|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
Merrill Lynch ปล่อยกู้ให้ร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งหวังจะดันตัวเองขึ้นเป็นร้านเพชรหรูระดับโลก แต่กลับต้องมาลงเอยด้วยการฟ้องร้องที่น่าปวดหัว
เช้าวันที่ 27 กันยายน 2007 เจ้าหน้าที่ของ Merrill Lynch บุกไปยังอาคาร Rockefeller Center ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานของ Ralph Esmerian เจ้าของร้านเพชรหรูและนักสะสมงานศิลป์ เพื่อยึดเครื่องเพชรหายากมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ของ Esmerian อันรวมถึงแหวนเพชรสีชมพู 14 กะรัตที่มีค่าถึง 15 ล้านดอลลาร์ และบางชิ้นเป็นของตระกูล Esmerian มาหลายชั่วอายุคน เนื่องจากเครื่องเพชรเหล่านั้นเป็นหลักประกันหนี้ที่ Esmerian ไม่ยอมจ่าย
2 ปีก่อน Ralph Esmerian กู้เงินจาก Mirrill Lynch เพื่อไปซื้อร้านเพชร Fred Leighton ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นเครื่องเพชรของดารา Esmerian มีแผนจะดัน Leighton ให้เป็นแบรนด์อัญมณี ที่มีสาขาทั่วโลก แผนการของ Esmerian โดนใจ Merrill Lynch ซึ่งเต็มใจปล่อยกู้ให้ Esmerian เพราะเขายอมเอาเครื่องเพชรมูลค่า หลายร้อยล้านดอลลาร์มาเป็นหลักประกันการกู้ยืม โดยนอกจากเครื่องเพชรทั้งหมดที่มีอยู่ในคลังของร้าน Fred Leighton แล้ว Esmerian ยังยอมเอาเครื่องเพชรประจำตระกูล 101 ชิ้นที่เรียกว่า Special Collection ซึ่งมีมูลค่า 89 ล้านดอลลาร์ มาค้ำประกันหนี้ด้วย
ข้อตกลงปล่อยกู้ให้ Esmerian มีชื่อรหัสว่า Project Nile โดย Merrill Lynch ตกลงปล่อยกู้ให้ Esmerian 176 ล้านดอลลาร์ กำหนดจ่ายคืน 3 ปี แต่สิ่งที่ Merrill Lynch พลาดอย่างแรงคือ การไม่รู้ว่าได้มาเจอกับ "นักกู้ต่อเนื่อง" เข้าให้แล้ว Esmerian ติดหนี้สำนักประมูลดัง 2 แห่งคือ Sotheby's และ Christie's อยู่ก่อนแล้วเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ โดยใช้เครื่องเพชรประจำตระกูลชุดเดียวกันนั้นเป็นหลักประกันหนี้ ต่อมา Esmerian ยังถูกญาติพี่น้องฟ้องร้องว่านำเครื่องเพชรของตระกูลไปค้ำประกัน หนี้โดยพลการอีก
ขณะนี้ Esmerian กับ Merrill Lynch ต่างฟ้องร้องซึ่งกันและกัน Merrill Lynch ฟ้องศาลเพื่อบังคับให้ Esmerian จ่ายหนี้ ซึ่งเขาค้างจ่ายแม้กระทั่งดอกเบี้ย จนดอกทบต้นเพิ่มเป็น 192 ล้านดอลลาร์ ส่วน Esmerian วัย 68 ก็ฟ้องร้อง Merrill Lynch เพื่อขอให้ศาลสั่งระงับการยึดเครื่องเพชรของเขา และอ้างว่าในธุรกิจค้าอัญมณีนั้น การจ่ายหนี้ช้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เจ็บตัวจริงๆ กลับไม่ใช่ทั้งคู่ แต่เป็นร้านเพชร Fred Leighton ซึ่งตอนนี้ต้องกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว (2008) และกำลังจะไม่มีเงินสดเหลืออีกต่อไป
เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ศาลมีคำสั่งปลด Esmerian และแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฟื้นฟูขึ้นบริหาร Fred Leighton แทน ผู้บริหารคนใหม่ของ Leighton กำลังหาทางขายบาง ส่วนหรือทั้งหมดของ Leighton ผู้ที่แสดงความสนใจใคร่ซื้อมีทั้ง Robert Pressman จาก Barneys New York และ Michael Steinhardt ผู้บริหารกองทุนเก็งกำไร ซึ่งเป็นเพื่อนและผู้สนับสนุน Esmerian เป้าหมายของแผนฟื้นฟู Leighton คือ หานายทุนที่จะช่วยยุติการฟ้องร้องทั้งหลายแหล่ และให้เงินทุนต่อชีวิตบริษัท อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ มีโอกาสสูงที่ Fred Leighton อาจต้องเลิกกิจการ เรื่องราวของร้านเพชรแห่งนี้จึงกลายเป็นอุทาหรณ์ที่เตือนให้เห็นอันตรายของการพยายามสร้างแบรนด์หรูโดยไม่มีอะไรเลย นอกจากอาศัยชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว
ร้านเพชร Fred Leighton ก่อตั้งโดย Murray Mondschein ลูกคนขับแท็กซี่ในนิวยอร์ก ในปี 1959 เขาซื้อร้านขายชุดแต่งงานแบบเม็กซิกันใน Greenwich Village ชื่อร้าน Fred Leighton และเปลี่ยนชื่อตัวเองตามชื่อร้านดังกล่าว จากนั้นก็เริ่มต้นธุรกิจขายเครื่องเพชร และเมื่อถึงทศวรรษ 1970 Leighton กลายเป็นตำนานของธุรกิจเครื่องเพชรแบบ estate jewelry และมีลูกค้าที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
ส่วน Esmerian เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลค้าส่งเพชร Raphael บิดาของเขาเป็นนักธุรกิจค้าเพชรที่ได้รับการยกย่อง และเคยออกแบบเครื่องเพชรรุ่นแรกๆ ให้แก่ Neiman Marcus หลังจากบิดาเสียชีวิตในปี 1976 Esmerian ก็เข้าครอบครองธุรกิจของตระกูลต่อจากบิดา Esmerian พบกับ Leighton ในงานประมูล ครั้งหนึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 1970 กลายเป็นเพื่อนกัน ในปี 2005 Leighton ต้องการจะวางมือจากร้าน Esmerian จึงขอซื้อ Fred Leighton และ Esmerian ก็ได้รู้จักกับ Josh Green และ Ryan Bell แห่งแผนก Merrill Lynch Mortgage Capital ซึ่งเชี่ยวชาญ การปล่อยกู้โดยมีสินทรัพย์ถาวรเป็นหลักประกันหนี้ เช่น ที่ดิน เครื่องจักร แต่ยังไม่เคยรับเครื่องเพชรเป็นหลักประกันหนี้มาก่อน
พฤศจิกายน 2005 Merrill ปล่อยกู้ให้ Esmerian 56 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้เขานำไปจ่ายให้แก่ญาติพี่น้อง เพื่อซื้อความเป็นเจ้าของทรัสต์ของตระกูล Esmerian เนื่องจากทรัสต์ดังกล่าวเป็นเจ้าของเครื่องเพชรส่วนใหญ่ของตระกูลที่ Esmerian จะนำมาเป็นหลักประกันหนี้ มีนาคม 2006 Merrill ยังปล่อยกู้ให้ Esmerian อีก 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ Fred Leighton และเปิดวงเงินสินเชื่อให้ Esmerian อีก 25 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้เป็นเงินทุน หมุนเวียนในธุรกิจ
ในข้อตกลงที่ Merrill ทำกับ Esmerian นั้น Esmerian จะต้องหา CEO ที่เชี่ยวชาญมาบริหาร Fred Leighton แต่การทาบทาม Simon Critchell อดีตผู้บริหารร้านเพชร Cartier ไม่สำเร็จ ธันวาคม 2007 Esmerian ได้ Peter Bacanovic มาเป็น CEO โดยที่ Bacanovic คนนี้ คืออดีตโบรกเกอร์ของ Merill Lynch เอง ซึ่งเคยเป็นคนที่จัดการเรื่องการขายหุ้นของ Martha Stewart ใน ImClone อันกลายเป็นคดีอื้อฉาวซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงใน Bacanovic ต้องติดคุก 5 เดือนและถูกกักบริเวณในบ้านอีก 5 เดือน เนื่องจากคดีดังกล่าว นอกจากนี้ เขายังไม่มีประสบการณ์บริหารร้านเพชร แต่ที่ Esmerian เลือกเขาเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่เขามี Esmerian หวังว่า Bacanovic จะสามารถดึงบรรดาลูกค้ารวยๆ ให้มาเป็นลูกค้าของ Fred Leighton ได้
งานแรกของ Bacanovic คือการเปิดร้านเพชรแห่งใหม่ใน Beverly Hills ข้อมูลจาก Tom Shull ซึ่งศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลการฟื้นฟู Leighton หลังปลด Esmerian เมื่อปลายปีก่อน ระบุว่า ร้านเพชรใหม่ที่เปิดที่ Beverly Hills ดังกล่าวเปิดช้ากว่ากำหนด 4 เดือน และใช้เงินเกินงบไปหลายล้านดอลลาร์ แต่สถาปนิกที่ออกแบบร้านดังกล่าวยืนยันว่า ร้านเปิดตามกำหนดและไม่ได้ใช้เงิน เกินงบ Bacanovic ลาออกจาก Leighton ในเดือนมกราคมปีนี้
ปัญหาของร้านเพชร Leighton ยังไม่จบ ธุรกิจร้านเพชรแห่งนี้ขึ้นอยู่กับตัว Leighton และ Mara ลูกสาวของเขาโดยตรง เมื่อไม่มี 2 พ่อลูก ยอดขายก็หด Esmerian ขอให้ 2 พ่อลูกเป็นที่ปรึกษาเป็นเวลา 5 ปี โดยสัญญาจะจ่ายค่าตอบแทนให้คนละ 175,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่ 2 พ่อลูก Leighton ฟ้องร้อง Esmerian และกล่าวหาว่าเขาไม่เคยจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวเลย แถมยังไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ติด 2 พ่อลูกไว้อีก 374,000 ดอลลาร์ เมื่อคราวที่ Esmerian ขอซื้อ Fred Leighton อีกด้วย แต่ Esmerian โต้กลับว่า 2 พ่อลูกเที่ยวนินทาว่าร้ายเขากับลูกค้าไปทั่ว ทำให้เขาต้องบอกเลิกสัญญาการเป็นที่ปรึกษา
ปลายปี 2007 Esmerian ตกที่นั่งลำบากอย่างหนัก หนี้ท่วมหัวเกินขนาดของบริษัท Fred Leighton มีกำไรประมาณ 7.6 ล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ Esmerian มีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายถึง 10 ล้านดอลลาร์ ทำให้ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน Esmerian ไม่มีเงินจ่ายหนี้ที่ครบกำหนด 2.7 ล้านดอลลาร์ของ Merrill Lynch จึงถูก Merrill ยึดเครื่องเพชรไป ทนายความของ Merrill ยังเรียก Esmerian ไปรับทราบข้อกล่าวหาซึ่ง Merrill กล่าวหา Esmerian ทำผิดรวม 21 ข้อ ซึ่งรวมถึงไม่ยอมจ่ายหนี้ รายงานข้อมูลการเงิน เป็นเท็จ delinquent และเปิดร้านเพชรที่ Beverly Hills ล่าช้ากว่า กำหนด
ทั้งสองฝ่ายพยายามประนีประนอม โดย Merrill ยอมระงับการจ่ายดอกเบี้ยของ Esmerian ไว้ชั่วคราวโดยเอาดอกทบต้น แต่ Esmerian กลัวว่าตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายหนี้ที่ทบต้น จึงไม่ยอม เซ็นชื่อรับทราบ และพยายามวิ่งวุ่นหานายทุนมาช่วยทั้ง Apollo Management และ Soros Private Equity แต่ไม่สำเร็จ
มกราคม 2008 Merrill ฟ้องร้อง Esmerian และเดินหน้านำเครื่องเพชรที่ยึดไว้ออกประมูล ซึ่งรวมถึงเข็มกลัดเพชรของจักรพรรดินี Eugenie พระมเหสีในจักรพรรดิ Napoleon III ในคำบรรยายฟ้องของ Merrill กล่าวหา Esmerian ใช้เครื่องเพชรเป็นหลักประกันหนี้ซ้ำซ้อน และยังพยายามจะแอบขายเครื่องเพชร บางชิ้นเพื่อนำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง หลังจากผู้บริหารของ Merrill ไปพบโดยบังเอิญว่า Sotheby's กำลังจะประมูลขายเข็มกลัดเพชร รูปผีเสื้อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องเพชรประจำตระกูล Esmerian ที่เรียกว่า Special Colletion ในการประมูลที่ฮ่องกง
แต่ก่อนที่ Merrill จะเปิดประมูลขายเครื่องเพชรที่ยึดมา Esmerian ก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ชิงขอให้ศาลสั่งคุ้มครองล้มละลาย Fred Leighton ภายใต้มาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายสหรัฐฯ ซึ่งมีผลอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของ Fred Leighton และระงับการประมูลขายเครื่องเพชรของ Merrill ด้วย ศาลยังอนุญาตให้ Esmerian ขายเข็มกลัดเพชรของ Empress Eugenie ให้แก่พิพิธภัณฑ์ Louvre ได้เงินมา 10.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าราคา ประเมินที่ Christie's ตั้งไว้เสียอีก
แต่วิบากกรรมของ Esmerian ยังไม่หมด ในเดือนมกราคม ปีที่แล้ว Christie's ฟ้องร้อง Esmerian ซึ่งค้างชำระหนี้อยู่อีก 7.75 ล้านดอลลาร์จากที่กู้ไป 25 ล้านดอลลาร์เมื่อ 10 ปีก่อน 3 เดือนต่อมา Sotheby's ยึดภาพเขียน "Peaceable Kingdom" ผลงานของศิลปิน Edward Hicks ซึ่ง Esmerian ใช้เป็นหลักประกันหนี้ 11 ล้านดอลลาร์ Sotheby's ขายภาพเขียนดังกล่าวได้เงินคืนมา 9.6 ล้านดอลลาร์
ถัดจากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Esmerian ก็ถูกญาติ พี่น้องฟ้องร้องกล่าวหาว่าเขายักยอกเงินจากทรัสต์ของตระกูลในปี 1992 โดยนำเงินของทรัสต์ไปใช้ถึง 28 ล้านดอลลาร์ โดยไม่เคยได้รับความยินยอมจากพี่น้อง และยังสัญญาจะยกเครื่องเพชร 101 ชิ้นชื่อ Siegman Collection ให้เป็นของทรัสต์ แต่ปรากฏว่า Siegman Collection ก็คือเครื่องเพชรชุดเดียวกับ Special Collection ที่ Esmerian เที่ยวเอาไปวางเป็นหลักประกันหนี้ทั่วไปหมดนั่นเอง แต่ Esmerian โต้ว่า เขาได้รับอนุญาตจากญาติพี่น้องแล้วในการยืมเงินจากทรัสต์ไปใช้ และยังจ่ายเงินให้ญาติพี่น้องคนละ 12 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อความเป็นเจ้าของของพวกเขาในทรัสต์ของตระกูลไปแล้วด้วย
เดือนธันวาคมปีที่แล้ว Esmerian พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เมื่อศาลสั่งปลดเขาออกจากการบริหาร Fred Leighton โดยศาลอ้างอิงข้อมูลที่ได้จากการรายงานของที่ปรึกษา ซึ่ง Merrill Lynch เป็นผู้ว่าจ้างให้จัดทำรายงานดังกล่าว ศาลแต่งตั้ง Tom Shull ผู้เชี่ยวชาญการพลิกฟื้นบริษัท ซึ่งเคยมีผลงานช่วยให้ Macy's กับ Barneys New York พ้นจากการล้มละลาย Shull หั่นรายจ่ายของบริษัทลงทันที 2.5 ล้านดอลลาร์ด้วยการตัดงบโฆษณา ลดรายจ่ายด้านการเดินทาง และมาตรการรัดเข็มขัดอื่นๆ พร้อมทั้งปรับปรุงระบบจัดการสินค้าคงคลังและปรับโครงสร้างให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เขายังเริ่มลดราคาเครื่องเพชรของ Fred Leighton เป็นครั้งแรก โดยลดราคาทุกอย่างลงถึง 40%
แต่นั่นก็ยังอาจจะสายเกินไป ยอดขายของ Fred Leighton ตกลงถึงครึ่งหนึ่งเหลือ 20 ล้านดอลลาร์มาตั้งแต่ปี 2003 และหลังจากล้มละลายเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน ก็ไม่เคยถึงจุดคุ้มทุนอีกเลย Shull ยอมรับว่าตลาดเครื่องเพชรหรูคงจะซบเซาต่อไป แต่ก็ยังหวังจะหานายทุนมาช่วยบริษัทให้อยู่รอดต่อไปได้ ส่วนชะตากรรมของ Merrill ก็แทบไม่ต่างกับ Fred Leighton ต้องถูก Bank of America ซื้อไป และสั่งยุบแผนกที่ตัดสินใจปล่อยกู้ให้ Esmerian ในการซื้อ Fred Leighton ส่วนพนักงานของ Merrill ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็ต้องออกไปจากบริษัท
ส่วนชะตากรรมของ Esmerian ถ้าโชคดีเขาคงแค่ถูกตัดสิน ว่าสะเพร่าเลินเล่อ แต่ถ้าโชคร้ายเขาก็คงถูกหาว่าโกง สำหรับ Esmerian เครื่องเพชรที่เขาสะสมมีค่าสูงเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต และเขาเชื่อว่า อัญมณีสูงค่าควรที่จะอยู่ในมือของคนที่เห็นค่าความงามของมันเท่านั้น เพื่อนของเขาบอกว่า Esmerian เป็นผู้ที่หลงใหล ในอัญมณีอย่างแท้จริง เป็นศิลปินมากกว่านักธุรกิจ แม้แต่ Shull ซึ่งศาลแต่งตั้งให้บริหาร Fred Leighton หลังปลด Esmerian ยังบอกว่า ถ้าหาเจ้าของใหม่ให้กับ Fred Seighton ได้ เจ้าของใหม่ ก็ควรจะจ้าง Esmerian ให้เป็นผู้อำนวยฝ่ายสร้างสรรค์
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ฟอร์จูน 30 มีนาคม
|
|
|
|
|