|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์พาณิชย์ออกอาการหลังเงินฝากหายไปไม่น้อย เห็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นรีบออกโปรโมชั่นเงินฝาก หวังล็อกเงินต้นทุนต่ำตุนทำธุรกิจในอนาคต นักบริหารเงินแนะคนมีเงินออมต้องตัดสินใจให้ดี พร้อมเฉลยดอกเบี้ยขึ้นบันไดผลตอบแทนราว 1.2-1.67% ชี้ช่วงนี้ไม่ควรรีบฝากยาว
การขยับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 48 เดือนของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขึ้นมาเป็น 3.3% มีผลเมื่อ 18 สิงหาคม 2552 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นหลังจากที่ระยะเวลาในการรับฝากของธนาคารกรุงไทยที่อัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาเดียวกันสิ้นสุดลง
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังคงแข่งขันกันออกโปรโมชั่นเงินฝากช่วง 7 เดือน 10 เดือนและ 18 เดือน ด้วยดอกเบี้ยอัตราพิเศษทั้งแบบคงที่และขั้นบันได
นับว่าสัญญาณบ่งบอกถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยนับจากนี้ไปถือว่าสิ้นสุดดอกเบี้ยขาลงอย่างถาวรและเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นอย่างเต็มตัว
การที่แบงก์พาณิชย์ต่างโดดหันมาช่วงชิงเงินฝากกันอย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเวลานี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ขายทะลุวงเงินเดิมที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยขายได้ 7 หมื่นล้านบาทและหมดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราผลตอบแทน 4% กับพันธบัตรอายุ 5 ปี
ถัดมาจึงเป็นรอบของหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่ออกมาเสนอขายด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงตามระดับความเสี่ยงของอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ นอกจากนี้ตลาดกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ใครที่พลาดหวังจากการซื้อพันธบัตรก็หันไปซื้อกองทุนรวมนี้
สถานการณ์บังคับ
นักบริหารเงินรายหนึ่งประเมินว่า เมื่อแบงก์เจอพันธบัตรไทยเข้มแข็ง กองทุนรวมเกาหลีและหุ้นกู้เอกชนเข้าไป ทำให้เงินฝากของธนาคารพาณิชย์หายไปไม่น้อย เฉพาะสิ้นเดือนมิถุนายน 2552 แค่ 6 เดือนแรกของปีเงินฝากของธนาคารไทยทั้งระบบหายไป 7.28 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับจำนวนสินเชื่อที่ลดลงไป 1.65 แสนล้านบาท
ขณะที่มีความเป็นไปได้ว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้พันธบัตรรัฐบาลจะออกมาเสนอขายอีกครั้ง ขณะเดียวกันรัฐบาลได้สั่งให้ธนาคารของรัฐเร่งปล่อยสินเชื่อตามนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อสถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างนี้ เท่ากับเป็นการบีบให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องขยับตัวในเรื่องดอกเบี้ยเงินฝากและการปล่อยสินเชื่อ แม้ว่าที่ผ่านมาแบงก์จะไม่เน้นในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่สถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีสัญญาณบางประการในทิศทางที่เป็นบวก เงินฝากที่ถูกโยกไปตามแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ธนาคารจึงต้องขยับตัวเพื่อเตรียมการสำหรับการทำธุรกิจในอนาคต
ไม่ใช่นั้นรายได้จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ที่เป็นรายได้หลักของธนาคารพาณิชย์อาจจะลดลง ขณะเดียวกันยังถือเป็นการชิงจังหวะความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนของเงินไปในตัว
การรีบดึงเงินฝากกลับด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มให้จากอัตราปกติเล็กน้อย ถือว่าเป็นสิ่งที่ธนาคารพาณิชย์ถนัดคือเมื่อดอกเบี้ยเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น แบงก์ต้องหาทางล็อกต้นทุนของเงินให้ต่ำไว้ก่อน อย่างกรุงไทยและกรุงศรีอยุธยายอมให้ดอกเบี้ย 3.3% สำหรับเงินฝาก 48 เดือน ขณะที่รายอื่นยังไม่เน้นเงินฝากในกลุ่มนี้ แต่หันไปจับเงินฝากในช่วง 7-18 เดือนแทนด้วยลูกเล่นที่แตกต่างกันไป โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่าง 1.2-1.67%
ด้านหนึ่งถือเป็นการเรียกลูกค้าที่เคยหายไปกลับคืนมา อีกด้านหนึ่งถือเป็นการเตรียมการสำหรับการปล่อยสินเชื่อในอนาคต
การที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มขยับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น ยังหมายถึงจุดสิ้นสุดของการใช้นโยบายทางการด้านเงินที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ จากนี้ไปรัฐบาลจะต้องไปมุ่งที่ตัวภาษีหรือการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจโดยรวมให้ได้ เมื่อเครื่องมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเหลือน้อยลงรัฐบาลก็จะต้องใช้ความระมัดระวังในการออกมาตรการมากขึ้น เพื่อให้เกิดความสัมฤทธิ์ผลให้มากที่สุด
ดังนั้นมาตรการใหม่ ๆ จะต้องออกแบบมาให้เกิดประโยชน์มากกว่าหนึ่งเป้าหมาย จึงเป็นการพิสูจน์ฝีมือและความสามารถของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวได้เพียงใด
เลือกให้เหมาะกับตัวเอง
เมื่อเกิดการแข่งขันกันระดมเงินฝากอย่างนี้ ผู้มีเงินออมอาจจะตัดสินใจลำบาก เนื่องจากลูกเล่นของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งนั้นออกแบบมาแตกต่างกันไป อันดับแรกควรเริ่มจากการถามตัวเองก่อนว่าพอใจกับการฝากระยะสั้นหรือระยะยาว ฝาก 4 ปีรับดอกเบี้ย 3.3% พึงพอใจหรือไม่ หรือต้องการรอพันธบัตรชุดใหม่ของรัฐบาลหรือไม่
แต่ควรต้องคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยให้ออกว่า นับจากนี้ดอกเบี้ยเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น หากเราเลือกฝากในช่วงนี้เท่ากับเป็นการปิดโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นกว่าเดิมในอนาคต ดังนั้นอาจจะแบ่งเงินออมบางส่วนลงทุนไว้ก่อน ที่เหลืออาจเตรียมไว้รอเงินฝากหรือพันธบัตรชุดต่อไป
เขาให้ข้อมูลต่อไปว่า เชื่อว่าพันธบัตรชุดใหม่ที่จะออกมานั้น น่าจะมีอายุมากกว่า 5 ปี ส่วนผลตอบแทนปัจจุบันนั้นต่ำกว่าช่วงที่มีการเสนอขายในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ดังนั้นคงต้องขึ้นกับรัฐบาลว่าจะกำหนดดอกเบี้ยที่ระดับใด สมมติว่ารัฐให้ดอกเบี้ยเท่าเดิมคือ 4% แต่อายุของพันธบัตรเป็น 7 ปี เท่ากับผลตอบแทนที่ได้รับนั้นต่ำกว่าพันธบัตรอายุ 5 ปี
หากเราต้องการรอดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แล้วจะทำอย่างไรในตอนนี้ บางคนเลือกที่จะโยกเงินมาพักไว้ที่บัญชีออมทรัพย์ ที่ต้องยอมรับกับดอกเบี้ยที่ต่ำราว 0.5% บางคนอาจนำไปพักในบัญชีเงินฝาก 7 เดือน 10 เดือนหรือ 18 เดือนตามธนาคารต่าง ๆ ที่บางแห่งประกาศดอกเบี้ยสูงสุดไว้ที่ 2.5% ผู้ต้องการฝากควรต้องนำเอาดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดมาหาค่าเฉลี่ยก็จะพบว่าส่วนใหญ่จะไม่เกิน 1.67%
'เท่าที่เราเห็นดอกเบี้ยเงินฝากที่ดีที่สุดสำหรับเงินฝาก 12 เดือนในเวลานี้คือธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ให้ผลตอบแทน 1.75% หรือถ้าจะยอมฝาก 5 ปีดอกเบี้ยก็สูง 3.75% ถือว่าต่ำกว่าพันธบัตรไทยเข้มแข็งไม่มากนัก'
ดังนั้นผู้ที่มีเงินออมควรต้องสำรวจตลาดเงินฝากและตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าจะเลือกออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดีกับสถาบันการเงินใด
|
|
|
|
|