Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2530
ระบบเลี้ยงคนของ "ฮิวเลตต์-แพคการ์ด"ไล่คนออกไม่ใช่ทางออกของที่นี่             
 


   
www resources

โฮมเพจ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด

   
search resources

ฮิวเลตต์ แพคการ์ด - HP
Computer
วิลเลียม ฮิวเลตต์
เดวิด แพคการ์ด




บริษัทคอมพิวเตอร์หมายเลข 1 นั้นยังเป็นของไอบีเอ็มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รองจากนั้นยังมี ฮิวเลตต์-แพคการ์ด วิ่งจี้ขึ้นมาอย่างน่าจับตามอง ถึงแม้เอช-พีจะตกอันดับไปบ้างในการจัดอันดับกิจการดีเด่นประจำปีในกลุ่มบริษัทอุปกรณ์สำนักงานและคอมพิวเตอร์โดยนิตยสารฟอร์จูนเมื่อต้นปี 1987 นี้ คือมาเป็นที่ 3 แทนที่จะเป็นที่ 2 เหมือนปีที่แล้ว

ความจริงในช่วงปี 1985-86 เอช-พีก็หนีไม่พ้นผลกระทบจากความตกต่ำของตลาดในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วทั้งวงการเหมือนบริษัทอื่น ๆ ในอเมริกา รายได้รวมของปี 1985 อาจสูงถึง 6.5 พันล้านดอลล่าร์ หรือเพิ่มจากปี 1984 ร้อยละ 8 ก็จริง แต่ทว่ายอดกำไรสุทธิกลับได้เพียง 489 ล้านดอลล่าร์ คิดเป็นมูลค่า 1.91 เหรียญฯ ต่อหุ้น ลดลงกว่าปีก่อนหน้านี้ถึง 10%

ปัญหาของเอช-พีอาจสั่งสมมาจากความผิดพลาดในอดีต ที่เคยเก็งตลาดผิดในด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ พีซี. มาแล้ว รวมถึงจังหวะที่ชะงักตัวเองไประหว่างการปรับปรุงมินิคอมพิวเตอร์ช่วงปลายทศวรรษ 1970 อันเกิดจากการผลิตสินค้าที่ไม่สอดคล้องต้องกันระหว่างแผนกต่าง ๆ

แต่ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน พากันใช้มาตรการปลดงานเลิกจ้างอย่างไม่ปราณีปราศรัย เอช-พีหาได้ทำเช่นนั้นไม่ ไม่มีการปลดคนออกเลยแม้แต่สักคนเดียว หากหันมาใช้การลดทอนค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ แทน อาทิ โครงการลดเวลาทำงาน ตัดทอนค่าเดินทางและโอเวอร์ไทม์ลง แต่นั่นแหละ ครั้นความตกต่ำขยายวงไปสู่ตลาดต่างประเทศด้วย บริษัทจึงจำต้องอาศัยวิธีเสริมด้วยการลดโควต้าการรับพนักงานใหม่ในช่วงปี 1985-88 ลงเหลือ 700 คน จากเดิมที่เคยรับกันมา 1,200 คน

ความพยายามรักษาคนของตนไว้ให้ได้ในทุกสถานการณ์นั้น นับเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการมักยกย่องเสมอมาว่า เป็นที่มาในความสำเร็จของบริษัท กอปรกับเหตุผลในเรื่องความสามารถในการประกอบการ ที่ใช้หลักให้รางวัลและส่งเสริมให้กำลังใจให้แก่พนักงานที่มีความสามารถอยู่อย่างสม่ำเสมอ

ฮิวเลตต์-แพคการ์ด ก่อตั้งขึ้นโดยคนสองคน ที่มีชื่อตามชื่อบริษัทนั่นเอง คือ วิลเลียม ฮิวเลตต์ และเดวิด แพคการ์ด ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนจบมาด้วยกันทางวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด พวกเขาร่วมกันสร้างห้องปฏิบัติการเล็ก ๆ ของตัวเองขึ้นในปี 1938 โดยอาศัยบริเวณจอดรถ หลังบ้านพักของแพคการ์ดในพาโล อัลโต แคลิฟอร์เนีย ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่คนทั้งสองช่วยกันคิดค้นขึ้นมาจนสำเร็จ ได้แก่เครื่องสั่นสะเทือนทางเสียง (Audio Oscillator) อันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ทดสอบเครื่องมือเกี่ยวกับเสียง

แบบวงจรของเครื่องดังกล่าวเป็นไปตามแนวความคิดในวิทยานิพนธ์ของฮิวเลตต์ เมื่อครั้งยังทำปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าอยู่และทั้งสองให้ชื่อผลงานชิ้นแรกนี้ว่า "เครื่องสั่นสะเทือนรุ่น 200 เอ" เพื่อให้ฟังดูยิ่งใหญ่ พวกเขานำมันไปเสนอในที่ประชุมของสถาบันวิศวกรวิทยุในขณะนั้นพร้อมกับส่งคำบรรยายสรรพคุณไปยังลูกค้าในกลุ่มเป้าหมาย

ทายซิว่าใครคือลูกค้ารายใหญ่ของพวกเขาในระยะแรก ๆ

ก็บริษัท วอล์ท ดิสนีย์ ราชาหนังการ์ตูนไงละ...วอล์ท ดิสนีย์ ขอให้วิศวกรหนุ่มทั้งสองช่วยสร้างอุปกรณ์นั้นให้กับภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่กำลังวาดอยู่บนดรออิ้งบอร์ต เครื่องรุ่น 200 บีจึงถือกำเนิดขึ้นโดยวอล์ท ดิสนีย์ลงทุนซื้อถึง 8 ตัว เพื่อสร้างระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบในหนังการ์ตูนคลาสสิคของตนที่ชื่อ "แฟนตาเซีย" แววแห่งความรุ่งโรจน์ทำท่าจะมาเยือนคนทั้งสองมากขึ้นทุกขณะ

ฮิวเลตต์และแพคการ์ดจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนกันในปี 1939 และก่อนจะทันข้ามปี บริษัทเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ได้ย้ายสำนักงานออกจากโรงเก็บรถโกโรโกโสออกมาอยู่ในอาคารขนาดย่อมใกล้ ๆ กัน เริ่มมีการจ้างพนักงานประจำ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับค่าใช้จ่าย จนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัททั้งสองได้รีไทร์ตัวเองไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทิ้งให้จอห์น เอ. ยัง เป็นประธานบริหารบริษัทสืบมา โดยจำนวนพนักงานในสังกัดทั่วโลกมีอยู่ 84,000 คน ซึ่งเป็นพนักงานในอเมริกาถึง 56,000 คน

เอช-พีติดกลุ่ม 1 ใน 100 บริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาผลิตภัณฑ์กว่าหมื่นชนิดของบริษัท มีตั้งแต่ระบบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การทดลองและมาตรวัด เครื่องคิดเลข อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงอุปกรณ์และระบบวิเคราะห์ทางเคมี สำหรับในไทยเราถ้าจำไม่ผิด การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. สมัยมหาจำลองเมื่อสองปีก่อน ก็อาศัยคอมพิวเตอร์ของฮิวเลตต์-แพคการ์ดนี่แหละ นับและรวมคะแนนเลือกตั้งโดยความเอื้อเฟื้อจากบริษัทไทยประกันชีวิต

หนุ่มสาวไม่น้อยที่จบมหาวิทยาลัยออกมา ต่างใฝ่ฝันที่จะเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ คนนอกอยากเข้า แต่คนในนั้นเข้ามาแล้วไม่ค่อยอยากออกนักหรอก ว่ากันว่าบริษัทให้โอกาสความก้าวหน้าแก่พนักงานทุกคนอย่างพอเพียงทีเดียว

ลู ฮอยดา ผู้เชี่ยวชาญด้านไฮ-เทคคนหนึ่งในวงการกล่าวว่า "เอช-พีเติบโตขึ้นเท่าไหร่ โอกาสก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น แทนที่แผนกเดียวจะจุคนไว้ถึง 500 คน บริษัทจะแบ่งซอยออกเป็น 5 แผนก ๆ ละ 100 คนแทน วิธีนี้ทำให้มีผู้จัดการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 คน แทนที่จะมีแค่คนเดียว"

ในปี 1985 เอช-พีมีผู้จัดการและหัวหน้างานมากถึง 9,282 คน ขณะที่ย้อนหลังไป 5 ปีคือปี 1980 มีเพียง 5,830 คนเท่านั้น นอกจากนี้บริษัทยังเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีส่วนรวมอยู่ในกระบวนการจัดการระดับต่าง ๆ ด้วย ทำให้การทำงานมีความคล่องตัวสูง

แมทท์ โอ" เบรียน วัย 34 ปัจจุบันเป็นผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทที่คูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย ทำงานกับบริษัทมานานกว่า 10 ปีแล้ว ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นลำดับ นับจากวิศวกรออกแบบด้านวัสดุกึ่งตัวนำ เลื่อนเป็นผู้จัดการโครงการ ผู้จัดการแผนกและในที่สุดก็มาถึงผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาดังกล่าว ซึ่งนับเป็นผู้จัดการระดับกลางซึ่งมีคนในคอนโทรลถึง 70 คน

เขาบอกว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ ก็เนื่องจากบริษัทให้โอกาสแก่พนักงานทุกคน มีความเป็นตัวของตัวเองในการตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมายที่ฝ่ายบริหารไว้วางใจ หลายครั้งที่มีคนมาเสนอให้เขาออกจากที่นี่แต่เขาปฏิเสธไปทุกครั้ง "ผมรักคนที่นี่ทั้งที่ทำงานในระดับบน ระดับล่าง และระดับเดียวกันกับผม" เขาตอบอย่างปลื้มมาก

ความไว้วางใจที่บริษัทให้กับพนักงานแต่ละคน เป็นแรงสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ โอ"เบรียนบอกว่า "บริษัทอื่นมักหยุมหยิมกับเรื่องชั่วโมงทำงาน การรายงานความสัมพันธ์ และการดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด พวกนี้ไม่มีในเอช-พี พนักงานได้รับมอบหมายงานพร้อมกับอิสรภาพและการให้กำลังใจเพื่อบรรลุเป้าหมาย เมื่อคุณได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเพียงนี้แล้ว ก็ไม่ต้องพูดกันละว่าจะมีใครคิดทรยศ ตรงกันข้าม ยิ่งต้องทำงานมากขึ้นไปอีก"

ความจงรักภักดีที่พนักงานให้แก่บริษัท ก็คือผลตอบสนองจากที่บริษัทจงรักภักดีต่อพนักงานนั่นเอง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงาน ไม่มีสภาพเหมือนป่าคอนกรีตที่เย็นชาสำหรับที่นี่ ตรงกันข้ามสิ่งแวดล้อมในการทำงานน่าตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เพราะบริษัทจะคอยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งหมายถึงโปรเจคท์ ใหม่ ๆ ในการทำงานด้วย

เท่าที่ฟังมาเหมือนเลิศสะแมนแตนมาก แต่เอช-พีก็ยังไม่ถึงกับเป็น "ยูโทเปีย" เสียทั้งหมด โอ'เบรียนให้ความเห็นว่า การขยายตัวของบริษัทยิ่งมีมากเท่าไหร่ สายการสื่อสารภายในก็ยิ่งแคบลง หลักการพื้นฐานของบริษัทที่ฝ่ายจัดการระดับสูงต้องลงมาสัมพันธ์กับพนักงานระดับล่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป ตอนที่เขามาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ ทุกแผนกของบริษัทจะต้องมีอยู่วันหนึ่งในรอบปีที่รู้จักกันในนามวันประเมินผลของแผนก "ผู้ใหญ่จะลงมาหาพนักงานและใช้เวลาทั้งวันตรวจตราผลิตภัณฑ์ เดินไปรอบ ๆ และพูดคุยกับลูกน้องอย่างทั่วถึง"

ขณะนั้นอาจทำได้เพราะยังมีแผนกต่าง ๆ เพียง 15 แผนก แต่ครั้นขยายออกไปเป็นมากกว่า 55 แผนกเมื่อ 6 ปีก่อน วิธี "การจัดการแบบชีพจรลงเท้า" ก็มีอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากต้องใช้เวลามากเกินไป จนถึงปัจจุบันโอ'เบรียนบอกว่า "ผมไม่คิดว่าประธานบริษัทจะรู้ถึงความเป็นไปในระดับล่าง" ลำพังตัวเขาเอง ช่องว่างที่มีกับจอห์นยัง เคยมีเพียงผู้จัดการ 4 ระดับแต่มาวันนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7 หรือ 8 ขั้นไปแล้ว

โอ'เบรียนเข้ามาอยู่กับเอช-พีหลังจากผิดหวังกับบริษัทเก่า แต่สก็อตต์ หวัง เพิ่งจบปริญญาโทมาสด ๆ ร้อน ๆ ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อปี 1972 และไต่บันไดความก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากกเป็นวิศวกรออกแบบที่บริษัทสาขาโคโลราโด ซึ่งเขาเคยทำมาในช่วง 5 ปีก่อนหน้านั้น ก็ได้รับการโปรโมทขึ้นเป็นผู้จัดการโครงการ และย้ายที่ทำงานมาอยู่อีกแห่งหนึ่ง ในมลรัฐเดียวกัน อีก 5 ปีต่อมาเขาก็ขึ้นเป็นผู้จัดการแผนก

ในอนาคตหวังอาจได้เป็นผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา "ปัญหาอยู่ที่ว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่ และตัวผมจะอยู่ในไลน์หรือไม่" เขาบอกอย่างมีหวัง

สำหรับเขานั้น เอช-พีเป็นเสมือนบ้านไปแล้ว และไม่มีเหตุผลที่จะต้องจากไปเพราะเป็นงานอาชีพที่มีทั้งความหลากหลายและท้าทายอยู่เสมอ มีโครงการใหม่ ๆ ให้เขาได้ทำอยู่เรื่อย ๆ เขาต้องดูแลในด้านเครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์แบบบริหารซอฟท์แวร์ และสถานีหน่วยงาน หวังก็เป็นเช่นเดียวกับวิศวกรจำนวนมากของบริษัทที่ไม่เคยคิดจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการได้ คิดเพียงว่า ทำงานในฐานะวิศวกรให้ดีที่สุด แต่เมื่อวันหนึ่งโอกาสมาถึง เขาก็ไม่รีรอที่จะคว้ามันไว้

"ผมไม่รู้ว่าจะมีความสามารถพอหรือเปล่า แต่ผมก็เรียนรู้จากงาน" และที่สำคัญเขายังสนุกกับงานมากจนต้องบอกว่า "ผมมองไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยนงานเลย ในเมื่อผมก็มีความสุขดีได้ทำในสิ่งที่ต้องการเงินดีมีบำเหน็จ แล้วทำไมผมต้องออกด้วยละจริงมั้ย" อย่างไรก็ตามเขาเห็นพ้องว่าปัจจุบันระบบงานของบริษัทรวมศูนย์มากขึ้น ทำให้สายการสื่อสารยืดยาว และยุ่งยากขึ้น รวมทั้งกินเวลานานขึ้นอีกด้วย "ตรงนี้แหละที่คนอย่างผมคงจะผิดหวังบ้าง มาเจอเข้าอย่างนี้ขณะที่เครื่องกำลังร้อนที่จะรันโปรเจคใหม่ ๆ ออกมา"

ไม่เสียทั้งหมดที่รักงานจนไม่อยากออกเหมือนคนทั้งสองที่กล่าวมา จิม คาปราโลส เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ตัดสินใจลาออกมาหลังจากทำงานอยู่กับเอช-พีนาน 7 ปี(1969-76) ตำแหน่งสุดท้ายเขาเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลของส่วนงานข้ามทวีป เหตุผลที่เขาต้องละทิ้งบริษัทที่มีความมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา เป็นเพราะว่า เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความสะดวกและการส่งเสริมอย่างเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เขาคิดว่าบริษัทจำเป็นต้องทำ

"ผมคิดว่าผมก็เป็นนักบริหารที่ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อผมเห็นส่วนที่คิดว่าต้องปรับปรุงและผมตั้งใจจะปรับปรุงแล้ว ผมก็จะพูดออกมา ถ้ามันมีคุณค่าก็ควรได้รับการนำไปปฏิบัติ" แม้จะพูดถึงข้อเสียแต่คาปราโลส ยังมีความรู้สึกด้านบวกเมื่อย้อนนึกถึงวันเวลาที่เคยอยู่กับ เอช-พี เขายกย่องนายจ้างในอดีตของเขาว่า "บริหารแบบไม่เป็นทางการและไม่มีโครงสร้างที่ยุ่งยาก เอช-พีพยายามทุกอย่างที่จะลดหรือขจัดสัญลักษณ์เกี่ยวกับฐานหรือตำแหน่ง ให้มากที่สุด"

การบริหารแบบไม่เป็นทางการของเอช-พีนี้สร้างความพอใจให้แก่พนักงานทุกระดับก็ว่าได้ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทที่ชื่อจอห์นสัน คุยเสริมว่า "คนที่จบออกมาใหม่ ๆ จะปรับตัวได้ง่ายมากเพราะสิ่งแวดล้อมที่นี่คล้ายคลึงกับสภาพในมหาวิทยาลัย ทุกคนจะเรียกชื่อหน้ากัน เสื้อผ้าก็ใส่กันตามสบาย เมื่อเราจ้างคนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามา เราจะให้ความรับผิดชอบพวกเขาทันที เราไม่เชื่อในการฝึกงานที่กินเวลานาน แต่เราจะรีบบรรจุเดี๋ยวนั้นและให้พวกเขาฝึกฝนไปพร้อมกับการทำงานเลย"

ในปี 1986-87 เอช-พียังจำกัดโควต้าพนักงานใหม่ 700 คนเท่าเดิม แต่ในระยะถัดไปคือ 1987-88 จอห์นสันคาดการณ์ว่าบริษัทคงสามารถกลับไปเพิ่มโควต้าได้เท่าเดิมคือ 1,200-1,500 คน เพราะมองในแง่ดีว่า มินิคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดปีนี้จะเอาชนะคู่แข่งขันได้สบาย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us