|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดอยซ์แบงก์ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบ4% และเริ่มฟื้นปีหน้าคาดโตได้ 3.5% จากเศรษฐกิจโลก-เอเชียที่มีความแข็งแกร่งขึ้น แนะรัฐเตรียมหามาตรการหนุนการลงทุนรับเศรษฐกิจฟื้น โดยมองที่ระยะ 5 ปีเป็นหลัก ส่วนกรณีที่ธปท.ผ่อนเกณฑ์ลงทุนตปท. แม้จะเป็นการกระตุ้นลงทุน แต่ต้องรับประกันความผันผวนค่าเงิน ติงหากเงินไหลออกมากอาจกระทบการลงทุนในประเทศ
นายนอร์เบิร์ต วอลเตอร์ หัวหน้าคณะนักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มธนาคารดอยซ์ แบงก์ (Deutsche Bank) กล่าวว่า ธนาคารได้คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2552 ที่ระดับติดลบ 4% ซึ่งเป็นไปตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถพลิกกลับมาฟื้นขยายตัวได้ในปี 2553 โดยคาดว่าจีดีพีขยายตัวได้ 3.5% จากปัจจัยหลักด้านสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประมาณ 1.5% อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจุดยุทธศาสตร์ที่ดีท่ามกลางประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ภาคการส่งออกของไทยส่วนใหญ่ยังเป็นประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเภทอื่น
ด้านปัจจัยเสี่ยงในปี 2553 ยังเป็นปัจจัยในประเทศของไทย โดยมองว่าการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจที่จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต้อง เกิดจากสังคมที่มีความสงบและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองมองว่าท่าทีและนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันถือว่า ทำได้ดีและเป็นประโยชน์มาก และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเท่านั้น แต่ส่งผลดีต่อประเทศในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากรัฐบาลได้ทำการสนับสนุนความร่วมมือทางด้านกลุ่มอาเซียนเป็นอย่างดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งโลกเช่นกัน
ส่วนภาคการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้น ต้องคำนึงถึงนโยบายและกฎเกณฑ์ของรัฐบาลว่า มีความเกื้อหนุนมากน้อยเพียงใดในการสนับสนุนโครงการลงทุนต่างๆในอนาคต ซึ่งควรมองการลงทุนระยะยาวไม่ต่ำกว่า 5 ปี ขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้น ขณะนี้ราคาน้ำมันอยู่ในภาวะอิงกับเศรษฐกิจโลก โดยในอนาคตขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานว่ามีความสมดุลมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 150 ดอลลาร์/บาร์เรล ไม่น่าเกิดขึ้นก่อนปี 2555 อย่างไรก็ดีต้องคำนึงถึงความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น อีกทั้งมาตรการของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานอย่าง คุ้มค่า
สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ผ่อนปรนอนุญาตให้นิติบุคคลที่สินทรัพย์เกิน 5 พันล้านบาท สามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเหมือนดาบสองคม ถ้ามองในมุมหนึ่งถือว่าเป็นความคิดที่มีประโยชน์และสนับสนุนด้านการลงทุน เนื่องจากมองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียจะสามารถส่งผลกำไรกลับมาได้ค่อนข้างดี แต่หากมองในมุมของค่าเงินบาททางธปท.ต้องมีการรับประกันด้านความผันผวนแก่นัก ลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง และหากสามารถรับประกันได้พร้อมทั้งมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุมและมีกระบวนการตรวจสอบ การลงทุนเพื่อถ่วงดุลไม่ให้เงินตรารั่วไหลออกไปจากประเทศไทยมากนักจะเป็น สิ่งที่ดี เนื่องจากการลงทุนในประเทศยังมีความสำคัญเช่นกัน.
|
|
|
|
|