|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดัชนีมาม่า ชี้วิกฤตเศรษฐกิจไทยรอบ 6 เดือน ถึงจุดต่ำสุด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอาหารยาใจคนกำลังซื้อน้อย โตพรวด 13% เป็นตัวเลขสองหลักครั้งแรกรอบ 10ปี เร่งส่งมาม่า คัพ ไฟท์ติ้งแบรนด์ 10 บาท หั่นราคา 3 บาท รับความต้องการตลาด ชะลอปั้นบะหมี่ฯ พรีเมียม ปรับยุทธศาสตร์ส่งออก
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์มาม่า เปิดเผยว่า ผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกปี 2552 มีประมาณ 3,559 ล้านบาท เติบโต 9% ซึ่งกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า เติบโต 13% โตสองหลักครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี เพราะอานิสงส์จากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งตัวเลขการเติบโตของมาม่า เป็นดัชนีชี้วัดสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ถดถอย หรือเรียกว่าอยู่ในจุดต่ำสุดแล้วในช่วงที่ผ่านมา
“ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย ยังส่งผลให้กลุ่มบิสกิสยอดขายตกลง 20% ขณะที่สภาพตลาดตกลง 30-40% ส่วนกลุ่มบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วย ตลาดเติบโต 11% เทียบช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดเติบโต 30% อต่อเนื่อง เพราะราคาบะหมี่ถ้วยสูงถึง 12 บาท เมื่อเทียบกับบะหมี่ซองราคา 6 บาท นอกจากนี้บริษัทยังได้ชะลอการเปิดตัวบะหมี่ฯ พรีเมียม 2 รสชาติ เนื่องจากราคาสินค้าไม่สอดคล้องกับกำลังซื้อ ”
ล่าสุดเปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุภัณฑ์ถ้วยไฟท์ติ้งแบรนด์ รสโปรตีนไข่ และซุปไก่ ราคา 10 บาท ขนาด 50 กรัม เมื่อเทียบกับบะหมี่ฯ ถ้วยปกติ ขนาด 50 กรัม ราคา 13 บาท รองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการจับจ่าย หลังจากในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวบะหมี่ฯ ชนิดซองราคา 5 บาท จากราคาในตลาด 6 บาท ส่งผลให้ทั้ง 2
รสชาติ มีส่วนแบ่ง 5% หรือมียอดขาย 5 หมื่นหีบต่อเดือน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจแย่ถึงจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าจากการเปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยไฟต์ติ้งแบรนด์ ผลักดันส่วนแบ่ง 10% หรือ 4-6 หมื่นหีบต่อเดือน
ภาวะตลาดบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงเดือนมกราคม – กรกฎาคม เติบโต 3% คาดว่าทั้งปีเติบโต 3-5% จากมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยชนิดซองตลาดโต 3% ซึ่งมาม่ามีแชร์เพิ่มจาก 50.9% เป็น 51.4% และชนิดถ้วยตลาดโต 7% ซึ่งมาม่ามีส่วนแบ่งลดลงจาก 59.3% เป็น 58.4% อย่างไรก็ตามจากการเปิดตัวบะหมี่ถ้วยไฟต์ติ้งแบรนด์ผลักดันส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 60% ในสิ้นปีนี้ โดยส่วนแบ่ง 7 เดือน มาม่าเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 53.4% เป็น 53.9% ไวไว 23% และยำยำ 20%
นายพิพัฒ กล่าวว่า การขยายตลาดต่างประเทศช่วงที่ผ่านมาได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ จากเดิมเน้นพัฒนาสินค้าสนองความต้องการของตลาดมาเป็นการสร้างตลาดใหม่ โดยได้แต่งตั้งทีมการตลาด ดูแล 5 โซน แต่ละโซนต้องขยายตลาดใหม่ 5 ประเทศต่อปี ซึ่งปีนี้กำลังอยู่ระหว่างขยาย 2 ประเทศ ได้แก่ โรมาเนีย และเปรูมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย
นอกจากนี้ยังได้ทำโปรโมชันเมื่อสั่งซื้อ 20 หีบ รับฟรี 1 เพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดการสั่งซื้อสินค้า เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ดังกล่าวส่งให้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกเติบโต 21% หรือทั้งปีมีรายได้เติบโต 25% จาก 1,800 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 1,500 ล้านบาท
ในปีหน้านี้บริษัทจะส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วย จากที่ผ่านส่งออกบะหมี่ฯ ชนิดซองเป็นหลัก ในรูปแบบการรับจ้างผลิตหรือนำแบรนด์มาม่าไปจำหน่าย โดยบริษัทมีตลาดหลักในยุโรปและเยอรมัน และได้ทุ่มงบ 160 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักร 2 ไลน์ ขยายกำลังการผลิตอีก 10% จาก 6 ล้าน เป็น 7 ล้านซอง
โดยสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าโต 9% หรือมีรายได้ 9,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 8,000 ล้านบาท ส่วนอีก 2 ปี คาดว่ามีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท
นายพิพัฒ กล่าวว่า บริษัทมีความกังวลเกี่ยวกับวัตถุดิบปรับราคาขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแป้งสาลีต้องนำเข้ามาอเมริกา และขณะนี้กำลังพิจารณาหาวัตถุดิบอื่นๆ มาทดแทน จากที่ผ่านมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นมาน้ำมันถั่วเหลืองหรือข้าวโพด โดยบริษัทลดความเสี่ยงด้วยการสั่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าถึงสิ้นปีนี้ และกำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองราคาวัตถุดิบในปีหน้านี้
“เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 70% ดังนั้นภาครัฐต้องพิจารณาดูศักยภาพของคู่ค้า กลุ่มจี 7 หรือจี 8 โดยเฉพาะอเมริกาเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากอัตราการว่างงานที่ลดลง หรือกระทั่งประเทศจีนท่ามกลางที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ยังมีการเติบโต 7-8% อย่างไรก็ตามมองว่าเศรษฐกิจคงไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้ แต่อาจฟื้นตัวช้าหรือเป็นตัวยูมากกว่าวี” นายพิพัฒ กล่าว
|
|
|
|
|