เจากระแสหุ้นร้อน ล่าสุดผลดำเนินงานไตรมาส 2 ขาดทุนถ้วนหน้า แต่งง! นักลงทุนกลับไม่แยแสผลประกอบการ กลับให้ความสำคัญการขึ้นลงของราคามากกว่า เพื่อหวังเก็งกำไร ชี้แม้รู้มีคนอยู่เบื้องหลังก็ไม่สะทกสะท้าน เหตุใช้ต้นทุนต่ำ อีกทั้งหุ้นหลักช่วงนี้ราคาไม่ค่อยขยับตัว โบรกฯย้ำไม่น่าเล่น เลี่ยงไ ด้เป็นดี ไม่เจ็บตัว
จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ได้ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับราคาหุ้นในกลุ่มหลักอย่าง Set 50 – Set 100 มีการปรับตัวขึ้นลงไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยบางส่วนที่ต้องการเก็งกำไรในส่วนต่างของราคาหุ้น หันไปให้ความสนใจลงทุนผ่านหุ้นขาดเล็กที่มีราคาต่ำ ที่มักได้รับนิยามว่า “หุ้นปั่น” ตามกระแสข่าวลือให้ห้องค้าหลักทรัพย์ที่มีออกมา โดยไม่พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำ และราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นลงไม่มากนัก แม้การขึ้นลงของราคาหุ้นเหล่านี้บางครั้งจะมีนักลงทุนรายใหญ่อยู่เบื้องหลังก็ตาม
ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้สำรวจหุ้นขนาดเล็ก ที่ได้รับความสนใจหรือเป็นที่รู้จักของนักลงทุนซึ่งต้องการเก็งกำไรในส่วนต่างราคาหุ้น โดยพบว่าหุ้นประเภทนี้มีอยู่หลายบริษัทด้วยกัน แต่ที่มีชื่อติดหูและเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มนักลงทุน ได้แก่ บริษัท ดราก้อน วัน จำกัด (มหาชน) (D1), บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE),บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน)(WIN) ,บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS) และ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด มหาชน (IEC)
สำหรับ ผลดำเนินงานของหุ้นร้อนเหล่านี้ ในช่วงไตรมาส2/2552 ที่ผ่านมา พบว่า IEC มีผลประกอบการขาดทุน32.476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมาซึ่งมีอยู่ที่ 23.964 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0017 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 0.001 บาท/หุ้นเมื่อไตรมาส2/51 โดยมีราคาปิดเมื่อวันศุกร์ (14ส.ค.)ที่ 0.04 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 20.00% มูลค่าการซื้อขาย 4.753 ล้านบาท หรือ 118.456 ล้านหุ้น ส่วนหุ้นWIN มีผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 17.641 ล้านบาท (-0.04 บาท/หุ้น) ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งขาดทุน 18.784 ล้านบาท (-0.04 บาท/หุ้น) โดยมีราคาปิดล่าสุด 0.32 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 3.03% มูลค่าซื้อขาย 40,000 บาท หรือ 125,900 หุ้น
ขณะที่หุ้น BLISS มีผลขาดทุนสุทธิ 16.369 ล้านบาท (-0.005บาท/หุ้น) ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งขาดทุน 559.706 ล้านบาท (-0.178 บาท/หุ้น) โดยล่าสุดปิดที่ 0.03 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 25.00% มูลค่าซื้อขาย 336,000 บาท หรือ 11.020 ล้านหุ้น ด้านหุ้นLIVE ขาดทุนสุทธิ 12.720 ล้านบาท (-0.003 บาท/หุ้น) พลิกจากไตรมาส2/51 ซึ่งมีกำไร 184.436 ล้านบาท (0.04บาท/หุ้น) แต่ในส่วน D1 พบว่ายังไม่มีการแสดงผลประกอบการในงวดนี้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตามล่าสุดปิดที่ 0.59 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 1.67% มูลค่าการซื้อขาย 9.508 ล้านบาท หรือ 15.795 ล้านหุ้น
**โบรกฯย้ำไม่แนะนำเข้าลงทุน
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีการปรับขึ้นลงอย่างรุนแรงโดยไร้ปัจจัยสนับสนุนหรือ หุ้นปั่นว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักลงทุนส่วนใหญ่มากนัก เนื่องจากหุ้นประเภทนี้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากส่วนต่างราคาหุ้นค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันก็อาจมีโอกาสขาดทุนจากราคาหุ้นได้มากด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับการแนะนำจากนักวิเคราะห์และมาร์เกตติ้ง
“แนวโน้มหุ้นปั่นหลังจากนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าหากไม่มีข่าว เช่น เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ, การขยายฐานรายได้, การร่วมลงทุนกับพันธมิตร นั้นก็คงไม่น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะราคาของหุ้นประเภทนี้สามารถปรับขึ้นลงได้เกินว่าความเป็นจริงโดยไรปัจจัยสนับสนุน ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อลงทุน”
สำหรับหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มักได้รับนิยามว่า “หุ้นปั่น” จากนักลงทุนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็มีอาทิ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE), บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC), บมจ.บลิส-เทล จำกัด (BLISS), บมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) เป็นต้น
**ชี้เป็นวัฏจักร-ไม่สนผลประกอบการ
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การเข้าลงทุนในหุ้นร้อนเหล่านี้ ถือว่าเป็นไปตามรอบหรือวัฎจักรของตลาดหุ้น เพราะช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงปลายขาขึ้นของดัชนี ทำให้ราคาหุ้นหลักๆหลายตัวมีการสวิงไม่มากนัก หรือจะกล่าวว่าได้ว่าตอนนี้การลงทุนในหุ้นและหาผลตอบแทนที่ดีนั้นมีน้อยมาก ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการผลตอบแทนให้มาหันไปหาหุ้นร้อนที่มีขนาดเล็กแทน เพราะมีราคาถูกใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ แม้กำไรที่ได้รับจากส่วนต่างราคามีไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหุ้นให้เข้าไปลงทุนได้ แม้จะรู้ว่าบางครั้งการขึ้นลงของราคาก็จะมีเบื้องหลัง หรือเรื่องลับลมคมนัยของกลุ่มผู้ถือหุ้น หรือพวกสร้างราคามาเกี่ยวข้องก็ตาม แต่กลับคิดว่าหากเล่นรอบหรือจังหวะเข้าออกได้ดีก็มีโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการลงทุนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องขอเตือนนักลงทุนที่เข้าไปเล่นให้ระมัดระวัง และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงไปดีกว่า
“ตอนนี้ต้องบอกว่าดัชนีไม่มีการขยับตัวเท่าที่ควร ทางเทคนิคเขาก็มองว่าเป็นช่วงปลายขาขึ้นในรอบนี้แล้ว ซึ่งทุกอย่างน่าจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในช่วงพฤศจิกายน – ธันวาคมหรือช่วงปลายปี ทำให้รายย่อยเหลือสินค้าเข้าลงทุนได้น้อย จะมัวไปหาแต่หุ้รหลักเช่นปตท. ก็ต้องใช้ต้นทุนที่สูงผลตอบแทนจากส่วนต่างก็ปรับตัวเล็กน้อย จึงมองกันว่าสู้ไปลงทุนหุ้นเล็กจะดีกว่าเพราะต้นทุนต่ำ แม้บางตัวจะ มีข่าวลือ หรือมีขาใหญ่เข้าไปสร้างงราคาก็ตาม อีกทั้งถ้าจะถามว่าเวลาลงทุนต้องดูแลประกอบการด้วยหรือเปล่า เชื่อว่าส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจมากนัก เพราะให้ความสำคัญกับการขึ้นลงของราคามากกว่า และอย่างที่รู้กันว่าผลประกอบการส่วนมากของหุ้นเหล่านี้ก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร”
|