ไม่มากคนนักหรอกที่จะโชคดีมีโอกาสเข้าไปชมกระบวนการผลิต การบริหารงานภายในตลอดจนการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด
ชนิที่เรียกว่าเจาะเข้าไปเก็บรายละเอียดจนเกือบจะทุกรูขุมขนของ พีแอนด์จี
ได้ง่าย ๆ
จะเป็นเพราะความเมตตาปราณี หรือชื่นชมในฝีไม้ลายมือที่เฝ้าติดตามมาหลายปีดีดักก็ยากแท้จะรู้ได้
แต่ที่แน่ ๆ ในหมู่คนจำนวนน้อยที่จะตกทองก้อนใหญ่ ก็รวมเอา วินิจ สุรพงษ์ชัย
จอมยุทธโฆษณาของเมืองไทยอยู่ด้วยคนหนึ่ง
และที่น่าแปลกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า โดยปกติพีแอนด์จี มอบความไว้เนื้อเชื่อใจด้านทำโฆษณาสินค้าทุกตัวกับบริษัท
ซาทชิ แอนด์ ซาทิ (ปัจจุบันเข้ามาบริหารเทดเบสท์) ทว่าวินิจกลับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของ
เอสเอสซี แอนด์ บี ลินตาส ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของซาทชิและเป็นคีย์สำคัญที่ลินตาสหมายมั่นจะให้คุมตลาดเอเชีย
แล้วทำไมจู่ ๆ วินิจถึงเข้าไปในพี แอนด์ จี?
"ผมก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร บอกได้ก็เพียงว่าปกติ
พี แอนด์ จี ไม่ปล่อยให้คนนอกเข้าไปล่วงรู้เส้นสนกลในได้ง่าย ๆ วินิจเองยังพูดให้ฟังว่า
เขานั้นทึ่งกับ พี แอนด์ จี มากขนาดแผนกวิจัยและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ยังใช้คนร่วม
300 คน" เพื่อนสนิทของวินิจกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
"ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวินิจถึงมีโอกาสเช่นนี้ได้ ว่าไปแล้วควรจะเป็นคนของริชาร์ดสัน
วิคส์ที่น่าจะได้รับสิทธิ์นี้มากกว่า แต่ถ้าดูถึงยุทธิวิธีทำสงครามตลาดของ
พี แอนด์ จีแล้วเขามุ่งใช้กระสุนด้านโฆษณามากอาจจะเป็นไปได้ว่าพี แอนด์ จีกำลังเดินหมากจับหัวใจด้านนี้ให้ถึงแก่น"
ผู้บริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ท่านหนึ่งกล่าว
ไม่ว่าพี แอนด์ จี จะเดินหมากสองชั้นสามชั้นอย่างไรนั้นนั่นเป็นปรากฏการณ์ในอนาคตที่จะต้องติดตามดูกันต่อไป
แต่กล่าวโดยตัวของ วินิจ สุรพงษ์ชัยเพลย์บอยกลับใจวัย 47 ปีที่ชอบกล่าวกับใคร
ๆ เสมอว่า "ผมมันคนแปลกเข้าสู่วงการไหนบางทีก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรนัก"
ก็เพราะคำกล่าวอย่างนี้ ยิ่งทำให้เขาต้องเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น !
วินิจ สุรพงษ์ชัย เกิดในครอบครัวที่ทำงานผลิตกล่องกระดาษลูกฟูก ทางบ้านต้องการที่จะเห็นเขาเป็นวิศวกรหรือไม่ก็นักวิทยาศาสตร์
แต่เจ้าตัวกลับเถลไถลไปเอาดีทางด้าน อินดัสเตรียล ดีไซน์ โดยจบการศึกษาด้านนี้จากวิทยาลัยเลสเตอร์ประเทศอังกฤษ
แต่วิชาที่ร่ำเรียนมากลับนำความท้อแท้ใจมาให ้เมื่อมาทำงานและได้ออกแบบโต๊ะตัวหนึ่งที่ตัวเองคิดว่ามันสุดยอดแล้ว
ทว่าในด้านตลาดกลับล้มเหลวไม่มีชิ้นดีเนื่องจากสินค้ามีราคาแพงเกินไป จากจุดนี้เลยทำให้ต้องหันเหเปลี่ยนวิชาชีพกลับมาช่วยทางบ้านทำกล่องขาย
เป็นเพราะธุรกิจทางบ้านไม่ใหญ่โตมากนัก เมื่อต้องปะทะกับคู่แข่งที่มีกำลังเหนือกว่าในที่สุดเขาก็ต้องขายกิจการให้กับต่างชาติก่อนที่หนี้สินจะบานทะโร่ไปทั้งเมือง
บทเรียนของความพ่ายแพ้ครั้งนั้นเป็นครูที่ดียิ่งสำหรับเขา เป็นความฝังใจที่ยากนักจะลืมเลือน
วินิจหอบหิ้วเอาบาดแผลและความเจ็บปวดเข้าไปสมานในรังของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์
แต่เขาก็ทำงานที่นี่ได้เพียงสองปีกว่า ๆ ก็ชิงลาออก ด้วยเหตุผลที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เจ้าตัวบอกว่า
"ไม่อาจทนฝืนบางสิ่งบางอย่างต่อไปได้ การทำงานช่วงนั้นเป็นการฝืนจริง
ๆ"
เพื่อนสนิทของวินิจบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "สมัยนั้นวินิจเป็นนักเที่ยวตัวยง
เขาเที่ยวแบบหัวราน้ำอาจเป็นเพราะความเก็บกดหลาย ๆ อย่าง"
แต่สองปีในเบอร์ลี่ฯ ยักษ์ใหญ่ด้านคอนซูเมอร์ โปรดักซ์อีกรายหนึ่ง ได้สอนอะไรต่อมิอะไรหลายสิ่งหลายอย่างให้วินิจเรียนรู่ช่องทางหนีทีไล่ในตลาดสินค้ายังจดจำมั่นอยู่ในสมอง
และพร้อมเสมอที่จะถูกจุดประทุนำขึ้นมาใช้ได้ทุกเมื่อ
หากเป็นความต้องการของเขาและของใครก็ได้ที่อยากจะโด่งดังในตลาดนี้
หลังจากออกจากงานที่เบอร์ลี่ฯ เคว้งคว้างอยู่ระยะหนึ่งจนถูกเพื่อนดึงตัวให้เข้าไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารลูกค้า
(เออี) กับลินตาส และที่นี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญของวินิจ เขาพลิกผันชีวิตใหม่จากดำเป็นขาวในไม่กี่พริบตา
สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว
สินค้าหลายตัวผ่านมาในมือของเขา!
สินค้าเกือบทุกตัวถูกเขาอ่านเสียจนทะลุปรุโปร่ง!!!!
ในสงครามการตลาดโดยเฉพาะ BATTLE CONSUMER ซึ่งไม่ใช่สงครามเบ็ดเสร็จแบบต้องกรีฑารุกขยี้ให้ย่อยยับแป็นผุยผงในครั้งเดียว
หากแต่ต้องมากไปด้วยลีลาลูกเล่นอันแพรวพราว แน่นอนสิ่งเหล่านี้วินิจซึมซับมาพอตัวทีเดียว
เขาอาจไม่ใช่มือกระบี่ที่หนึ่ง แต่แน่ล่ะเขาก็ย่อมไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน!!!
ด้วยความไม่ตั้งใจเมื่อ 14 ปีก่อนที่ปักหลักอยู่กับลินตาสวันนี้วินิจ สุรพงษ์ชัย
พิสูจน์คุณค่าและความสามารถของเขาให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เพชรเม็ดงามหากได้รับการเจียระไนอย่างพิถีพิถันก็พร้อมที่จะเจิดจรัสเปล่งแสงแวววาว
จากอดีตเออีตัวเล็ก ๆ วินิจได้ผลักดันตัวเองให้ก้าวถึงระดับกรรมการผู้จัดการ
เป็นถึงมืออันดับ 3 ของลินตาส เอเจนซี่โฆษณาที่มีบิลลิงสูงสุดของเมืองไทยในปัจจุบัน
วินิจยังเป็นคนที่รักเด็กเขาเคยตั้งความหวังไว้ว่า ช่วงหนึ่งของชีวิตอยากทำอะไรเพื่อเด็ก
ๆ บ้างไม่ว่าจะเป็นงานด้านโฆษณาที่กำลังจับอยู่ หรือด้านไหนก็ได้ที่เปิดโอกาสให้เขาเข้าไป...ทุกวันนี้วินิจต้องโม่งานอย่างหนักและดูเหมือนวันข้างหน้าอาจจะหนักขึ้นเป็นสองเท่า
เพราะเดี๋ยวนี้ติดต่อไปถึงเขาทีไร ก็ได้แต่เสียงตอบรับจากเลขาฯหน้าห้องว่า
"คุณวินิจไปต่างจังหวัด" จนทำให้สิ่งที่เราอยากรู้ต้องค้างคาเป็นปริศนา
"ผู้จัดการ" จึงไม่อาจคอมเมนท์อะไรไปได้มากไปกว่าที่หลาย ๆ คนสงสัยกันว่า
ทำไมวินิจจึงสามารถเข้าไปดูงานใน พี แอนด์ จีที่อเมริกาได้อย่างชนิดที่คาดไม่ถึง...แต่พรุ่งนี้ของวินิจจะเป็นอย่างไรนั้นคำตอบนี้ใช่ว่าจะล่องลอยอยู่ในสายลม
จากความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสม หากจะเป็นเครื่องการันตีให้มีใครอีกคนได้หลงชื่นชมในตัวเพลย์บอยกลับใจผู้นี้
ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปมิใช่หรือ?