Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2530
สุระ จันทร์ศรีชวาลา เขาสอบผ่านแล้ว             
 


   
search resources

สยามวิทยา
สุระ จันทร์ศรีชวาลา
Loan




หลายปีมานี้สุระผู้เคยได้รับฉายา "ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า" นอกจากจะไม่ซื้ออะไรอีกต่อไปแล้ว หนี้สินที่สร้าง ๆ เอาไว้กลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างยิ่ง หลายคนค่อนข้างเชื่อว่าสุระไม่มีทางดิ้นหลุด เพียงแต่สุระกลับเชื่อว่าเขาต้องหลุดแน่ ๆ สุระนั้นเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าต้องเข้าข้างเขาเพียงแต่พระองค์อาจจะหลงลืมคนชื่อสุระไปชั่วครั้งชั่วคราว และบัดนี้เพียงพระองค์มองเห็นสุระแล้ว สุระกำลังจะผ่านยุคเข็ญไปสู่ยุคทองอีกครั้ง?

ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 3 ปีจากปลายปี 2526 กระทั่งหมดปี 2529 นั้นก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะยาวนาน และสร้างความเจ็บแสบให้กับสุระ จันทร์ศรีชวาลามาก ๆ

สยามวิทยากรุ๊ปของเขาสร้างหนี้สินไว้อิรุงตุงนัง, เปิดสงครามเกือบจะรอบตัวและการสร้างอาณาจักรขึ้นมาอย่างโลดโผนเพียงช่วงระยะเวลาราว ๆ 5 ปีก่อนหน้าปี 2526 บนพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า "ซื้อมาแล้วขายไป" ซึ่งสร้างผลกำไรงดงามน่าอิจฉานั้นกลายสภาพเป็นดาบสองคม หากเขายังประสบความสำเร็จไปเรื่อยๆ ก็คงจะเป็นคุณประโยชน์ต่อเขา แต่ถ้าพลาดพลั้งตกม้าก็คงจะมีหลายคนอยากจะสมน้ำหน้าหรือเหยียบซ้ำ

ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้สุระก็เผอิญพลาดพลั้งไปจริงๆ

สุระต้องดิ้นรนหาทางรอดอย่างเหน็ดเหนื่อย

แต่หลายคนก็มองว่าถึงจะดิ้นอย่างไรก็คงไม่สำเร็จ

คนที่มองสุระด้วยสายตาเป็นกลางเชื่อว่าหนี้สินนับพันล้านบาทคงจะทับสุระจนสุระดิ้นไม่หลุด

คนที่อิจฉาวิทยายุทธสร้างความร่ำรวยของเขาพูดถึงหายนะของเขาอย่างยิ้มเยาะ

ส่วนศัตรูทั้งทางตรงและทางอ้อมช่วยกระพือโหมให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นไปอีก

"มันเผอิญเป็นช่วงที่สุระกำลังมีปัญหากับสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์เรื่องธนาคารแหลมทองผสมผสานกับบางกลุ่มต้องการกวาดล้างอิทธิพลของตามใจ ขำภโต ที่ออกจากกรุงไทยไปเล่นการเมืองและเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพลเอกเปรม สุระก็เลยต้องเจอคลื่นลมทั้งทางตรงและทางอ้อม เรื่องหนี้ของสุระมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้ง ๆ ที่มันไม่น่าจะมีปัญหา" คนที่ติดตามเรื่องของสุระมาทุกระยะเล่า

ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่สุระจะผ่านสถานการณ์ช่วงวิกฤตนี้ไปได้

เพียงแต่มันก็กำลังจะผ่านไปแล้ว

ภายหลังการพลิกกลยุทธ์และท่าทีของสุระต่างไปจากเดิมโดยเฉพาะในช่วงปี 2528 ถึงต้นปี 2529 หรือก็ภายหลังการประลองกำลังครั้งสุดท้ายระหว่างสุระกับสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ครั้งการประชุมสามัญประจำปีของแบงก์แหลมทองเมื่อเดือนเมษายนปี 2529 นั่นแหละ

สุระไม่ออกแสดงตัวให้ตกเป็นข่าวครึกโครมเหมือนเช่นเดิม ๆ เขาเก็บตัวเงียบเชียบเพียงแต่เบื้องหลังความเงียบเชียบนั้นคือแผนงานลุ่มลึกหลาย ๆ เรื่อง

สุระ จันทร์ศรีชวาลา กำลังเริ่มต้นเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในช่วงปลายทศวรรษของอาณาจักรสยามวิทยาของเขา.... ประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกถึงยุคแห่งความรุ่งเรืองและการขยายตัวในช่วง 5 ปีแรกติดตามด้วยวิกฤตการณ์ช่วง 3 ปีหลัง...ส่วนหน้าต่อไปที่สุระกำลังเขียน เป็นยุคขอองการฟื้นฟูธุรกิจ เขาบอกว่าเขาจะใช้เวลาราว ๆ 3 ปีในการฟื้นตัว เป้าหมายอยู่ที่การล้างหนี้ออกไปให้หมดทุกบาททุกสตางค์

และบทเรียนที่ได้รับนั้น "ผมจะไม่ขอเป็นหนี้ใครอีกต่อไปเลย" สุระบอกกับ "ผู้จัดการ"

"หลังจากลำบากมานาน ตั้งแต่ปีนี้ไปคงเป็นทีของผมบ้าง พระเจ้าคงเข้าข้างผมบ้างแล้ว" เขาสำทับด้วยน้ำเสียงแสดงความเชื่อมั่น

ปัญหาพื้นฐานของธุรกิจเครือสุระในรอบ 3 ปีนี้เป็นปัญหาเรื่องหนี้สินอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยเฉพาะหนี้ที่สุระก่อเอาไว้ในช่วงเกิดวิกฤตสถาบันการเงินภายหลังการล้มของอีดีทีของสุธี นพคุณ ตั้งแต่ปี 2527 แล้ว

สุระนั้นมีสถาบันการเงินในเครือ 4 แห่ง เชียงใหม่ทรัสต์, มิดแลนด์, เครดิตฟองซิเอร์ยูนิโก้ เฮ้าส์ซิ่งและบริษัทหลักทรัพย์โอซิโก้ ในยุครุ่งเรืองสถาบันการเงินเหล่านี้ เป็นตัวระดมเงินฝากจากประชาชนแล้วสุระก็เอาไปลงทุนหากำไรในธุรกิจที่สุระถนัด...การเล่นที่ดินหรือการซื้อทรัพย์สินตัวหนักๆ เพื่อจะขายเอากำไรอีกต่อ

ว่าไปแล้วทั้ง 4 แห่งก็คือเค้าหน้าตักที่ทำให้สุระเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้และเป็นฐานในการก้าวขึ้นไปเล่นธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ว่ากันเป็นพัน ๆ ล้าน

เมื่อตอนที่เกิดวิกฤตการณ์สถาบันการเงินนั้น สถาบันการเงินของสุระก็เป็นเฉกเช่นสถาบันการเงินเกือบทุกแห่งโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีธนาคารพาณิชย์เป็นหลังพิง คือเงินไหลออกเหมือนทำนบทลายเพราะคนแห่มาถอนเงินพร้อม ๆ กัน

หนี้จำนวนมากเกิดขึ้นในช่วงนี้ภายใต้ปรัชญาที่สุระบอกว่า "ถ้าผมจะต้องหมดตัว ผมยอม แต่เงินฝากของประชาชนผมต้องรับผิดชอบเขาต้องการถอนเมื่อไร ผมมีให้เขาเมื่อนั้น"

ที่จริงก็มีคนบอกว่าสุระนั้นคิดผิดเขาควรปล่อยให้สถาบันการเงินของเขาล้มไปจะได้เหลือทรัพย์สิน (โดยเฉพาะที่ดินที่สุระมีหลายฝืน) เก็บเอาไว้กับตัวหรือไม่เช่นนั้นก็น่าจะเอาบริษัทการเงินเข้าโครงการ 4 เมษาขอรับความช่วยเหลือจากแบงก์ชาติ

"แต่คุณสุระไม่เชื่อ เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการล้มบนฟูก อนาคตข้างหน้าของเขายังอีกไกล อีกอย่างเขาถือว่ามันไม่ใช่เป็นเพราะเขาผิดพลาดหรือค้าขายขาดทุน มันเป็นเรื่องที่มีปัญหาสภาพคล่อง แก้ตกแล้วทุกอย่างก็สามารถเดินหน้าได้ต่อไป อีกอย่างคน ๆ นี้รักศักดิ์ศรีและชื่อเสียงมาก" คนที่รู้จักสุระพูดให้ฟัง

เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสุระแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรก

ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้วเมื่อครั้งที่สุระยังยึดอาชีพขายผ้าย่านพาหุรัดและสำเพ็ง ช่วงนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายในยุทธจักรค้าผ้า ร้านขายผ้าย่านพาหุรัด-สำเพ็งปิดร้านหลบหนีหนี้สินกันเป็นทิวแถว "เรียกว่าหนีกันเป็นทีมฟุตบอลทีเดียวเชียว ร้านของสุระนั้นคนก็พูดกันมากว่า ก็คงต้องหนีด้วย เพราะกระเทือนมาก ผ้าที่ขายให้ร้านค้าเมื่อร้านค้าหนีก็เก็บเงินไม่ได้ ก็อาจจะต้องหนีตาม แต่ปรากฏว่า นอกจากสุระและครอบครัวจะไม่หนีไปไหนแล้ว พวกเขายังกัดฟันสู้จนล้างหนี้ได้หมด ดูเหมือนต้องขายห้องแถวย่านสำเพ็งที่มีอยู่ไป 10 กว่าคูหาเพื่อล้างหนี้..." คนที่ทราบเรื่องบอก

จรรยาบรรณหรือคุณธรรมทางธุรกิจด้านนี้ของสุระดูเหมือนจะมีออย่างเปี่ยมล้น

"คนมักจะไปมองว่าแกเป็นแขกไม่จริงใจ ซื้อถูกขายแพง ภาพแกเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามองกันให้ทะลุแล้ว สุระเป็นคนมีคุณธรรมและความรับผิดชอบมาก แต่เรื่องลูกเล่นทางการค้าผมว่ามันต้องแยก ปัญหาของสุระนั้นส่วนหนึ่งก็คือคนไม่มองแกอย่างแยกแยะ" นายแบงก์คนหนึ่งพูดถึงสุระ

และบางทีหลายคนอาจหลงลืมไปว่าสุระนั้นมีทรัพย์สินโดยเฉพาะที่ดินผืนงาม ๆ อยู่มาก และที่ดินเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ถูกเอามาวางค้ำหนี้ของสุระในช่วงสถาบันการเงินกำลังวิกฤต

สุระนั้นว่ากันว่าเขามีหนี้อยู่กว่า 5,000 ล้านบาท

เป็นของไอเอฟซีซี (บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เงินทุนสากลในเครือธนาคารกรุงไทย) กับธนาคารกรุงไทยที่สุระกู้มาในยุคตามใจ ขำภโต เป็นกรรมการผู้จัดการราว ๆ 3,000 ล้านบาท

เป็นของธนาคารสหธนาคารราว ๆ 1,000 กว่าล้านบาท

และธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ 260 ล้าน ส่วนที่เหลือก็เป็นก้อนเล็ก ๆ กระจัดกระจายรวมทั้งเงินกู้จากต่างประเทศ

ไทยพาณิชย์นั้นสุระกู้มาในช่วงที่สถาบันการเงินเริ่มส่อเค้าวิกฤตภายหลังการล้มลงของอีดีทีไม่นานนักด้วยการใช้ที่ดินที่บริเวณสวนหลวงติด ๆ กับหมู่บ้านปัญญาค้ำประกัน

เป็นการปล่อยเงินให้กับสุระโดยที่ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์เองก็สบายใจมากเพราะธารินทร์กับปัญญา ควรตระกูลก็สนิทสนมใกล้ชิดกัน (ปัญญา ควรตระกูลเป็นน้องชายของอุบล จุลไพบูลย์ อดีตแม่ยายของศิรินทร์ที่เป็นน้องชายของธารินทร์) และปัญญาย่อมสามารถให้ข้อมูลกับธารินทร์ได้เป็นอย่างดีว่าที่ที่สวนหลวงของสุระนั้นมีค่ามหาศาลขนาดไหน

ที่ดินที่สวนหลวงของสุระมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 400 ไร่ ถ้าวัดจากราคาตารางวาละ 9,000 บาท ที่หมู่บ้านปัญญาขายอยู่ก็น่าจะมีมูลค่าเฉพาะที่ดินกว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งหนี้ 200 ล้านบาทที่สุระกู้จากไทยพาณิชย์ใช้ที่ดินจำนวน 175 ไร่จากทั้งหมด 400 ไร่ ค้ำประกัน

ว่าไปแล้วสุระจึงไม่ค่อยวิตกเกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้นัก

"ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีการเจรจาซื้อขายที่ตรงส่วนที่ติดจำนองกับไทยพาณิชย์ก็มีคนที่สนิทกับธารินทร์เสนอราคาผ่านมาว่าจะขอซื้อตารางวาละ 6,000 บาทเกือบจะตกลงกันแล้ว แต่สุระคิดว่าราคาน่าจะดีกว่านั้น และสุระก็มีโครงการที่จะพัฒนาขึ้นมาเองโดยจะให้เป็นหมู่บ้านสำหรับคนชั้นกลางขึ้นไปกลุ่มลูกค้าเดียวกับหมู่บ้านปัญญาอยู่ด้วย ก็เลยเกิดทางเลืออกว่าจะขายหรือจะทำเอง ซึ่งถ้าทำเองไทยพาณิชย์ก็คงจะต้องให้การสนับสนุนด้านทุนดำเนินการ" แหล่งข่าวกล่าวถึงที่ดินผืนที่สุระวาดโครงการไว้โดยให้ชื่อว่า "รอยัล กรีน พาร์ค"

นอกจากนี้ก็เชื่อกันว่ายังมีที่ดินจำนวน 2 ไร่บริเวณโรงแรมรามาทาวเวอร์เก่าที่สุระซื้อเอาไปวางไว้กับไทยพาณิชย์ตีราคาจำนอง ตารางวาละ 5 หมื่นบาท ที่ดินตรงนี้ก็มีการติดต่อขอซื้อจากสุระผ่านผู้บริหารแบงก์คนหนึ่งโดยเสนอราคาตารางวาละ 6 หมื่นบาท

"เข้าใจว่าคนที่ต้องการซื้อคือกลุ่มพีเอสรีลเอสเตทของพานิช สัมภวคุปต์ แต่สุระยังไม่ตกลงเพราะผู้ใหญ่แบงก์ท่านเสนอราคาหักคอเกินไป สุระก็คงอยากจะคุยด้วยในราคาวาหนึ่งเป็นหลักแสนบาท..." แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว

ซึ่งหากการเจรจาล้มเหลวสุระก็มีโครงการรองรับที่ดินผืนใหญ่รวม 10 ไร่ด้านข้างโรงแรมรามาทาวเวอร์ (เดิม) อยู่แล้ว (จำนวนทั้งหมด 10 ไร่โดย 2 ไร่วางไว้กับไทยพาณิชย์)

"เขาจะทำเป็นสีลมชอปเฮ้าส์ ที่จริงก็คิดว่าจะใช้เนื้อที่เพียงราว ๆ 8 ไร่ แต่ถ้า 2 ไร่ที่อยู่กับไทยพาณิชย์ตกลงกันไม่ได้ก็คงจะรวมเข้าไปในโครงการนี้ด้วย" คนที่ทราบเรื่องเล่า

ส่วนหนี้ที่สุระมีอยู่กับสหธนาคารก็พูดกันรู้เรื่องมาก ๆ

โดยเฉพาะชำนาญ เพ็ญชาติ รองกรรมการผู้จัดการนั้นก็เชื่อมั่นในตัวสุระและหลักทรัพย์ที่สุระนำไปวางค้ำหนี้อย่างยิ่ง บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มสุระ, กลุ่มชำนาญ เพ็ญชาติ และกลุ่มฮาริเลลาเจ้าของโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ ในฮ่องกงสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทดังกล่าวใช้ชื่อว่า "เอชอาร์เอช" เป็นบริษัทที่เข้าไปเทคโอเวอร์ทรัพย์สินของโรงแรมรามาทาวเวอร์ (ด้วยการรับหนี้ไปราว ๆ 500 ล้านบาทด้วย) และจะลงทุนปรับปรุงโรงแรมแห่งนี้ด้วยการใส่เงินเข้าไปอีกราว ๆ 500 ล้านบาทเพื่อให้รามาทาวเวอร์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในนามโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพฯ

บริษัทเอชอาร์เอชนี้สุระเข้าถือหุ้น 46.5% กลุ่มฮาริเลลา 40% และกลุ่มชำนาญ เพ็ญชาติ ถืออยู่ 13.5%

"ตอนนี้ก็เริ่มทุบตึกเก่าด้านติดถนนสีลมทิ้งเพื่อจะสร้างเป็นตึกใหม่จำนวน 400 ห้องสูง 20 กว่าชั้นแล้ว..." คนที่รู้เรื่อง บอกกับ "ผู้จัดการ"

สำหรับหนี้ 3,000 ล้านบาทกรุงไทยดูแลนั้น จากที่เคยออึมครึมมองไม่เห็น ทางออกก็ดูเหมือนว่าจะคืบหน้าไปพอสมควร

หนี้ส่วนนี้สุระใช้ที่ดินหมู่บ้านรัชดา 2 และรัชดา 3 ค้ำประกันไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นที่ดิน 700 ไร่ติดกับหมู่บ้านสวนสนตรงหน้าสนามกอล์ฟยูนิโก้ที่สุระมี ทั้งหมด 2,000 ไร่ค้ำ

ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับสุระด้วยการตีราคาที่ดินตามราคาซื้อขายจริงในตลาดแล้ว ที่จริงหนี้จำนวนนี้ก็แทบจะไม่มีปัญหา เพียงแต่เผอิญมันเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในยุคตามใจ ขำภโต ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย แล้วออกไปเล่นการเมืองที่เป็นพรรคฝ่ายค้านอีกทั้งแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับผู้มีอำนาจในคณะรัฐบาลอย่างออกหน้า เกมการต่อสู้ทางการเมืองในช่วงเลื่อกตั้งครั้งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า มีกระแสต้องการเพิ่มการทิ่มแทงตามใจ ขำภโตให้ตกเวทีการเมือง

ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ถูกงัดขึ้นมาใช้ก็คือหนี้ก้อนใหญ่ ๆ ที่ถูกอนุมัติไปในยุคตามใจยังมีอำนาจในกรุงไทย หากจะว่าไปหนี้ของสุระที่มีปัญหาก็เพราะต้องการให้มีปัญหาเสียมากกว่า

"สุระนั้นก็ได้เจรจากับเริงชัยหลายรอบ การเจรจาก็ราบรื่นดีมาก เพราะสุระเองก็ต้องการสางหนี้ให้หมดจะเอาอย่างไรก็ว่ากัน ส่วนเริงชัยก็อยากได้เงินคืนเพียงแต่เริงชัยบางทีก็ไม่ใช่คนที่จะมาบอกว่าจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้เพราะเริงชัยไม่ได้นั่งอยู่ในบอร์ดของกรุงไทย" แหล่งข่าวคนหนึ่งพูดถึงสถานการณ์ในช่วงระยะแรกที่เริงชัย มะระกานนท์ ถูกยืมตัวจากแบงก์ชาติมารับผิดชอบในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการกรุงไทยที่ว่ากันว่าเพื่อสะสางหนี้เก่า ๆ โดยเฉพาะ

เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างก็จะเข้ารูปเข้ารอยขึ้นพร้อม ๆ กับกระแสการเมืองที่เปลี่ยนทิศทาง ตามใจ ขำภโตกับกลุ่มการเมืองของเขาแสดงท่าทีเป็นมิตรมากขึ้นกับรัฐบาลเปรม อย่างน้อยก็จะไม่ลงชื่อเข้าร่วมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรม

พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ ที่มีโรงงานสับปะรดกระป๋องเป็นหนี้กรุงไทยปัญหาก็คลี่คลายไปแล้ว

หนี้ของสุระก็มาตะเภาเดียวกัน

ทิศทางนั้นก็น่าจะเป็นบริษัทกรุงไทยแลนด์แอนด์เฮ้าส์ที่กรุงไทยเพิ่มจัดตั้งขึ้นจะเข้ามาพัฒนาที่ดินจำนวน 700 กว่าไร่ของสุระบริเวณหน้าสนามกอล์ฟยูนิโก้เพื่อล้างหนี้

"โดยกรุงไทยก็จะเป็นคนลงทุนพัฒนาเอง กลุ่มสุระทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเท่านั้นโดยเฉพาะการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับราคาขั้นต่ำของที่ดินที่จะพัฒนาขาย" แบงก์เกอร์คนหนึ่งเล่า

"ผมคิดว่าถ้าแบบนี้คงล้างหนี้ไปได้กว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์" สุระยืนยัน

ก็ดูเหมือนว่าปัญหาถ้าจะมีนั้นก็อยู่ที่กรุงไทยจะเอาอย่างไรเสียมากกว่า

"ที่ผ่านมาก็ราบรื่นและคืบหน้ามาก ผมยังคิดเลยว่าถ้ากรุงไทยเขาสนใจผมอาจจะยกที่ที่เหลือให้จำนวน 2,000 ไร่ตรงนั้นให้เขาพัฒนา แต่ถ้าเขามีอุปสรรค ผมจะพัฒนาเอง" สุระบอกกับ "ผู้จัดการ"

สุระในวันนี้ยังเป็นสุระที่มั่นใจไม่สั่นคลอนเขาเชื่อว่าปัญหาของเขาเป็นปัญหาของความผันผวนทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้มีระยะตกต่ำฟื้นฟูและรุ่งเรืองมั่นในฐานที่มั่นคงของเขา เขาเพียงต้องการเขาเชื่อจังหวะ โอกาสและโชคบ้างเท่านั้น

ในช่วง 2-3 ปีที่แล้วท่ามกลางปัญหาสุระอาจจะทำสงครามรอบตัวไปหมด ทั้งประคองกิจการของเขาท่ามกลางมรสุมทั้งต้องสู้รบปรบมือกับกลุ่มสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ ทั้งต้องโดนผลกระทบทางการเมืองจากการนำตัวเองเข้าไปผูกพันกับคนบางคนและก็มีหลายคนที่อยากเห็นเขาล้มเพราะเขาที่แล้ว ๆ มาดูเหมือนจะประสบความสำเร็จมากไป

บทเรียนทำให้สุระกำหนดยุทธวิธีเอาชนะปัญหาทีละส่วน ในรอบเกือบปีมานี้สุระไม่เคยแสดงท่าทีเผชิญหน้ากลุ่มสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ เขาเก็บตัวและจัดทีมศึกษาว่าจะพัฒนาที่ดินและทรัพย์สินที่เขามีอย่างไร

"ผู้จัดการ" ถามสุระว่า "หากทุกอย่างสำเร็จมันก็จะเป็นปีทองของเขาเสียทีใช่ไหม"

สุระบอก "ไม่ใช่"

"ปีนี้จะต้องเริ่มเป็นปีทองของผมน่ะใช่ แต่ไม่ใช่หากทุกอย่างสำเร็จ มันต้องสำเร็จไม่มีหาก" เขาว่า

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us