Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2530
ประเทศไทยต้องการผู้ว่าแบงก์ชาติแบบไหน?             
 

   
related stories

กำจร สถิรกุล "ใครจะเตะผมก็เชิญ"

   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
Banking and Finance




ตลอด 45 ปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินงานในฐานะเป็นธนาคารกลางงประเทศ มีการพูดกันมากถึงศักยภาพและความเป็นอิสระของสถาบันแห่งนี้ ในแง่มุมที่ยอมรับในขีดความสามารถของบุคคลตั้งแต่ระดับผู้ว่าการลงมาถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานที่สูงกว่าสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศ นัยนี้กินความถึงเงื่อนไขพิเศษที่สถาบันแห่งนี้ตั้งอยู่ในสถานภาพีท่ปลอดจากการครอบงำและแทรกแซงขบวนการตัดสินใจทางนโยบายจากอิทธิพลทางการเมือง จากสถาบันการเมืองและระบบราชการภายนอก แม้ว่าก.ม.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 จะตราไว้ชัดเจนถึงการอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับและควบคุมดูแลทางนโยบายของกระทรวงการคลังก็ตามที (มาตรา 14) แต่อำนาจดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงฐานะความมีอิสระในกรอบของนโยบายที่เป็นหลักการทั่วไปของธนาคารกลางทั่วโลก แต่กระนั้นก็ตามในประวัติศาสตร์ 45 ปี ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีเหตุการความขัดแย้งในหลักการสำคัญระหว่างผู้ว่าการธนาคารชาติกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังถึง 5 ครั้งด้วยกัน และรุนแรงถึงขั้นผู้ว่าการธนาคารชาติต้องลาออกและถูกปลดออกยกตัวอย่างเช่น การลาออกของพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ผู้ว่าการคนแรก ได้ลาออกพร้อมกรรมการทั้งคณะ เพราะเรื่องวิธีการขายทุนสำรองทองคำในปี 2489 แม้อีก 2 ปีต่อมาท่านจะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติใหม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เพียง 4 เดือนเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีกรณีความขัดแย้งระหว่าง ม.ล.เดช สนิทวงศ์ กับรมต.คลังในปี 2495 เรื่องการเพิ่มค่าเงินบาท และการควบคุมสินค้าเข้า ผล ม.ล.เดชลาออกจากผู้ว่าการธนาคาร กรณีเกษม ศรีพยัคฆ์ และดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ก็เช่นกัน ทั้ง 2 คน ได้ลาออกจากผู้ว่าการแบงก์ชาติต่างกรรม00ต่างวาระกันโดยเหตุผลขัดแย้งกันรุนแรงในการปฏิบัติตามนโยบายการเงินกับรับบาล กรณีล่าสุด นุกูล ประจวบเหมาะกับรมต.คลัง สมหมาย ฮุนตระกูล ในปี 2527 ก็เช่นกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนำไปสู่การ "เข่นฆ่า" กันในหน้าที่การงาน โดยการปลดนุกูลออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแบบสายฟ้าแลบนั้น ก็เนื่องจากการปฏิบัตินโยบายรักษาสถาบันการเงินหลายประการ ที่เป็นชนวนสร้างความร้าวฉานในเรื่องส่วนตัวในที่สุด (อ่านรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมจาก "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 13 เดือนกันยายน 2527)

การลาออกและถูกปลดออกของผู้ว่าการธนาคารในอดีตด้วยเหตุผลความไม่พอใจจากการถูกควบคุมในวิธีการปฏิบัติทางนโยบายจากผู้มีอำนาจในกระทรวงการคลัง แสดงให้เห็นถึงความมีอิสรภาพในเนื้อแท้ของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งอยู่บนโครงสร้างอำนาจที่เปราะบางมากอุปมาอุปไมยก็เหมือนกับเหตุผลทางตรรกวิทยาที่ว่า ถ้าจะอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติตลอดไป ก็มีหนทางเดียวเท่านั้นคือ ยอมค้อมหัวให้กับอำนาจการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจในกระทรวงการคลัง ซึ่งแน่นอนย่อมสะท้อนเด่นชัดถึงสถานะภาพและบุคลิคภาพของผู้ว่าการธนาคารชาติเป็นเช่นไร

บุคคลอย่างพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ นายเกษม ศรีพยัคฆ์ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ และนุกูล ประจวบเหมาะ ได้เขียนประวัติศาสตร์เพื่อความมีอิสรภาพอย่างแท้จริงของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยบุคลิคภาพของการเป้นนักต่อสู้เพื่อหลักการอย่างหนักแน่นและสมเกียรติที่สุด

เอกกมล คีรีวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์เคยกล่าวว่าทิศทางของธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาในรูปใดขึ้นอยู่กับตัวผู้ว่าการฯ ซึ่งเหมือนกับประเทศต่างๆ ไม่ได้กล่าวถึงความมีชื่อเสียงของสถาบัน แต่ดูบุคลิกของผู้ว่าการว่าเป็นคนอย่างไร ความเชื่อมั่นในตัวผู้ว่าการเป็นดัชนีที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพของธนาคารกลางว่า จะมีบทบาทเพียงไรต่อหน้าที่ของธนาคารกลางที่มีอยู่มากมายเหมือนกับที่กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารชาติคนปัจจุบันได้สะท้อนความรู้สึกของตนเองถึงภาระหน้าที่รับผิดชอบด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า "เป็นงานคลุกฝุ่นจริงๆ" เพราะตั้งแต่หน้าที่การให้บริการทางการเงินในฐานะเป็นแหล่งรับฝากเงินกระทรวงการคลัง (ที่ไม่มีดอกเบี้ย) และการให้กู้ยืมแก่สถาบันธุรกิจการเงินเอกชน หน้าที่ด้านกำกับและควบคุมสถาบันการเงินให้อยู่ในฐานะที่มั่นคง สร้างศรัทธาแก่ประชาชน และหน้าที่สุดท้าย ด้านการเป็นกลไกทางการเงินเพื่อการพัฒนาระบบเงินและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งหน้าที่หลังนี้ไม่ใช่หน้าที่หลักเพียงเป็นหน้าที่เสริมตามนโยบายของรัฐบาล ปัญหาความหย่อนยานในวินัยทางการเงินที่เกิดขึ้นจากากรปฏิบัติหน้าที่อันนี้ของธนาครแห่งประเทศไทยจะมีผลต่อการถูกวิจารณ์ในทางเสียหายมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพและความสามารถในการจูงใจของผุ้ว่าการธนาคารชาติต่อรมต.คลัง

มันมีอยู่กรณีหนึ่งเกิดขึ้นในปีนี้ (2530) สมัยผู้ว่าการกำจร ทางธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่จะให้เงินอุดหนุนดอกเบี้ยต่ำในรูปซื้อลดตั๋วเงิน 60% ของมูลค่าแก่โรงสีในการพยุงราคาข้าวเปลือกนาปี (2530/31) วงเงิน จำนวน 5,000 ล้านบาท ด้วยทางธนาคารชาติเห็นว่าราคาข้าวระดับส่งออกปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว สถานะภาพทางการเงินของโรงสีเองก็ดีกว่าปีที่ผ่านมา การเพิ่มเงินอุดหนุนเข้าไปเกรงว่าจะเกิดผลต่อสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่สูงอยู่แล้วควรจะให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินอุดหนุนดอกเบี้ยต่ำนี้เองจะดีกว่า

แต่ข้อเสนอของธนาคารชาติเช่นนี้ทางกระทรวงการคลังไม่เห็นด้วย รมช.คลังศุภชัย พานิชภักดิ์ เห็นว่าต้นทุนของธนาคารพาณิชย์สูงอยู่แล้ว การให้เงินอุดหนุนแก่โรงสีเพื่อเพิ่มสต็อกการซื้อข้าวจากชาวนาในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไม่สมเหตุสมผลแม้นว่าทางธนาคารพาณิชย์จะมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่มากก็ตาม

แต่แล้วในที่สุดทางธนาคารชาติก็ต้องยอมกระทรวงการคลัง ให้เงินอุดหนุนโดยผ่านธนาคารพาณิชย์จำนวน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5%/ปี และธนาคารพาณิชย์ปล่อยต่อให้โรงสีในอัตรา 7%/ปีอีกต่อหนึ่ง

"เงินจำนวนนี้ได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมานี้เอง แน่นอนเราเห็นว่าทางคลังให้เหตุผลทางการเมืองเพื่อเอาใจประชาชนเป็นนัยสำคัญมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ" แหล่งข่าวในธนาคารชาติกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง

เหตุการณ์กรณีนี้แสดงชัดว่า ทางคลังต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปเป็นเครื่องมือทางการเงินของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา โดยไม่นำพาต่อหลักการการมีวินัยทางการเงินที่ธนาคารชาติยึดถือมาตลอด อีกด้านหนึ่งย่อมชี้ชัดว่าความสามารถในการจูงใจของผู้ว่าการธนาคารชาติต่อกระทรวงการคลังก็หย่อนยานด้วย

"คุณกำจรเป็นคนประนีประนอมโดยบุคลิก ทั้งที่งานนี้ท่านไม่เห็นด้วยก็น่าเห็นใจขืนทุบโต๊ะท่านมีสิทธิ์เด้งจากตำแหน่ง" แหล่งข่าวกล่าว

บางทีกรณีนี้อาจมองได้ว่ากำจรเป็นคนที่ชอบใช้ศิลปะ "การยืดหยุ่นในหลักการ" เวลา DEAL กับกระทรวงการคลังก็เป็นไปได้เพราะเล็งเห็นว่า การปฏิบัติตามนโยบายของกระทรวงการคลังเป็นเรื่องต้องระมัดระวังอย่างสูงที่ต้องเผชิญหน้า จุดนี้เองที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาในสมัยกำจรเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ มักจะถูกโจมตีจากคนภายนอกอยู่เสมอว่า สถานะภาพของแบงก์ชาติตกต่ำมาก

มันเป็นความรู้สึกเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผู้ว่าการแบงก์ชาติคนก่อน แต่เมื่อนำพฤติกรรมในยุคปัจจุบันมาพิจารณา ก็มีส่วนถูกไม่ใช่น้อย!!!

อย่างไรก็ตามถ้ามองถาพธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตัดออกจากบทบาทของผู้ว่าการแบงก์ชาติ มองเฉพาะตัวสถาบันโดดๆ ในยุคสมัยปัจจุบันแม้ว่าแบงก์ชาติอาจจะอยู่ในสถานภาพที่ต้องเป็นกลไกคอยควบคุมและการเสริมกลไกต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจให้สามารถต้านทานแรงกดดันจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหาภาคที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายในกรอบของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ก็ต้องให้ CREDIT กันพอสมควรว่า ธนาคารชาติทำได้ดี การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณค่าเงินบาทจากระบบ FIX CURRENCY เป็น BASKET CURRENCY มีผลอย่างมากต่อการช่วยให้ค่าเงินบาทลอยตัวตามสภาพที่เป็นจริงมากขึ้น มีส่วนส่งผลให้ FLOW OE FUNDS ในบัญชีเงินการชำระเงินเกินดุลในอัตราที่เพิ่มขึ้นอัตราเฉลี่ยปีละมากกว่า 90% (2527-2530) และฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับมูลค่าสินค้าเข้าประมาณ 4 เดือน ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2526 ซึ่งอยู่ในสัดส่วนประมาร 2 เดือนเท่านั้น (ดูกราฟประกอบ) สิ่งเหล่านี้แสดงว่าการปรับปรุงกลไกทางการเงินให้สอดคล้องกับภาวะความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมหาภาคที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างทันท่วงที มีส่วนอย่างสำคัยที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจมหาภาคภายใต้ยุคกำจรเป็นผู้ว่าการแบงกืชาติมีเสถียรภาพมาก

ในความสำเร็จของแบงก์ชาติยุคกำจรมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว…นี่เป็นสัจจะในการประเมินบทบาทฐานะทางประวัติศาสตร์!!

3 ปีหลังของแบงก์ชาติยุคกำจรมีความสำเร็จในการปฏิบัติตามนโยบายรักษษเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจระดับมหาภาค แต่ในความสำเร็จก็มีความล้มเหลวโดยเฉพาะความล้มเหลวในแง่บุคลิกภาพ (PERSONALALITY) และบารมี (CREDITABILITY) ของผู้ว่าการในสายตาของผู้มีอำนาจในกระทรวงการคลัง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us