|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ลีสซิ่งกสิกรไทยมั่นใจปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้า 3 หมื่นล้าน หลังประเมินช่วงที่เหลือของปียอดขายรถดีขึ้น แต่ผลกำไรอาจจะไม่เข้าเป้าที่ตั้งไว้ 226 ล้านบาท ระบุการแข่งขันยังรุนแรง กดดันดอกเบี้ยลดตาม
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท จากในช่วง 7 เดือนแรกของปีที่สามารถปล่อยกู้ไปแล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท โดย 7 เดือนแรกของปี มียอดคงค้างสินเชื่อที่ 39,100 ล้านบาท และคาดว่าเดือนกันยายนสินเชื่อคงค้างจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้สินเชื่อคงค้างทั้งปีเป็นไปตามเป้าที่ 4.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้มากขึ้น ซึ่งจากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีสัญญาณบวกในหลายด้าน รวมทั้งการส่งออก และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้คาดว่าทั้งปี 52 ยอดขายรถยนต์ของบริษัทจะอยู่ที่ 4.5-4.6 แสนคัน โดยเฉพาะรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รถปิกอัพจะสามารถฟื้นตัวได้มากขึ้น อีกทั้งรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงาน จะเป็นแนวโน้มใหม่สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย และช่วยหนุนให้ยอดซื้อรถยนต์เพิ่มมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่จะปล่อยได้เกิน 3 พันล้านบาท หรืออยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังได้แรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทคือ Car to Cash ซึ่งสินเชื่อตัวนี้จะมียอดประมาณ 2 พันล้านบาท ผ่านสาขาของธนาคารกสิกรไทย
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัททั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 226 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมามีผลกำไรจำนวน 103 ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป มีความจำเป็นต้องทำกำไรให้ได้ 20 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งคาดว่าาผลกำไรในปีนี้อาจไม่เข้าเป้า
"จริงๆแล้วในปีนี้กำไรในระดับ 200 ล้านบาทนั้น ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว แต่อีกด้านที่จะต้องมองประกอบกันก็คือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่จะส่งผลกระต่อการตั้งสำรองของบริษัทด้วย"
นายอิสระกล่าวอีกว่า บริษัทเชื่อว่าจะสามารถควบคุมเอ็นพีแอลทั้งปีนี้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 2% แม้ช่วง 7 เดือนแรกเอ็นพีแอลจะอยู่ในระดับ 2.1% ซึ่งก็ลดลงเล็กน้อยจาก 6 เดือนแรกที่อยู่ในระดับ 2.2% และต้นปีที่อยู่ที่ 2.4% ซึ่งบริษัทก็ได้มีการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างรอบคอบ รวมทั้งแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียด้วย ซึ่งทางทีมวิเคราะห์ของบริษัทจะเริ่มดำเนินการโปรแกรมแก้ไขหนี้ในช่วงเดือนหน้า
"หากลูกค้ามีปัญหาการชำระหนี้เราก็จะเข้าไปหาทางช่วย ซึ่งเราพยายามหลีกเลี่ยงการยึดรถลูกค้า เพราะยึดรถมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยึดมาแล้วเอาไปขายต่อยังไงก็ขาดทุน โดยในต้นเดือนกันยายนนี้บริษัทจะมีโปรแกรมปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้ารายย่อยที่มีปัญหาการผ่อนชำระ เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ผ่อนชำระค่างวดให้ลดลง หรือยืดอายุการผ่อนชำระเงินต้นออกไป โดยบริษัทจะมีเมนูให้ลูกค้าเลือกตามกำลังการผ่อนชำระซึ่งจะเป็นผลดีกับบริษัทด้วยที่ไม่ต้องมีการตั้งสำรองหรือยึดรถลูกค้าเพิ่ม ส่วนลูกค้ารายใหญ่จะมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เอง "
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ มีแนวโน้มปรับลดลงจากระดับปัจจุบันเนื่องจากการแข่งขันปล่อยสินเชื่อยังคงรุนแรง ซึ่งบริษัทที่ทำธุรกิจเช่าซื้อแต่ละแห่งมีความต้องการขยายสินเชื่อให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงทำให้มีการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับทรงตัวหรือปรับลดลงจากปัจจุบัน โดยอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 2.65% ซึ่งบริษัทเช่าซื้อบางแห่งอยู่ที่ประมาณ 2.55%
สำหรับ 6 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 85 ล้านบาท จากเป้าหมายตั้งไว้ที่ 78 ล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายไปถึง 9% เนื่องจากบริษัทได้รุกสร้างความสัมพันธ์ของดีลเลอร์อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ลดลง 28% แต่การดำเนินธุรกิจของบริษัทยังอยู่ในภาวะเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทได้มีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น.
|
|
|
|
|