รัฐบาลนางอาคิโนแห่งฟิลิปปินส์กำลังหัวปั่นในกรณีโรงงานผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุด
ซึ่งมีส่วนพัวพันกับมาร์กอส-อดีตประะานาธิบดีผ้เองอำนาจเป็นข่าวอื้อฉาวมาก
ๆ ข่าวหนึ่ง…
ในประเทศไทย คงไม่มีใครคาดคิดกันว่า โรงงานผลิตยาอันทันสมัยที่สุดของประเทศ
ซึ่งกำลังรอฤกษ์ดีเปิดอย่างเป็นทางการนั้น มีสายโยงใยเกี่ยวข้องกับมาร์กอสด้วยดุจเดียว
โรงงานผลิตแอมพิซิลิน และเอมอคซี่ซิลินแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมนวนคร
ปทุมธานี ทางเหนือของกรุงเทพฯ ชั่วเดินทางโดยรถยนต์จากใจกลางเมืองหลวงไม่เกิน
1 ชั่วโมง
อาคารโรงงานและเครื่องจักรมูลค่าประมาณ 85 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 9
ไร่ซึ่งซื้อมาด้วยราคา 4,237,439 บาท!!!
เป็นโรงงานผลิตยาขั้นกลาง (INTERMEDIATE) แห่งแรกที่รัฐวิสาหกิจไทยองค์การเภสัชกรรมเข้าถือหุ้นมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ยาปฏิชีวนะประเภทนี้ที่ผ่านมาต้องนำเข้าตลอดมา นับเป็นโรงงานผลิตยาที่ก้าวหน้ากว่าการบรรจุหีบห่อ
ผสมดุจเดียวกับโรงงาน 99% ในประเทศไทย
เป็นโรงงานที่พยายามต่อสู้ขวากหนามมาเกือบ 7 ปีเต็ม จากความคิดริเริ่มตั้งแต่ปี
2523 อันเป็นปีที่เมืองไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาจากต่างประเทศมีมูลค่าถึง 8,200
ล้านบาท จนถึงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 และเปิดเดินเครื่องผลิตเพื่อการค้า
วันที่ 1 ตุลาคม 2529 ด้วยกำลังการผลิตเพียง 20% ของความสามารถการผลิตเท่านั้น
ขณะนี้กำลังรอฤกษ์พิธีเปิดอย่างเป็นทางการอยู่
เป็นโรงงานที่วงการยาในประเทศไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างเอนจอยปาก ถึงขั้นตั้งคำถามไปที่จุดเริ่มต้นว่า
มันมีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยาเมืองไทยหรือไม่? คุ้มกับการลงทุนร่วม 200 ล้านบาทสักเพียงใด
ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาเพียง 20% ของกำลังการผลิตขายไม่ออกต้องบังคับให้ผู้ถือหุ้นซื้อในราคาที่แพงกว่านำเข้าจากต่างประเทศระหว่าง
10-20% ทั้งวัตถุดิบต้องนำเข้าถึง 80% ด้วย
และ "ผู้จัดการ" สืบค้นพบว่า โรงงานแห่งนี้เป็นผลแห่งความร่วมมือระหว่างผู้อำนวยองค์การเภสัชกรรม
นายแพทย์ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ ผู้นั่งเก้าอี้ตัวนี้นานถึง 6 ปี กับเพื่อนสนิทของมาร์กอส
อดีตประธานาธิบดีไร้แผ่นดินของฟิลิปปินส์
สิ่งที่ "แปลกประหลาด" นี้เป็นคำถามที่รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
จากผู้เกี่ยวข้องและสนใจ!!!
โรงงานผลิตยาปฏิชีวนะแห่งนี้ใช้ชื่อว่าบริษัทยูไนเต็ดฟาร์มา แอนตี้ไบโอติคส์
อินดัสตรีส์ (ยูพีเอ)
คนสำคัญที่สุดที่ลุ้นเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ยังยึดเก้าอี้ประธานกรรมการบริษัทนี้อยู่คือนายแพทย์ยงยุทธ
สัจจวาณิชย์วัย 59 ปี ชาวยโสธร ผู้คลุกคลีกับวงการแพทย์ในภาคเหนือไม่ต่ำกว่า
15 ปี เริ่มต้นด้วยการสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีในปี
2518 และหลังจากนั้นเพียงปีเดียวก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พร้อม ๆ กับดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารกลาง พอ. สว. (แพทย์อาสาของสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ฯ)
เขาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในรัฐบาลหอยธานินทร์ กรัยวิเชียร ระยะหนึ่ง และกลับดำรงตำแหน่งเดิมอีกครั้งในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์
ชมะนันท์เป็นนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2522 อันเป็นวาระสุดท้ายของการเป็นรัฐมนตรี
ความคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยของเขาก็เกิดขึ้น
ต่อจากนั้นนายแพยท์ยงยุทธ ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมและอยู่ที่นี่นานถึง
6 ปีเต็ม นานพอจะเดินเครื่องโครงการใหญ่ ๆ เกือบ 200 ล้านบาทได้สำเร็จ ตามสไตล์การบริหารงานแบบไทย
หากลงเก้าอี้แล้วยากจะหาคนสานโครงการต่อไป
ความคิดของเขาเริ่มเป็นจริงเป็นจังเมื่อกำหนดแผน 5 ปีขององค์การฯ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาของประเทศฉบับที่
5 โดยสาระสำคัญประการหนึ่งระบุว่าจะผลิตเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมยาในประเทศ
"ผมใช้เวลาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการถึง 2 ปี" นพ. ยงยุทธ
สัจจวาณิชย์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ก่อนที่แผน 5 ปีขององค์การเภสัชกรรมจะบรรจุโครงการดังกล่าวเอาไว้ด้วย
ต่อจากนั้นก็คือการเดินทางไกลตามขั้นตอนของทางราชการ จากสภาพัฒนา ครม.
จนถึงประกาศเชิญชวนให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าร่วมในการประมูลนานาชาติ (INTERNATIONAL
BIDDING) ซึ่งปรากฏว่ามี 14 บริษัททั่วโลกเสนอตัวเข้ามา พอผ่านการคัดเลือกคุณสมบัติสุดท้ายก็เหลือเพียง
3 ราย จากประเทศเกาหลีใต้ สเปน และฟิลิปปินส์ ในที่สุดรายหลังก็ชนะการร่วมทุน
"เพราะราคาโนวฮาวถูกที่สุด" หมอยงยุทธแจงเหตุผลสั้น ๆ และง่าย
กว่าจะได้จดทะเบียนตั้งบริษัทก็ตกถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2526
บริษัท ยูไนเต็ด ฟาร์มา แอนตี้ไบโอติคอินดัสตรีส์ (ยูพีเอ) มีทุนจดทะเบียนครั้งแรก
50 ล้านบาท ผู้ก่อการเป็นคนไทยทั้งสิ้นและก็นำทีมโดยหมอยงยุทธเอง ต่อมาเมื่อวันที่
22 กุมภาพันธ์ 2527 บริษัทได้เปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นขอแก้ไขข้อบังคับของบริษัท
สาระสำคัญอยู่ที่โครงสร้างผู้ถือหุ้น กล่าวคือระบุว่า องค์การเภสัชกรรมถือหุ้นไม่เกิน
45% ต่างประเทศถือหุ้นไม่เกิน 40% ที่เหลือเป็นภาคเอกชนไทย
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการแก้ไขครั้งนี้ก็เพื่อเปิดทางให้ฟิลิปปินส์เข้าถือหุ้นนั่นเอง
และหลังจากนั้นเพียง 3 วัน (25 กุมภาพันธ์ 2527) องค์การเภสัชกรรมได้ร่วมเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท
ยูไนเต็ด ลาบอราตอรี่ อินคอร์เปอเรชั่น ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งสัญญาดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบจากกรมอัยการเรียบร้อยแล้ว
ในวันเดียวกันนั้นบริษัท ยูไนเต็ด ฟาร์มา แอนตี้ไบโอติค (ยูพีเอ) ได้ลงนามกับบริษัท
ยูไนเต็ด ลาบอราตอรี่ อินคอร์เปอเรชั่น ในสัญญาช่วยเหลือทางด้านเทคนิคด้วย
จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2527 ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาทผู้ถือหุ้นได้ชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า
ซึ่งหมายความว่ายูไนเต็ดแลปถือหุ้น 20 ล้านบาท
คณะกรรมการยูพีเอมีทั้งหมด 11 คน ฝ่ายองค์การเภสัชกรรม 5 คน ยูไนเต็ดแลป
4 คน และเอกชนไทย 2 คน แต่ที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ กรรมการดังกล่าวนี้
ได้คัดออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 4 คน กลุ่มแรกเป็นฝ่ายองค์การเภสัช ส่วนอีกกลุ่มเป็นฝ่ายยูไนเต็ดแลป
กรรมการสองกลุ่มนี้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนในนามบริษัทจะต้องลงนามฝ่ายละ
1 คน
นักกฎหมายชี้ว่าฝ่ายฟิลิปปินส์แม้ถือ หุ้นเพียง 40% ก็มีอำนาจมากถึงกึ่งหนึ่งในการบริหารงาน
ต่อมาคณะกรรมการยูพีเอได้ตัดสินใจเลือกนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ตำบลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง
ปทุมธานีเป็นที่ตั้งโรงงาน "โรงงานประเภทนี้ต้องมีระบบถ่ายเทของน้ำดีมาก"
นายแพทย์ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ บอกเหตุผลในการเลือกที่นี่ แทนการหาทำเลเองทั้งจะต้องจัด
WATER TREATMENT เองเช่น โรงงานประเภทเดียวกันนี้ในย่านพระประแดง
ที่ดินเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ราคา 4,237,439 บาทและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมที่อีก
1,650,000 บาทด้วย
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2527 ได้ทำสัญญากับบริษัทที่ปรึกษา RESOURCES ENGINEERING&CONSULTANTS
(REC.) เพื่อออกแบบโดยละเอียดเกี่ยวกับโรงงาน และควบคุมการก่อสร้างเฉพาะอาคาร
(CIVIL WORK) และเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านงานก่อสร้างและขบวนการผลิต (PROCESS)
ของยูไนเต็ดแลป แห่งฟิลิปปินส์ได้เดินทางมาให้คำแนะนำรายละเอียดประกอบแบบแปลนพร้อมทั้งได้ส่งมอบรายละเอียดเครื่องจักรกล
ที่จะต้องจัดหามาติดตั้งโรงงาน จนเป็นที่เรียบร้อยและเดินทางกลับไปเมื่อปลายเดือนธันวาคม
ปีเดียวกัน
เริ่มศักราชใหม่ปี 2528 ได้ดำเนินการจัดหาบริษัทก่อสร้างเริ่มตั้งแต่สืบราคารับซองประกวดราคา
เปิดซองก็ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งปรากฏว่าบริษัท เวสกรุ๊ป (VEST GROUP)
ของวิกรม เมาลานนท์ ชนะการประมูลครั้งนี้ในราคาประมาณ 25 ล้านบาทเริ่มแรกคิดกันว่า
จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8-10 เดือนแต่เอาเข้าจริงก็เลื่อนออกไปจากเดิมประมาณ
เดือนมีนาคม 2529 เป็นเดือนกันยายนปี เดียวกัน
"หนึ่ง-บริเวณก่อสร้างโรงงาน มีชั้นดินแข็งเกินกว่าที่วิศวกรที่ปรึกษาคำนวณไว้ทำให้ขนาดความยาวของเสาเข็มที่กำหนดไว้ตอนแรก
21 เมตร ยาวเกินไป ต้องมีการลดขนาดความยาวของเสาเข็มลงเหลือ 15-16 เมตร และต้องตัดเสาเข็มบางต้นอีก
ทำให้ผู้รับเหมาต้องเสียเวลาในการสั่งหล่อเสาเข็มใหม่ และตัดเข็ม สอง-แบบของวิศวกรที่ปรึกษามีปัญหา
และไม่ชัดเจน ต้องแก้ไขเพิ่มเติม สาม-เนื่องจากฤดูฝนมาเร็ว และยาวนานกว่าปกติ
ทำให้เป็นอุปสรรคในการทำงาน และสี่-งานบางอย่างเช่นการทำพื้นอาคารผลิต การทาสี
ต้องรอให้เครื่องจักรกลเสร็จก่อน" นี่เป็นเหตุผลที่ผู้รับเหมานำมาอ้างกับยูพีเอ
โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับแต่อย่างใด
ส่วนเครื่องจักรและส่วนประกอบในการผลิตยานั้นแต่เดิมกำหนดไว้ว่าสามารถจัดหาได้ภายในประเทศส่วนหนึ่งหรือมีมูลค่าประมาณ
21 ล้านบาท แต่ยูไนเต็ดแลปอ้างว่ายังไม่ได้มาตรฐาน ตามสเปคที่กำหนดจึงจัดซื้อได้เพียง
9 ล้านบาท ที่เหลือจำเป็นต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศโดยครั้งแรกประมาณกว่า
55 ล้านบาท แต่ด้วยการลดค่าเงินบาท ค่าเครื่องจักรจึงเพิ่มขึ้นเป็น 60,612,521.47
บาท
"ที่จริงไม่ใช่ปัญหาการลดค่าเงินบาทหรอกเป็นปัญหาเทคนิคอื่น ๆ มากกว่า"
ผู้รู้เหตุการณ์ดีคอมเมนต์
วันที่ 22 มกราคม 2528 ยูพีเอได้เลือกรับความช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารกสิกรไทย
ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าอีก 2 ธนาคารที่เสนอตัวเข้า (CITIBANK และ BANK
OF AMERICA) ในจำนวนเงิน 125 ล้านบาท หลังจากนั้นครึ่งเดือนจึงได้ทำสัญญากู้เงินอย่างเป็นทางการ
สัญญามีรายละเอียด หนึ่ง-เงินกู้ยืม เพื่อเครื่องจักรในประเทศ 27 ล้านบาท
(แต่ความจริงซื้อได้เพียง 9 ล้านบาท ที่เหลือต้องนำเข้า) สอง-เงินกู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศ
50 ล้านบาท สาม-เงินกู้ยืมเพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ 28 ล้านบาท และสี่-เงินกู้ยืมเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนหรือ
โอ/ดีจำนวน 20 ล้านบาท โดยได้จำนองที่ดิน อาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นประกัน
สัญญากู้ยืมฉบับนี้ได้แบ่งเงินกู้ไว้หลายจำนวน ซึ่งจะต้องการชำระคืนเป็น
11 งวด ๆ ละเท่ากันและมีกำหนดชำระทุก ๆ 6 เดือนตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นไป
นอกจากนี้สัญญายังได้กำหนดเงื่อนไขบางประการเกี่ยวกับการดำเนิน และฐานะการเงินของบริษัทไว้ด้วย
ซึ่งผู้เกี่ยวข้องไม่ยอมเปิดเผยเพียงแต่กล่าวว่าหาก BREAK EVEN ยืดออกไป
ธนาคารกสิกรไทยคงไม่สบายใจนัก
โรงงานแห่งนี้เปิดทดลองเครื่องตั้งแต่ 7 กรกฎาคม 2529 เดินเครื่องผลิตเพื่อการค้า
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 ด้วยกำลังการผลิต 30 ตัน/ปี ซึ่งจนถึงปัจจุบันผลิตไปแล้วประมาณ
15 ตัน คนงานทั้งหมดของโรงงานมี 81 คน โดยมี RAMOS วัย 28 ปี จากยูไนเต็ดแลปเป็นผู้ดูแลโรงงาน
วันที่ "ผู้จัดการ" ขอเข้าชมโรงงานศาสตราจารย์นายแพทย์ยงยุทธ
สัจจวาณิชย์ประธานกรรมการบริษัทยังต้องขออนุญาตจากนายคนนี้ซึ่งเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวของบริษัทนี้อีกที
ยูไนเต็ด ลาบอราตอรี่ อินคอร์เปอเรชั่น (UNITED LABORATORIES INCORPERATION)
แห่งฟิลิปปินส์ เรียกกันสั้น ๆ ว่า ยูไนเต็ดแลป (UNITED LAB) เป็นกลุ่มธุรกิจยาที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์
มีส่วนแบ่งตลาดยาถึง 22.5% ในฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2529 หรือยอดขาย 1325.2
ล้านเปโซ (ประมาณ 57 ล้านเหรียญสหรัฐ) จากยอดขายทั้งประเทศ 5,891.8 ล้านเปโซ
(รายงานวงการอุตสาหกรรมยาในฟิลิปปินส์ฉบับล่าสุด ในการประชุมสหพันธ์อาเซี่ยน
ระหว่าง 1-6 ธันวาคม 2529 ที่กรุงเทพฯ โดย GREGORIO/SYCIP. President&General
Maneger, Blooming Field Philippines, Inc.
โจเซ่ วาย แคมโพส (JOSE Y CAMPOS) ชาวจีนโพ้นทะเล (OVERSEA CHINESE) ที่เปลี่ยนชื่อให้กลมกลืนกับสังคมฟิลิปปินส์คือเจ้าของกิจการนี้ที่เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันอายุ 65 ปี เขาจัดอยู่ในทำเนียบเพื่อนเก่าแก่และเกื้อกูลกันและกันของมาร์กอส
อดีตประธานาธิบดีผู้เถลิงอำนาจยาวนานถึง 20 ปีในฟิลิปปินส์
ด้วยเหตุนี้ยูไนเต็ดแลปจึงสามารถแสดงบทบาทกึ่งผูกขาดกิจการยาในประเทศนั้น
ซึ่งดูจะยิ่งใหญ่กว่าองค์การเภสัชกรรมไทยด้วยซ้ำ อันเป็นที่รู้กันว่า ได้รับอภิสิทธิ์มากมายในการดำเนินธุรกิจ
"ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ครั้งที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ยาของยูไนเต็ดแลป
ปลิวว่อนทั่วเมืองช่วยสนับสนุนการหาเสียงของมาร์กอส" แหล่งข่าวกล่าว
ครั้นมาร์กอสจำต้องระเห็จออกจาก ฟิลิปปินส์ โจเซ่ วาย แคมโพสได้ให้การต่อรัฐบาลใหม่ของนางอควิโน่ถึงความสัมพันธ์อันล้ำลึกของเขากับมาร์กอส!
แคมโพสกล่าวว่าเขาถือหุ้นแทนมาร์ กอสมากถึง 2.2 พันล้านหุ้นในกิจการต่าง
ๆ และเป็นกรรมสิทธิ์ (แทนเพื่อน) ในอสังหริมทรัพย์อีกจำนวนมากที่บันทึกไว้ในกระดาษจำนวน
9 หน้า ยิ่งไปกว่านั้นได้เปิดเผยว่าเขาได้ตั้งบริษัทต่าง ๆ เพื่อปิดบังเจ้าของที่แท้จริง
(มาร์กอสนั่นแหละ) อีกไม่น้อยกว่า 34 กิจการ
ทั้งหลายทั้งปวงของความมี "เลศนัย" ของเขาก็เพื่อความเป็นเจ้าของธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์นั่นเอง
ทั้งนี้รวมกิจการในต่างประเทศด้วย ซึ่งยังเป็นที่สงสัยกันว่ารวมทั้งบริษัทยูไนเต็ดฟาร์มา
แอนตี้ไบโอติค อินดัสตรีส์ (ยูพีเอ) ในเมืองไทยด้วยหรือไม่?
หากพลิกดูทะเบียนผู้ถือหุ้นในยูพีเอจะพบ "ข้อมูลแปลก ๆ" บางประการ
ในจำนวน 2 หมื่นหุ้นที่ถือในนามฟิลิปปินส์นี้ ปรากฏว่าบริษัทยูไนเต็ดลาบอราตอรี่ส์
(ปานามา) จดทะเบียนในฮ่องกง ถือหุ้นถึง 19,996 หุ้น ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลในรายงานการประชุมอย่างเป็นทางการของยูพีเอระบุชัดว่าองค์การเภสัชกรรมได้ลงนามร่วมทุนกับยูไนเต็ดแลปในฟิลิปปินส์
โจเซ แคมโพส มีธุรกิจในหลายประเทศ นอกจากฟิลิปปินส์แล้วก็มีฮ่องกง อินโดนีเซีย
และประเทศไทย กิจการของเขาในประเทศไทยลงรากหยั่งลึกมานานพอสมควร นานพอจะมีอิทธิพลในระดับต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยา
บริษัท เกร๊ตอิสเทอร์นดรักส์ และบริษัทไซอเมริกาฟาร์มาซูติคอล เป็น 2 บริษัทที่โจเซ่
แคมโพส ฝังรากในประเทศไทย เมื่อปี 2504 และ 2512 ตามลำดับ โดยบริษัทแรกพัฒนาจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์มาเป็นผู้ทำหน้าที่การตลาดในบริษัทหลังซึ่งได้สร้างโรงงานผสมยาขึ้นในประเทศไทย
หรือที่เรียกกันว่า FORMULATION
กิจการยาของเขาทั้งสองบริษัทดำเนินการไปอย่างราบรื่น และเงียบด้วยผลประกอบการอยู่ในขั้นพอใจ
บริษัท เกร๊ตอิสเทอร์น ดรั๊ก ยอดขายปีละประมาณ 150 ล้านบาท กำไรประมาณ
20 ล้านบาท ส่วนบริษัทไซอเมริกันฯ ยอดขายประมาณ 50 ล้านบาท กำไรประมาณ 5
ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ยาที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ ยาแก้ปวด "ดีโคลเจ้น"
ในตลาดขายปลีก
โจเซ วาย แคมโพส มี "เทคนิค" การดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว อธิบายได้ด้วยกรณีในประเทศไทย
แต่เดิมกิจการในประเทศไทยเขาจะถือหุ้นด้วยตนเอง ต่อมาได้โอนหุ้นให้กับบริษัทในฮ่องกงบริษัทแพน
แปซิฟิคอินเวสต์เม้นท์ ถือหุ้น 99% ในบริษัทเกร๊ตอิสเทอร์นดรั๊ก และบริษัทยูนัม
คอร์เปอเรชั่นที่ฮ่องกง ถือหุ้น 99% ในบริษัท ไซอเมริกัน ฟาร์มาซูติคอล
ความจริงแล้วยูไนเต็ดแลปพัฒนาโนฮาวในอุตสาหกรรมยามาจากความร่วมมือจากบริษัทในต่างประเทศมาช้านาน
เช่น อิมพีเรียล เคมีคอล อินดัสตรีส์ (ไอซีไอ) และบีแชม ลาบอราตอรี่ แห่งอังกฤษ
และจีดี. เซิล แอน์เชอริ่ง ในสหรัฐ เป็นต้น
จากประสบการณ์ที่ร่วมทุนดำเนินอุตสาหกรรมยาขั้น FORMULATION จึงได้พัฒนาการตั้งโรงงานผลิตยาขั้นกลางประเภทแอนตี้ไบโอติคส์ขึ้นมา
แต่ไม่ประสบความสำเร็จดีนัก ต่อมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วมานี้ยูไนเต็ดแลปได้ร่วมทุนกับบริษัทพีทีเมดิฟาร์มา
(P.T. MEDIPHARMA) กับครอบครัวซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างประธานาธิบดีทั้งสองประเทศเป็นสายสัมพันธ์เชื่อมต่อ
โนฮาวการผลิตยาประเภทแอนตี้ไบโอติคส์ที่ยูไนเต็ดแลปอวดอ้างสรรพคุณเพื่อขอร่วมทุนกับองค์การเภสัชกรรมในประเทศไทยนั้น
มักจะกล่าวว่าเป็นการพัฒนาและสะสมประสบการณ์ทั้งในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตามข้ออ้างนี้มักจะขัดแย้งกับนักอุตสาหกรรมระดับนานาชาติบางคนที่มองว่าโนฮาวนั้นไม่ได้มาตรฐานเพียงทั้งสองประเทศ
เพียงแต่สิ่งที่เหมือนกับของการลงทุนในอินโดนีเซียและไทยก็คือการจับเส้นที่ถูกต้องระหว่างผู้มีอำนาจเท่านั้น
เจ้าหน้าที่องค์การเภสัชกรรมเองก็ยอมรับว่าในบรรดาเจ้าของโนฮาวการผลิตแอนตี้ไบโอติคส์
ประเทศที่เข้ารอบสุดท้ายนั้น แม้ว่าของสเปนจะราคาสูงเกินจะเข้าข่ายพิจารณา
แต่ของ Dongchin จากเกาหลีใต้นั้นราคาถูกกว่ายูไนเต็ดแลปด้วย แต่คณะกรรมการกลับเลือกยูไนเต็ดแลป
"ค่าโนฮาวของยูไนเต็ดแลปจ่ายครั้งเดียวราคาประมาณ 12 ล้านบาท แต่ของเกาหลีใต้ไม่ถึง
10 ล้านบาท ที่เราไม่เอาของเกาหลีใต้เพราะโรงงานเล็กไม่ได้คุณภาพ" เขาให้เหตุผลที่ลึกกว่าเหตุผลของหมอยงยุทธ
เพียงเหตุผลแค่นี้เท่านั้นหรือ? ที่องค์การเภสัชกรรมยอมให้ยูไนเต็ดแลปจากเงินอีกเพียง
8 ล้านบาทเท่านั้นสมทบกับค่าโนฮาว จึงสามารถกลายเป็นผู้ถือหุ้นถึง 40% ในยูพีเอได้
โจเซ่ แคมโพส เคยมาเมืองไทยหลายครั้ง นายแพทย์ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ยอมรับว่าเขาเคยมาเยี่ยมครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
คำถามที่ถูกตั้งขึ้นขณะนี้ก็คือจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ากิจการในประเทศไทยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับมาร์กอสอย่างไร
แต่เมื่อคิดกันลึก ๆ จะพบว่าทรัพย์สินของกลุ่มนี้ที่ "ผู้จัดการ"
ประเมินคร่าว ๆ เพียง 135 ล้าน ในอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยนี้ เมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่อดีตประธานาธิบดีกับภรรยานำไปซุกซ่อนทั่วโลกที่รัฐบาลนางอควิโนกำลังล่าดุจนิยายเรื่องคิงส์สโลมอนมายน์นั้น
นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
คำถามนี้จึงดูไม่เร้าใจไปกว่า ยูพีเอ. อันเป็นผลพวงของความพยายามของนายแพทย์ยงยุทธ
สัจจวาณิชย์ อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขนั้นมีค่าแก่วงการอุตสาหกรรมยาประเทศเราสักเพียงใด?
ประเทศไทยที่ผ่านมาต้องนำเข้า AMPICILLIN, AMOXYCILLIN และ CLOXACILLIN
ปีละ 70 ตัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เป้าหมายของยูพีเอ ในการสร้างโรงงานนี้มาก็เพื่อทดแทนการนำเข้าในขั้นแรก
"เรามีแผนการส่งออกด้วยขณะนี้กำลังมองตลาดแถวตะวันออกกลาง" นายแพทย์ยรรยง
ภูตระกูล กรรมการผู้จัดยูพีเอ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ปัจจุบันยูพีเอ ผลิตได้เพียง 30 ตัน/ปี ขายให้องค์การเภสัชกรรม และบริษัทไซอเมริกัน
ฟาร์มาซูติคอล ของกลุ่มยูไนเต็ดแลปในประเทศไทยเท่านั้น
"ราคาผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในระดับเดียวกันกับการนำเข้า" นายแพทย์สุเทพ
บุณยสุขานนท์ เลขานุการคณะกรรมการ ยูพีเอ. ยืนยันกับ "ผู้จัดการ"
ราคาประมาณตันละ 2.65-2.8 ล้านบาท/ตัน ซึ่งข้อมูลตรงนี้ขัดแย้งกับข้อมูลในวงการยาพอสมควร
ซึ่งอ้างว่าราคา AMPICILLIN และ AMOXYCILLIN ของยูพีเอยังสูงกว่าราคานำเข้าระหว่าง
10-20% ทั้งคุณภาพก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
นายแพทย์ยรรยง กล่าวว่าตามแผนการนั้น ยูพีเอ. จะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 6-7
ปี นับจากปี 2530 เป็นต้นไป โดยมีข้อแม้ว่าปริมาณการผลิตเพียงพอทดแทนการนำเข้าจำนวน
70 ตัน/ปี และยังเหลือส่งออกด้วย
ภายใต้เงื่อนไขนี้คณะกรรมการจึงมีแผนจะเสนอให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) กำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษ (Surcharge) เป็นกำแพงภาษีสำหรับการผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันกับที่นำเข้าจากต่างประเทศ
"ผลนี้จะทำให้ราคา AMPICILLIN และAMOXYCILLIN จากต่างประเทศราคาสูงกว่าที่ผลิตจากยูพีเอ"
เจ้าหน้าที่ของ ยูพีเอ. แสดงความเชื่อมั่น
ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายเชื่อว่า บีโอไอ. คงสนองความต้องการของยูพีเอ แน่นอนในฐานะที่ให้การส่งเสริมกันอย่างเต็มที่ตลอดมาอยู่แล้ว
แต่ปัญหานี้มันจะขยายตัวเป็นความขัดแย้งกับบริษัทยาข้ามไป
RAMOS ผู้จัดการโรงงานยูพีเอ ยืนยันกับ "ผู้จัดการ" วัตถุดิบสำหรับการผลิต
AMPICILLIN นั้นต้องนำเข้าจากอิตาลี สหรัฐ ญี่ปุ่น และอังกฤษ มีสัดส่วนถึง
80% ของวัตถุดิบทั้งหมด มีเพียง 20% เท่านั้นที่พอจะได้ในประเทศ อันได้แก่
กรดเกลือ และสารละลายเท่านั้น ขณะเดียวกันนายแพทย์สุเทพ บุณยสุขานนท์ก็ยอมรับว่าบริษัทที่ยูพีเอซื้อวัตถุดิบเข้ามาผลิตนั้นก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่ส่ง
AMPICILLIN เข้ามาจำหน่ายแข่งขันกับยูพีเอ นั่นเอง
"เขาอาจจะขึ้นราคาวัตถุดิบขึ้นมาก็ได้" เขาสรุป
ซึ่งผลสุดท้าย ก็ไม่ทราบว่าอนาคตของโรงงานนี้จะเป็นเช่นไร ???