Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์4 สิงหาคม 2552
บลจ.ยูไนเต็ดชี้หุ้นจะซิกแซ็กลงทุนยาก เงินในตลาดมาจากสภาพคล่องส่วนเกิน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ยูไนเต็ด,บล.

   
search resources

ยูไนเต็ด,บล.
Funds




บลจ.ยูไนเต็ดระบุเงินต่างชาติรอบนี้ เป็นเงินจากมาตรการอุ้มสถาบันการเงินที่แฝงเข้ามาลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก ส่วนหุ้นไทยครึ่งปีหลังลงทุนยากคาดกรอบซิกแซ็ก 500-700 จุด ส่วนภาคเศรษฐกิจจริงคาดฟื้นตัวได้ปีหน้าเป็นต้นไป

สุพรรณ เศษธะพานิช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน บลจ.ยูไนเต็ด กล่าวว่าการที่ตลาดทุนทั่วโลกมีปรับการปรับขึ้นมาตั้งแต่เดือนกุมพาพันธ์ของปีนี้ เป็นผลมาจากกระแสเงินสดแฝงของสถาบันการเงินที่ได้มาจากจากมาตรการกอบกู้สถาบันการเงินซึ่งมีการใส่เงินเพิ่มทุนเข้าไปในสถาบันการเงินต่างๆจนมีสภาพคล่องส่วนเกิน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากเงินลงทุนระยะสั้นของกองทุนประกันความเสี่ยง (Hedge Fund) รวมถึงเม็ดเงินลงทุนระยะยาว (Long Term Fund)

โดยเม็ดเงินได้เริ่มเข้าไปที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตามมาด้วยตลาดหุ้นหลักในประเทศพัฒนาแล้ว และหุ้นตลาดเกิดใหม่รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งตลาดหุ้นขนาดเล็กก็ยังรองรับเม็ดเงินเหล่านี้เอาไว้ไม่หมด ส่งผลให้ราคาหุ้นในทุกตลาดทั่วโลกปรับตัวขึ้นมามาก

“จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี เม็ดเงินต่างชาติดังกล่าวจะยังคงอยู่กับตลาดหุ้นไทยและจะอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการพูดถึงแผนการลดการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน (The Exit Strategy) ของรัฐบาลประเทศต่างๆ เมื่อนั้นเม็ดเงินก้อนดังกล่าวจึงจะไหลกลับไป ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ตลาดหุ้นไทยจะลงทุนยากขึ้น มีการเคลื่อนไหว ในลักษณะแบบซิกแซ็กเป็นลักษณะตัวเอ็ม (M) โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยจะวิ่งอยู่ในกรอบโดยมีโอกาสจะปรับขึ้นไปสูงสุดถึง 700 จุด ในขณะที่กรอบล่างก็ไม่น่าจะหลุดลงไปต่ำกว่า 500 จุด ได้”

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดหนึ่งที่น่าสนใจลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 18-20 เท่า ในขณะที่ P/E ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 11 เท่า และ P/E อนาคตที่ประมาณ 12 เท่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นระดับที่เรียกว่าไม่ถูกนัก

สำหรับภาวะเศรษฐกิจของไทยก็ยังไม่น่าจะฟื้นตัวได้เร็วนัก เนื่องจากการเข้ามาลงทุนของประเทศคงจะยังไม่เติบโตขึ้นในระยะใกล้นี้ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่มีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับ GDP จึงไม่น่าจะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก แต่คงต้องรอการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2553

โดยการใช้จ่ายภาครัฐ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งลำพังการกระตุ้นที่มีสัดส่วนเพียงแค่ 10% คงไม่น่าจะมีจะช่วยอะไรได้มากนักหากสองเครื่องจักรหลักยังไม่เดิน นั่นคือการบริโภคและการลงทุน ซึ่งมองว่าการลงทุนจะยังคงยากที่จะเกิดในไตรมาส 3/2552 ถึงแม้ตัวเลขภาคการผลิตยังคงเพิ่มขึ้น แต่หากอัตราการใช้กำลังการผลิตยังคงอยู่ในระดับ 60% ก็คงไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นการลงทุนให้เกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ถ้าโรงงานยังไม่ได้ใช้กำลังการผลิตให้เต็มที่ ทั้งนี้มองว่าการลงทุนน่าจะฟื้นตัวเร็วที่สุดประมาณต้นปี 2553

มองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยนั้น คงจะไม่ได้เร็วมากนัก เมื่อเปรียบเทียบการเติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนประเทศจีน เพราะจีนมีแผนการอัดฉีดเงินถึง 586,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงในภาคสถาบันการเงินจะมีการก่อหนี้ที่เติบโตตามมาอย่างรวดเร็วด้วยก็จริง แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนนี้จีนก็วางแผนที่จะชะลอลง เพราะเกรงปัญหา NPL ที่จะตามมา จากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็วเกินไปจนควบคุมไม่ทัน

ดังนั้นการเติบโตอย่างมั่นคงของไทยเองคงน่าจะเกิดขึ้นในปี 2010 โดยเริ่มจากการบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้ไปเพิ่มตัวเลขของภาคการผลิต ส่งผลให้มีตัวเลขอัตรากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่สมควรที่จะลงทุนใหม่ และเวลานั้นเอง จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการพลิกกลับสู่รอบการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่ หรือที่เรียกว่า Green Shoot ได้อย่างแท้จริง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us