คนโตของแบงก์ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างชาตรี โสภณพนิช ดูจะไม่แตกต่างจาก
OVERSEA-CHINESES คนอื่น ๆ เลย เขากล่าวว่าเขายังไม่คิดเรื่องรีไทร์แม้เขาจะอายุย่างเข้า
54 ปีแล้ว และกล่าวกับ “ผู้จัดการ” อีกว่า “ถ้าผมไม่นั่งตรง ผมโดนคน 2 หมื่นเตะคว่ำไปแล้ว” 8 ปีในตำแหน่งนี้นับวันแวดวงธุรกิจจะประหวั่นพรั่นพรึงกับการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าของเขา
ดุจปลาหมึกยักษ์กลางทะเลลึกในเวลาใช้หนวดโอบทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไว้ มันจะปล่อยหมึกอำพรางพฤติการณ์นั้นกระนั้นหรือ
?
ปี 2530 เป็นปีที่ชาตรี โสภณพนิช เผชิญปัญหาหนักหน่วง ต้องขบคิดถึงอนาคตอาณาจักรส่วนตัวของเขา
ความวิตกกังวลและภาระของเขาดูทับทวี
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ชาตรี โสภณพนิชได้รับตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทยและอีก
4 เดือนต่อมา (มิถุนายน) เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาธนาคารอาเซียนในห้วงเวลาดังกล่าวนี้เขาก็ได้แสดงบทบาทอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
มีการเสนอความคิดเห็นใหม่ ๆ บางคนบอกว่าชาตรีเดินทางมาถึงจุดบารมีขั้นสูงสุดและบทบาทเด่นชัดในปีนี้คือทำงานเพื่อสังคม
แต่ผู้ใกล้ชิดบอกว่า 2530 นี้ทายาทของเขาทั้ง 4 คนกลับจากเรียนหนังสือระดับปริญญาโทเริ่มทำงานกันแล้ว
เขาและเธอถูกชาตรีจัดวางตำแหน่งสำคัญอันแสดงถึงการวางแผนเพื่ออาณาจักรที่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
ในอีกด้านหนึ่งผู้สนใจติดตามความเคลื่อนไหวของชาตรี โสภณพนิช ตั้งข้อสังเกตว่าปีนี้ธุรกิจส่วนตัวของเขาเคลื่อนไหวอย่างมาก
ดูเงียบ ๆ แต่มีความหมาย แล้วมีความหมายเช่นไรเล่า??
คนที่รู้จักชาตรีดีเชื่อว่าชาตรีก็ยังเป็นชาตรีต่อไป คนที่ใช้ชื่อว่าเป็นนักต่อสู้ที่สุดในตระกูลโสภณพนิช
ว่ากันว่า แข็งขืนแม้อำนาจของผู้เป็นพ่อ-ชิน โสภณพนิช และเป็นผู้ที่มีความพยายามพัฒนากลยุทธ์และบทเรียนของผู้เป็นพ่อที่สุดเช่นกัน
ชาตรี โสภณพนิช เป็น HONGKONG-TRAINED เจ้าตัวบอกว่าเกิดที่เมืองไทยแต่ในวัยเด็กจนถึงรุ่นกระทงเขาผ่านการศึกษาและอบรมที่ฮ่องกง
เมื่ออายุ 19 ปีเขามาเมืองไทยช่วงสั้น ๆ นั้น เขาเป็นหนุ่มสูงใหญ่หุ่นดี (เพราะเล่นกล้าม)
เข้าสังคมเก่ง สุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี ซึ่งตรงกันข้ามลักษณะคนประหยัดอีกด้านหนึ่งของเขา
อยู่เมืองไทยไม่นานก็ผันตัวเองไปฝึกงานด้านการธนาคารที่อังกฤษ ในระยะไล่เลี่ยกับจงจิตต์
จันทมงคล (ผู้จัดการศูนย์บริการกลางปัจจุบัน) ซึ่งเป็นนักเรียนทุนแบงก์กรุงเทพคนแรก
เข้าพักห้องเช่าที่เรียกว่า BORDERING HOUSE ย่าน NOTHING HELLGATE-BAYEWATER
ใกล้ๆ PADDINGTON ห้องนอนแคบๆ มีห้องน้ำรวม ไม่แสดงตัวว่าเป็นลูกคนรวยเลยแม้แต่น้อย
แม้จะเรียนหนังสือไม่เก่งและชอบเที่ยวอยู่บ้าง แต่หนุ่มชาตรีก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคาทอลิกที่ดี
เขาเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เมื่อแต่งงานกับสุมณี ก็ทำพิธีที่โบสถ์วัดมหาไถ่
ซอยร่วมฤดี
หนุ่มธุรกิจบนเกาะฮ่องกงเมื่อ 30 ปีที่แล้วคือยุคคนหนุ่มแสวงหาความร่ำรวยจากการเสี่ยงโชคทางธุรกิจ
ท่ามกลางการเจริญเติบโตอย่างเด่นชัดของย่านแปซิฟิกภายหลังสงครามโลกครั้งที่
2 จนย่านนี้กลายเป็นศูนย์ความสนใจขึ้นมา ชาวจีนโพ้นทะเลหลายคนร่ำรวยขึ้นในช่วงนี้
เป็นความร่ำรวยจากการฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์อย่างแท้จริง
ความร่ำรวยนั้นไม่ใช่การพัฒนาทางอุตสาหกรรมการผลิต หากเป็นการซื้อขายมาแบบเก็งกำไร
ชาตรี โสภณพนิช เติบโตขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
ในเวลาเดียวกับชิน โสภณพนิช ผู้พ่อกำลังสร้างอาณาจักรธุรกิจ จากสถานการณ์เช่นเดียวกับชาวจีนโพ้นทะเลคนอื่น ๆ
ซึ่งไม่ได้จำกัดตัวอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่ง
หนึ่งในนั้นคือการค้าเงินตรา-ธุรกิจนี้สร้างความร่ำรวยให้คนหลายคน ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเอเชียอาคเนย์คือชิน โสภณพนิช นี่เอง จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไรที่จุดเริ่มต้นในชีวิตการทำงานของชาตรีก็เริ่มต้นตรงจุดนี้
เขาเข้าฝึกงานด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับจอห์นนี่ มา (วัลลภ
ธารวณิชกุล) ที่บริษัทเอเชียทรัสต์
อันเป็นเวลาใกล้เคียงกันนั้นชินต้องระเห็จจากเมืองไทยไปปักหลักที่ฮ่องกง หลักฐานระบุว่า
เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เถลิงอำนาจภายหลังจากการโค่นอำนาจฝ่ายซอยราชครู ซึ่งชินเกาะเกี่ยวตลอดมา
ชินจึงตกอยู่ในแบล็กลิสต์ของจอมพลม้าขาวผ้าแดงอย่างมิต้องสงสัย
การเดินทางจากประเทศไทยครั้งนั้นของชินมีความหมายทางประวัติศาสตร์หลายประการ
สิ่งที่ผู้คนพูดกันมาก ก็คือการเดินทางสายแห่งอำนาจจำเป็นมากในการดำเนินธุรกิจ
บทเรียนสำคัญข้อนี้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน เป็นบทเรียนคลาสสิกมากบทหนึ่ง ชาตรีก็เก็บรักษาไว้อย่างไม่รู้ลืมเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้นความหมายทางประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ซึ่งตกทอดมาถึงชาตรี โสภณพนิชอีก
2 ประการ หนึ่ง-สถานการณ์บังคับให้ชินเข้าสู่โลกทางธุรกิจอย่างกว้างขวางมากขึ้น
นำมาซึ่งความเติบใหญ่อย่างรวดเร็วของแบงก์กรุงเทพในช่วงหลังกึ่งพุทธกาล สอง-ตอกย้ำจิตสำนึกผู้อพยพนายแบงก์มากที่สุด
แม้ว่าขณะนั้นนายห้างชินยังลังเลใจ อันเนื่องจากเขามีลูกที่เกิดจากภรรยาในเมืองไทยหลายคน
ทั้งอาไน้ (บุยศรี) ก็กดดันเขามากในเรื่องนี้
ผู้รู้วิสัชนาว่าที่ผู้คนมองภาพชาตรีนั้นดูเด่นเพราะนายห้างชินยกขึ้นนั้นไม่จริงเสียทีเดียว
หากแต่ชาตรีเป็นโสภณพนิชแข็งขืนโชคชะตาอย่างมากคนหนึ่งด้วย
“ผู้จัดการ” ฉบับเดือนมีนาคม 2530 กล่าวไว้ว่า “ชินเล่นทองตามยุคสมัยขณะนั้น
ส่วนชาตรีเล่นหุ้นในยุคสมัยนี้” ช่างสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ว่า ชิน
สร้างรากธุรกิจก่อนเทกโอเวอร์แบงก์กรุงเทพจากการเล่นทอง ส่วนชาตรี “เล่น”
หุ้นสร้างฐานอำนาจก่อนขึ้นเทกโอเวอร์ตำแหน่งสูงสุดในแบงก์กรุงเทพในปี 2523
จุดเริ่มต้นประจวบกับประเทศไทยเริ่มมีตลาดหุ้นในปี 2518 ชาตรีกับพวกตั้งบริษัทลงทุนด้านนี้ชื่อบริษัท
หลักทรัพย์เอเชีย ในปี 2517 หลังจากทราบว่าจะมีการสถาปนาตลาดหุ้นขึ้น ผู้ใกล้ชิดชาตรีกล่าวว่าแท้จริงก่อนหน้านี้เขามีบริษัทส่วนตัวของเขาบริษัทหนึ่ง มีลักษณะเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี เข้าถือหุ้นในกิจการต่าง ๆ นอกตลาดหุ้น คือบริษัทเอเชียเสริมกิจ ในปี 2515
เป้าหมายของชาตรีแจ่มชัดเสียนี่กระไร หนึ่ง-ใช้เอเชียเสริมกิจ เป็นหัวหอกเข้าถือหุ้นธุรกิจอันเกี่ยวข้องในปี
2522 โดยซื้อกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจจากน้องสาวคนละแม่ชดช้อย
โสภณพนิช ปัจจุบันเป็นกิจการแสดงทิศทางและอนาคตของชาตรี โสภณพนิชเลยทีเดียว
สอง-บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย ทุ่มตัวเข้าลงทุนในการซื้อหุ้นแบงก์กรุงเทพอย่างขนานใหญ่
เป็นหัวหอกประสานกับกลุ่มเพื่อนพ้องเพื่อการนี้ในฐานะเป็นซับโบรกเกอร์
เขาเร่งเครื่องตั้งแต่ต้นปี 2520 ผลักดันให้การซื้อขายหุ้นธนาคารกรุงเทพทะยานขึ้นไประดับ
1,000 ล้านบาท พร้อมกับดันราคาซื้อขายพุ่งขึ้นเกิน 300 บาท/หุ้น และขึ้นไปสูงลิ่วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ระดับ 500 บาท/หุ้น ในกลางปี 2521
มีคำถามง่าย ๆ ว่าชาตรีทำอย่างนั้นทำไม?
คำตอบที่พอจะกล้อมแกล้มก็คือ หนึ่ง-ในฐานะกรรมการแบงก์และผู้บริหารระดับสูงการมีหุ้นในแบงก์ย่อมมีความหมายว่ามีส่วนร่วมในกิจการอย่างแท้จริง
ในทางกลับกัน อำนาจหุ้นมากก็คือการยั่งยืนของอำนาจบริหารกิจการ สอง-ไม่มีการค้าอะไรที่มีดอกผลได้ดี
เท่ากับกิจการที่ตนเองรู้เรื่องอย่างถึงแก่น “สมัยนั้นคงไม่มีใครพูดถึงอินไซเดอร์กันหรอก”
แหล่งข่าวคนหนึ่งสัพยอก
ห้วงเวลานั้นปรากฏบุรุษร่างใหญ่ หุ่นใกล้เคียงกับชาตรี เขาผู้นั้นได้แก่
สว่าง เลาหทัย ชาตรีรู้จักเขาและประทับใจอย่างมากในการเป็นพ่อค้านักเก็งกำไรอันเป็นปรัชญาเดียวกับเขาในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันปี
2516-2517 พันธมิตรทางธุรกิจจึงก่อรูปขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นสไตล์การดำเนินธุรกิจ,
การขยายอาณาจักรของสว่าง โดยใช้ยุทธวิธีใช้เงินก้อนใหญ่ทุบคู่แข่งล้มคว่ำนั้นมีท่วงทำนองเดียวกันกับการเล่นหุ้นแบบ SHORSALE ของชาตรีด้วย
ในที่สุดสว่าง เลาหทัยก็เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และกรรมการบริษัทส่วนตัวของชาตรีทั้งสองบริษัทสำคัญ คือเอเชียเสริมกิจและหลักทรัพย์เอเชียด้วย
กระบวนการ “ล่า-ไล่” หุ้นแบงก์กรุงเทพของกลุ่มนี้ สมควรจะขยายความต่อไป
เพราะการผนึกกำลังระหว่างชาตรี-สว่าง ชาตรีจึงได้พันธมิตรใหม่อีกหลายบริษัทในปี
2523-2524 หากใครตรวจดูรายชื่อผู้ถือหุ้น 4 อันดับแรกจะพบว่ามีเพียงกระทรวงการคลังเท่านั้นที่ถือหุ้น
8.67% และไม่เกี่ยวกับชาตรี โสภณพนิช ส่วนที่เหลือนั้นเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
ได้แก่สินเอเซีย 7.3% หลักทรัพย์เอเชีย 4.46% และยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ 3.45%
สินเอเซียนั้นเป็นกิจการในเครือแบงก์กรุงเทพ ซึ่งชาตรีได้รับมอบหมายให้ดูแลตั้งแต่เขาเป็นกรรมการแบงก์
ปรากฏว่าภายหลังกิจการนี้ชาตรีกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่แตกต่างจากร่วมเสริมกิจนัก
เพียงแต่ว่าระยะหลังมีกลุ่มแบงก์ฝรั่งเศสเข้าถือหุ้นส่วนหนึ่ง ส่วนยูไนเต็ดฟลาวมิลล์
นั้นเป็นกิจการของสว่าง เลาหทัย ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์เอเชียถือหุ้นประมาณ 10% ด้วนเช่นกัน
ในปี 2522 บริษัทหลักทรัพย์เอเชียเพิ่มทุนรวดเดียวจาก 10 ล้านบาทเป็น 1,000 ล้านบาท
แม้ว่าทุกอย่างจะลงตัวด้วยดี แต่ทั้งชาตรีและสว่างก็เหน็ดเหนื่อยทั้งคู่
ว่ากันว่าชาตรีผู้เคร่งศาสนาคริสต์ ได้กลายเป็นผู้นิยมกินยาแก้ปวดพักใหญ่ และนั่งสมาธิไปในที่สุดและแล้ววันที่ 14 มีนาคม 2523 ชาตรี โสภณพนิช ก็ได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงเทพสมใจนึก
การขึ้นจุดสูงสุดของชาตรี โสภณพนิช มีแรงสนับสนุนจากบุญชู โรจนเสถียร ผู้จัดการใหญ่คนเดิมผู้ลงจากเวทีเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจสำหรับนายห้างชิน แล้วก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ “นายห้างคิดว่าปล่อยให้คุณชาตรีบริหารแบงก์กรุงเทพไปก่อน เมื่อไม่เป็นไปตามเจตนา แกก็จะลงมาว่าเอง” แหล่งข่าวผู้หนึ่ง
ซึ่งในที่สุดนายห้างชินคิดผิด เพราะการขึ้นมาของชาตรี มิใช่เพียงบุญชู ผู้ซึ่งนายห้างเกรงใจหนุนเท่านั้น
ชาตรีกับพวกยังครอบครองหุ้นข้างมากของแบงก์กรุงเทพไว้ในกำมือด้วย
พร้อม ๆ กับการที่เขาได้สร้างอาณาจักรธุรกิจส่วนตัวขึ้นแวดล้อมธุรกิจธนาคาร ซึ่งหนุนและเกื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต่อมาภายหลังนายห้างก็ได้รับรู้ว่าชาตรีมิได้ดำเนินการตามกิจการของเขานัก แต่รายละเอียดจริงๆ นายห้างก็ทำอะไรไม่ได้นัก พอจะทำได้บ้างก็มีเพียงดึงโชติกลับมา เมื่อโชติลาออกจากแบงก์ครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเอง
“FAT BUT FAST” ไม่รู้ใครตั้งฉายานี้ให้ชาตรี โสภณพนิช อย่างเห็นภาพเมื่อเขาเลิกเล่นกล้ามร่างกายของเขาดูอ้วนมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ชอบทำอะไรเร็ว ๆ ชอบความเร็ว เช่น ชอบนั่งรถสปอร์ต ยี่ห้อปอร์เช่,
เรือเร็วที่ได้มาทั้งซื้อเองและรับอภินันทนาการแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ลำ
แต่เวลาเกือบ 8 ปีในแบงก์กรุงเทพสำหรับชาตรีแล้ว ประหนึ่งเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
“ผมยังไม่เคยคิดเรื่องรีไทร์” เขาตอบ “ผู้จัดการ” อย่างตรงไปตรงมาเมื่อถูกถามถึงอนาคตของเขาเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
ผู้ใกล้ชิดเล่าว่า ชาตรีแม้จะนิยมความเร็วแต่เขาต้องใช้เวลาอีกมากนับจากปี 2530 เป็นต้นไป?
ชาตรีซึ่งพยายามเดินตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ-ชิน โสภณพนิช แต่ก็มีหลายอย่างที่เขาทำไม่ได้
ขณะเดียวกันเขารู้สึกว่าเป้าหมายของเขาคือ “ความยิ่งใหญ่” ที่เป็นภาพชัดเจนนั่นคือเงินที่ได้รับและเก็บไปฝากไว้ ณ ธนาคารแห่งหนึ่งแห่งใด มากกว่าการสร้างอนุสรณ์เช่นชาวจีนโพ้นทะเลผู้พลัดพรากจากถิ่นพึงกระทำกัน
ชาตรีต่างกับพ่อที่อยู่สูงเกินไป กลายเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนหอคอย สมัยชินเขาอยู่กับพนักงาน
ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงาน เขาฟังทุกคน และมีคนคอยทัดทานเขา สำหรับชาตรีห้องทำงานชั้น
26 ของเขามีพนักงานแบงก์ระดับสูงไม่กี่คนที่เข้า ๆ ออก ๆ องค์กรที่ใหญ่มีพนักงานประมาณ
2 หมื่นคนกลายเป็นข้อเสียไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่บางคนก็อีกนั่นแหละที่บอกว่า
ชาตรีเก่งกว่าพ่อตรงที่เขาสามารถครอบครองอำนาจในแบงก์ ซึ่งพัฒนาไปกว่าเดิมอย่างมากได้
ชินใช้ “บุญคุณน้ำมิตร” ส่วนชาตรีเดินตามเส้นทาง “การสร้างอาณาจักรแห่งอำนาจ”
นักบริหารมืออาชีพถกเถียงกันอย่างหนักถึงแบบฉบับหรือสไตล์การบริหารแบบชาตรีและชิน
ว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพกว่ากัน
ชินกับบุญชูคืออำนาจ 2 ส่วนที่คานกันและผลักดันให้แบงก์ก้าวไป ส่วนชาตรีเป็นศูนย์รวมของการตัดสินใจ โดยมีมืออาชีพระดับดอกเตอร์แวดล้อมอยู่ด้วยไม่กี่คน
แบงก์กรุงเทพเติบโตอย่างก้าวร้าวเพราะเข้ารับช่วงของภารกิจของแบงก์ อาณานิคมซึ่งต้องถอยร่นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อเนื่องมา
ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของพ่อค้าขณะนั้นกว่า 80% ใช้บริการของแบงก์กรุงเทพ
กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านั้นกับนายห้างมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อน “ที่นายห้างต้องไปถือหุ้นในกิจการเหล่านั้นเพราะความจำเป็น เพื่อนขอร้อง ความจริงแล้วแกไม่ต้องการหรอก” คนเก่าแก่แบงก์กรุงเทพกล่าว
อดีตพนักงานด้านสินเชื่อยุคแรก ๆ ของแบงก์กรุงเทพคนหนึ่งทบทวนเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนว่าเขาเคยเสนอแผนการที่เรียกว่า EQUITY PARTICIPATIION ซึ่งหมายความว่าให้แบงก์เข้าไปถือหุ้นในกิจการต่าง ๆ
ตามสัดส่วนหนึ่งของแบงก์ชาติกำหนด เหตุผลที่ยกมาอ้างสมัยนั้นก็คือเปิดโอกาสให้พนักงานระดับสูง-กลางได้ฝึกฝนในภาคสนาม และเปิดช่องทางให้พนักงานระดับรองไต่ขึ้นตำแหน่งที่สูงได้ แต่ได้รับการปฏิเสธจากนายห้างชิน
“นายห้างไม่ต้องการถือหุ้นในกิจการต่าง ๆ เพราะไม่ต้องการเข้าไปรับภาระเวลากิจการมีปัญหา”
แหล่งข่าวคนเดิมสรุป เน้นว่ามิใช่ว่ากลัวใครจะหาว่าเป็น “ปลาหมึกยักษ์”
หรอก แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างนายห้างกับลูกค้าก็ดำเนินไปด้วยดี
เพราะบทบาท TRADEFINANCING ของแบงก์กรุงเทพครอบคลุมเกือบทั้งวงการค้าระหว่างประเทศ
เวลาไปถามวงการค้าเก่าแก่ ภาพนายห้างชินจึงดูเจิดจ้าในใจพวกเขาเหล่านั้น มิเพียงเป็นนายเงิน หากเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูด้วย
ส่วนชาตรี โสภณพนิชเองก็พยายามสืบเท้าตามนายห้างในกลยุทธ์ที่ “ไม่จำเป็นจริงๆ
ผมไม่ไปถือหุ้นในกิจการอื่นๆ” แต่ทว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ทั้งองค์กรของแบงก์กรุงเทพเปลี่ยนแปลงไปมากกว่า 20 ปีก่อน ชาตรีจึงหนักใจอย่างยิ่งว่าเขาจะรักษาความภักดีของลูกค้าเดิมไปพร้อม ๆ กับการสร้างสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับลูกค้าใหม่แบบที่ผู้เป็นพ่อเขาสร้างมาได้อย่างไร
สิ่งที่วงการธุรกิจสัมผัสได้จากกลยุทธ์ดังกล่าวของชาตรีก็คือ กลุ่มธุรกิจของเพื่อนเขาโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
พร้อม ๆ กับการทุบคนอื่นล้มคว่ำลง!!!
ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันมิเป็นเพียงลูกค้าแบงก์กรุงเทพอย่างมากเท่านั้น
การค้าพืชไร่หดตัว และลดบทบาทความสำคัญตามลำดับ ในขณะที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังไม่มีอุณหภูมิเพียงพอจะให้เติบโต
ธุรกิจรายย่อยเกิดขึ้นอย่างมาก เวลาเดียวกับแบงก์พาณิชย์อื่นก็เปิดฉากแข่งขันแย่งชิงลูกค้าอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนที่แบงก์กรุงเทพเองสายสัมพันธ์เก่าแบบ “บุญคุณน้ำมิตร” ค่อยๆ
จางไป แทนที่ด้วยการที่พ่อค้ารุ่นเก่าที่ยังไม่ตาย ต้องมาอธิบายตัวเลขอย่างน่าปวดหัวกับดอกเตอร์รอบข้างชาตรี แทนการนั่งจิบน้ำชา ถามสารทุกข์สุกดิบไปพลางคุยเรื่องงานไปพลางเช่นสมัยก่อน
HUMAN RELATIONSHIP กำลังจะหมดไป แทนที่การ DEAL แบบนักธุรกิจสมัยใหม่ที่ถือคัมภีร์เอ็มบีเอกันแล้ว
ชาตรีจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการจับ “ลูกค้า” กลุ่มหนึ่ง แล้วสนับสนุนพวกเขาเหล่านั้นทางธุรกิจรุนแรงขึ้น
บนเวทีธุรกิจที่ไม่เปิดกว้างเช่น 20-30 ปีก่อน วงการธุรกิจจึงมองว่าเขากับเพื่อนกำลังสร้างอาณาจักรธุรกิจขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งอย่างช่วยไม่ได้!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2530 นี้ ชาตรีและเพื่อนรุกคืบอย่างรุนแรง และเงียบเชียบอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน
เดือนพฤษภาคมบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ, เอเชียเสริมกิจและแบงก์กรุงเทพ
ประกาศร่วมทุนกับกลุ่มมิตซุยตั้งบริษัทกรุงเทพฯ-มิตซุยพาณิชย์ลิซซิ่งฝ่ายละ 50% ด้วยเงินลงทุนครั้งแรก 40 ล้านบาท โดยเชื้อเชิญอดีตอธิบดีกรมสรรพากร วิทย์ ตันติยกุลมาเป็นประธานกรรมการ องค์ประกอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นฝ่ายแบงก์กรุงเทพนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทส่วนตัวของชาตรี โสภณพนิช ในครั้งนี้ว่าเป็นการเสริมสร้างฐานอำนาจธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแบงก์และเกื้อกูลซึ่งกันและกันออกไปให้แขนขายาวขึ้น
แสวงหาลูกค้ามากขึ้นต่อไป เป้าหมายแจ่มชัดว่าบริษัทนี้เน้นทำลิสซิ่งประเภทเครื่องจักร
ซึ่งสอดคล้องกับภาวะการลงทุนที่กลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่นกำลังพาเหรดเข้ามาในประเทศไทยอย่างมาก
การร่วมกับมิตซุยก็มุ่งสร้างสัมพันธ์ญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ทั้งกำลังเงินก็มีมากขึ้นด้วย
“หากไม่ต้องการเน้นลูกค้าญี่ปุ่นแล้ว คุณชาตรีเขาก็มีบริษัทลิสซิ่งอยู่แล้ว ได้แก่ เอเชียเสริมกิจลิซซิ่ง
ซึ่งลูกชายคนหนึ่งของเขาดูแลอยู่” แหล่งข่าวในแวดวงสรุป
อีก 4 เดือนต่อมา ชาตรีก็จับมือกับมิตซุยอีกครั้งในการร่วมทุนตั้งบริษัทซิตี้เรียลตี้
ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท เช่นเดียวกับชาตรีในแบงก์กรุงเทพมีเอี่ยว 7%
บริษัทส่วนตัว-ร่วมทุนเอเชีย 20% และพันธมิตรกลุ่มแชงกี-ลา 25% ส่วนมิตซุย
20% งานนี้สุนทร อรุณานนท์ชัย ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของชาตรีเป็น MATCH MAKER
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นอีกแผนการหนึ่งในการเสริมสร้างอำนาจทางธุรกิจ ขยายเครือข่ายธุรกิจก่อสร้าง
เริ่มตั้งแต่ทำการซื้อขายที่ดินรับเป็นที่ปรึกษา จัดการลงทุน รับจัดสรรที่ดินเพื่อสร้างอาคารพาณิชย์และอาคารสำนักงาน
ชาตรีกล่าวกับ “ผู้จัดการ” ว่าเขาจำเป็นต้องไปร่วมทุนกับกิจการอื่นนั้น ก็เพื่อหาลูกค้ามาให้แบงก์กรุงเทพในทางตรงกันข้ามมีผู้อธิบายว่า เพราะมีแบงก์กรุงเทพ กลุ่มแขนขาของชาตรีจึงขยายกว้างออกไปอีก
เมื่อชาตรี โสภณพนิชเข้าร่วมทุนกับกลุ่มมิตซุย ผู้คนในวงการต่างก็คิดถึงสว่าง เลาหทัย และคิดว่าสายสัมพันธ์ดังกล่าวจึงเชื่อมต่อมาถึงชาตรี แต่เท่าที่ “ผู้จัดการ” ศึกษาแบงก์กรุงเทพอย่างละเอียด พบว่า แบงก์มิตซุยกับแบงก์กรุงเทพมีความสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
สาขาแบงก์ที่โตเกียวเป็นที่รู้กันว่าแบงก์มิตซุยมีส่วนช่วยไม่น้อยทีเดียว
ส่วนกรณีสว่าง เลาหทัย คนผู้นี้ร่ำเรียนในญี่ปุ่น รู้จักบริษัทญี่ปุ่นมากก็จริงเมื่อเผชิญปัญหาวิกฤตการณ์กลุ่มศรีกรุงวัฒนานั้น ชาตรีเป็นคนเชื่อมต่อกลุ่มมิตซุยเข้ามาค้ำจุนกิจการ เป็นอำนาจใหม่ที่ชาตรีใช้พูดกับสว่างรู้เรื่องกว่าความเป็นเพื่อน
เป็นที่ทราบกันว่านายห้างชินไม่ชอบ “เล่น” ที่ดิน เพราะประสบการณ์การ “เล่น” ที่ดินของแบงก์กรุงเทพในยุคเริ่มแรกทำให้แบงก์กรุงเทพเกิดปัญหาสภาพคล่องอย่างร้ายแรง
นั่นเป็นวิธีอธิบายแบบที่หนึ่ง อีกแบบหนึ่งก็คือความเป็นผู้อพยพของนายห้างชินที่ไม่จบสิ้นดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นสำหรับชาตรีแล้วเขาพูดกับ
“ผู้จัดการ” เองว่าเขาไม่ชอบ “เล่น” ที่เหมือนกัน แต่ไม่ถึงขั้นผู้เป็นพ่อ
“ผมซื้อบ้างก็เล็กน้อย เพราะช่วงนี้ธุรกิจนี้กำลังไปดี” ปัจจุบันชาตรีมีที่ดินหลังแบงก์กรุงเทพสำนักงานใหญ่ประมาณ 10 ไร่ ปัจจุบันเป็นที่จอดรถอยู่ และเพิ่งซื้อใหม่อีกแปลงอยู่ริมถนนสาทร
ส่วนการตั้งบริษัทที่ปรึกษาก็ดี หรือร่วมเสริมกิจตั้งบริษัทอาร์อีซี จัดสรรที่ดินก็ดีนั้น
ชาตรีอธิบายว่าต้องการแก้ปัญหาให้ลูกหนี้ที่มีหลักทรัพย์เป็นที่ดิน กลุ่มของเขามิได้มุ่งค้าที่ดินโดยตรง
บทบาทด้านลึกของชาตรี โสภณพนิช ที่วงการแปลกใจกันมากอยู่ที่การเป็นประธานกรรมการบริษัทบางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ผู้เช่าทีวีช่อง 3 และการร่วมทุนกับมิตซุย-รัสเซีย-ศรีกรุงวัฒนา ทำการส่งออกสินค้าเอง
ช่อง 3 เป็นกิจกรรมของตระกูลมาลีนนท์ นำโดยวิชัย มาลีนนท์ ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดที่สายสัมพันธ์ทางธุรกิจอันแนบแน่นกับจอห์นนี่ มา และในบรรดาผู้ร่วมงานใกล้ชิดจอห์นนี่ มานั้นก็มีกีรติ อรุณานนท์ชัย ผู้เป็นอาของสุนทร
อรุณานนท์ชัยร่วมอยู่ด้วย กีรติเคยพูดว่าเขาเป็น “มือซ้าย” ของจอห์นนี่ มา ในขณะที่วิชัย มาลีนนท์เป็น “มือขวา” ฉะนั้นการที่สุนทรเข้ามามีส่วนในแผนการขยายเครือข่ายทีวีของช่อง 3 ในจุดสุดยอดคือการจัดหาเงินทุน 1,200 ล้านบาท และการที่สุนทรโยกแผนการดังกล่าวสถาบันการเงินในอังกฤษรายหนึ่งมาแบงก์กรุงเทพก็มีความหมายสำคัญยิ่ง
โดยติดตามมาด้วยชาตรี โสภณพนิช เข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทเป็นรายแถมพก
“หากคุณรู้ธุรกิจทีวีดี คุณก็จะรู้ว่าเงินหมุนเวียนระหว่างผู้สร้างหนังเอเยนซี่โฆษณา รอบมันหมุนเร็วแค่ไหน หากแบงก์กรุงเทพ ยืนอยู่ตรงกลางแล้ว เงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จะไหลมาจำนวนมาก คุณชาตรีแกเข้าใจเรื่องนี่ดี” แหล่งข่าวผู้รู้เรื่องราวดีกล่าว
ย่อมเข้าสูตรกลยุทธ์ของชาตรีที่เขากล่าวกับ “ผู้จัดการ” ไว้แล้วข้างต้น
ส่วนกรณีการค้าระหว่างประเทศ อันเป็นการร่วมทุนหลายฝ่าย รัสเซีย-มิตซุย
-แบงก์กรุงเทพ-ศรีกรุงวัฒนา ทำให้ผู้ติดตามความเคลื่อนไหวของแบงก์กรุงเทพมาตลอดตั้งข้อกังขา
แบงก์นี้กำลังจะก้าวล้ำบทบาทเดียวที่ TRADE FINANCING มาเป็น TRADER เสียเอง
ชาตรี โสภณพนิชไขข้อข้องใจนี้ผ่าน “ผู้จัดการ” ว่าเขาต้องการทำหน้าที่เดิมเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเมื่อแบงก์รัสเซียถือหุ้น 10% แบงก์ก็จำเป็นต้องถือ 10% ด้วย
“มันเป็นมารยาท” เขาเน้น
บางคนบอกว่ามันเป็น “ความต่อเนื่อง” ของความสัมพันธ์ระหว่างชาตรี-สว่าง
และเป็น “จุดอ่อนเปราะ” สไตล์การสร้างอาณาจักรธุรกิจให้เพื่อน
(ลูกค้า)
สว่าง เลาหทัยได้รับการสนับสนุนจากชาตรีอย่างมากในการสร้างอาณาจักรธุรกิจของเขาจนเติบใหญ่
แต่เมื่อเขาไม่ละทิ้งการค้าแบบเสี่ยงโชคไปสู่ที่ก้าวหน้าซึ่งนักวิชาการกล่าวว่า
เป็นการก้าวไปสู่อุตสาหกรรมการผลิต แต่ทว่าสว่างจมปลักอยู่กับการค้าแบบเดิม
ครั้นเผชิญวิกฤตหนี้เลยท่วม จนจุกอกชาตรีมาจนทุกวันนี้ “สิ่งที่นายห้างชินกลัวมากได้เกิดขึ้นในยุคของคุณชาตรีแล้ว”
อดีตพนักงานอาวุโสแบงก์กรุงเทพกล่าวอย่างปลงๆ
สว่าง เลาหทัย สหายผู้ช่วยค้ำบัลลังก์ชาตรีในการกว้านซื้อหุ้นแบงก์กรุงเทพครั้งกระโน้น
กลายเป็น “หอกข้างแคร่” ไปเสียแล้ว ชาตรีพยายามอย่างยิ่งยวดในการแก้ปมเหล่านี้
ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดูจืดจางไปบ้าง แต่เขาก็มิอาจทำอะไรได้มากกว่า
“การเลี้ยงไข้” ต่อไป
แม้ว่าทุกวันนี้บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย กลุ่มสว่างยังถือประมาณครึ่งหนึ่ง แต่บทบาทของเขาลดถอยลงตามลำดับ เมื่อชาตรีส่งลูกชายคนหนึ่งของเขาเข้าไปเทกโอเวอร์ เช่นเดียวกับบริษัทเอเชียเสริมกิจแต่เดิมสว่าง
เลาหทัยเป็นกรรมการผู้จัดการก็ถูกแทนที่ด้วยลูกชายคนเดิมของชาตรีคนนั้นอีก
ชาตรี โสภณพนิชจึงมายืนในจุดที่หาจุดยืนยากเหลือเกิน เขาต้องพลิกแพลงอย่างมากในการแสวงหาลูกค้าใหม่ที่ซื่อสัตย์พร้อม ๆ กับการรักษาความภักดีของลูกค้าเดิมและลูกค้าเก่าก็ยังไม่ได้พัฒนาการธุรกิจไปกว่าเดิมด้วย
เพราะเหตุนี้กระมังชาตรีจึงรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาอีกมาก
เช่นเดียวกับทายาทของเขาก็เพิ่งเริ่มต้นในยุทธจักรกันด้วย ภาระในการสร้างอาณาจักรส่วนตัวและการจัดวางบทบาทเพื่ออนาคตจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ชาติศิริ ลูกชายคนโตอายุ 28 ปี จบเอ็มบีเอที่ SLOAN SCHOOL OF MANAGEMENT
ได้ชื่อว่าเป็นคนง่าย ๆ ไม่แสดงความร่ำรวย สมัยเรียนเมืองนอกก็นั่งรถเมล์เป็นประจำ
เขาได้รับวางบทบาทหลักอยู่ที่แบงก์กรุงเทพอย่างเห็นชัด ชาติศิริเริ่มงานที่สำนักค้าเงินตราระหว่างประเทศ
(2529) จุดเริ่มต้นของเขาเหมือนกับชาตรี ที่สำคัญชาติศิริอยู่ภายใต้การดูแลของ ดร.วิชิต
สุรพงษ์ชัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้ซึ่งกล่าวขวัญกันว่าไต่บันไดความสำเร็จเร็วที่สุดเนื่องจากได้รับแรงส่งจากชาตรี และเป็นคนหนึ่งที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนเก้าอี้ “บิ๊กบอส” ในห้องทำงานชั้น
26 ขณะชาตรีพูดโทรศัพท์ DEAL กับลูกค้า ดร.วิชิตจะถูกปรึกษาอย่างใกล้ชิด
ครั้นชาตรีพูดจบเขาก็จะรับคำสั่งนั้นไปทำอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นประจำ
ส่วนลูกสาวคนโปรดอายุ 27 ปีที่ชื่อสาวิตรี หลังจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จากโคลัมเบียก็กลับเมืองไทย
เข้าเรียนเอ็มบีเอ ที่จีบ้า สถาบันที่ผู้พ่อให้การสนับสนุนทางการเงินรายใหญ่รายหนึ่ง
ลูกสาวคนนี้ของชาตรีเป็นคนมีฟอร์มมากคนหนึ่ง เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าฝึกงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจพักหนึ่งก็เลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายทันทีในปี 2529 พร้อม ๆ กับการเป็นกรรมการบริหาร อันเป็นการไต่เต้าแบบลูกเจ้าสัวที่พึงปฏิบัติกันในประเทศนี้
เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายหลักทรัพย์ ไปพร้อม ๆ กับการรักษาผู้จัดการฝ่ายประกันและร่วมประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์
ลูกสาวคนนี้อยู่ภายใต้การฝึกปรือของ ดร.ชัยยุทธ ปิลันธน์โอวาท ดอกเตอร์อีกคนหนึ่งที่ถือเป็น
“แขนขา” ของชาตรี ดูแลกิจการของครอบครัวเลยทีเดียว
คนที่สามเป็นชายชื่อชาลี อายุ 26 ปี จบปริญญาตรีด้านวิศวกรมที่ BROWN
UNIVERSITY และเรียนเอ็มบีเอที่ CHICAGO คนนี้มีบุคลิกคล้ายพ่อมาก ทั้งหุ่นและความคิด
เพิ่งจะกลับมาเมืองไทยในปีนี้ มาพร้อมกับการเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทส่วนตัวของชาตรีอย่างน้อย
2 แห่ง เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเอเชียเสริมกิจ แทนสว่าง เลาหทัย
เข้าเป็นผู้อำนวยการผู้มีอำนาจในบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย (เพราะแบงก์ชาติยังไม่อนุญาตให้เป็นกรรมการบริหาร)
และบริษัทเอเชียคลังสินค้า คนในวงการกล่าวว่าคนนี้ถูกวางในตำแหน่ง “นักลงทุนด้านหุ้น”
ของครอบครัวชาตรี โสภณพนิช “ผมไม่ชอบเป็นเจ้าหนี้เขา สไตล์ผมคือกู้เงินมาหาทางหรือโอกาสในการลงทุน”
เขาเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนและเน้นว่าเขาไม่ชอบหน่วยงานขนาดใหญ่ด้วย
ส่วนลูกสาวคนสุดท้องเพิ่งจบมา ยังไม่มีบทบาทในธุรกิจ
นักสังเกตการณ์กล่าวว่าชายอายุเกือบ 53 ปีอย่างชาตรีวันนี้ แม้จะมีรสนิยมสูงตามความร่ำรวย
ชอบภาพเขียน กลับจากเมืองนอกคราใดหอบมาทุกครั้ง หรือชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้านหลังใหญ่
หรือชอบสวมนาฬิกาฝังเพชร ราคาเป็นแสน แต่แนวความคิดยังมิได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
ประสบการณ์ความสำเร็จในชีวิตของเขาก็คงเป็นตัวตั้งในการวางแผนอนาคตให้ลูกและการสร้างอาณาจักรของเขา
จาก “จุดตั้ง” ของลูกๆ เขานั้น บทบาทของชาตรี โสภณพนิชในปัจจุบันนั่นเอง
เขายังยืนยันแนวคิดดังที่เขากล่าวกับ “ผู้จัดการ” ว่าเขาไม่คิดจะลงทุนด้านอุตสาหกรรมหรือเป็นนักอุตสาหกรรมแต่อย่างใด!!!
เขาพยายามจะใช้ประสบการณ์ของเขาสมทบกับของชิน โสภณพนิช-ผู้พ่อ ในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปแล้ว
พยายามปรับตัวตามสถานการณ์สมกับเป็น “พ่อค้า” ของเขา
“หนึ่ง-ทำงานหนัก ทุ่มเทตลอดชีวิตเพื่องาน สอง-มองหาช่องทางจะได้ประโยชน์
(EQUITY) และพร้อมจะเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา สาม-เน้นผลตอบแทน (RESULT ORIENTED)
ในเฉพาะหน้า ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้เขาจึงปรับตัวอยู่ตลอดเวลา” ดังข้อเขียนใน
“ผู้จัดการ” ฉบับที่ 47 สิงหาคม 2530 ในเรื่องสามทศวรรษธุรกิจไทยมิผิดเพี้ยน
ชาตรี โสภณพนิชวันนี้มายืนบนชะง่อนผาแล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าเขาจะกระโดดข้ามไปหรือจะหยุดกับที่-ถอยหลัง
เพื่อรอให้ทายาทของเขาแสวงหาอนาคตของพวกเขาเองเช่นเขาเลือกมาแล้ว โดยที่ชิน
โสภณพนิช อาจไม่เต็มใจนัก