอนาคตไม่ช้านี้แล้ว!!!
ปี 2531 เป็นปีที่วสันต์บอกกับคนใกล้ชิดว่า เขาจะรุกหนักทางธุรกิจโดยขณะนี้ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนิวส์เน็ทเวอร์ค
จำกัด ที่ประมูลผลิตรายการของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ได้ งานมีเดียนี้วสันต์เชื่อมั่นมากว่าจะมีประโยชน์ต่อเขามากในอนาคต
"คิดดูเถอะแม้แต่คุณชาตรีแกยังลงเล่นเลย" เขากล่าวพร้อมกับท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจัง
การลงทุนโครงการใหญ่อีกโรงการหนึ่งของเขาก็คือ การร่วมกับเลย์แลนด์บัสของอังกฤษเปิดบริการเดินรถเมล์สองชั้นในกรุงเทพฯ
ซึ่งโครงการนี้จะต้องจ่ายเงินกินเปล่าเป็นค่าสัมปทานให้กับ ขสมก. 900 ล้านบาท
และต้องใช้จ่ายเงินขั้นแรกไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านสำหรับการต่อรถไม่น้อยกว่า
600 คัน ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า
โครงการนี้นอกจากตัววสันต์แล้วยังมีพ่อค้าเพชรร่วมด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือลูกค้ารถเบนซ์ของเขานั่นเอง
แต่ละโครงการที่เขาก้าวเข้าไปจับล้วนปึ้ก ๆ ทั้งนั้น
จับตานักธุรกิจโนเนมรายนี้ไว้ให้มากเถอะ อีกไม่ช้าข้อสงสัยต่าง ๆ ก็จะคลี่คลายเอง
ซึ่งบางทีวสันต์เองก็อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า "ตัวเขา"นั้นสะอาดพอ