Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2530
แม่สอดสะอื้น อนิจจาการทำดีที่งี่เง่า!!!!             
 

   
related stories

ปิด (เปิด) บัญชี "ไม้สัก"ปล้นข้ามแผ่นดิน "พม่า"เป็น "โจร" กันดีไหม!!??
สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์คนดีที่ถูกลืม!!
ถลกโสร่งเมืองม่าน (พม่า)ขุดสันดอนเศรษฐีอยู่กระต๊อบ!!
กะเหรี่ยง เสี้ยนตำหัวใจพม่า แนวรบด้านนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
อัญมณี "เถื่อน" ข้ามลำน้ำเมย สีสันน้ำเนื้อจากลำไส้ถึงปลายนิ้ว!!!

   
search resources

Commercial and business
Myanmar
Chiangrai




"แม่สอดเหมือนคนตายทั้งเป็น" นั่นเป็นข้อเท็จจริงซึ่งให้อรรถธิบายได้ดีที่สุดจนไม่น่าเชื่อว่าอำเภอที่เคยมีบทบาทสูงมากมายทั้งในเชิงการเมือง การค้า และสังคมอย่างแม่สอดนั้นขณะนี้กำลังมีสภาพที่ไม่ผิดอะไรไปกับ "ผีตายซาก"!!!

ย้อนหลังไปเมื่อ 5 ปีมาแล้วที่แม่สอดเป็นเมืองชายแดนที่มีกิจการค้าเฟื่องฟูยิ่งนักจำนวนรถสิบล้อที่บรรทุกสินค้าสารพันจากกรุงเทพฯ เข้าสู่แม่สอดก่อนถูกปล่อยข้ามฟากแม่น้ำเมยไปสู่พม่าหรืออาจเตลิดเข้าไปถึงบังคลาเทศนั้น วันหนึ่งๆ ใครเห็นแล้วต้องสะดุดตา อย่างเลวที่สุดคงไม่น้อยกว่า 20 คัน

บรรยากาศค่ำคืนเมื่อพ้นสองทุ่มไปแล้ว จะรับรู้ได้ถึงกองคาราวานรถปิ๊กอัพที่บรรทุกสินค้านานชนิดจนเต็มเพียบส่งเสียงกระหึ่มกึกก้องเพื่อทยอยนำสินค้าเช่น ยางรถจักรยาน ผงชูรส เกือกฟองน้ำ ผ้า สังกะสี ยารักษาโรค ฯลฯ ไปสู่พรมแดนตอนเหนือและตอนใต้ของแม่สอดให้กับพ่อค้าตลาดมืดและพวกกะเหรี่ยงไม่ต่ำกว่า 50 คัน

อย่างผ้าที่ขายกันเป็นพับๆ ถ้าคิดเป็นตัวเงินแล้วต้องไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000,000-2,000,000 บาท และถ้ารวมมูลค่าส่งออกของสินค้าทุกชนิดทางชายแดนด้านนี้คาดว่าปีหนึ่งๆ ย่อมไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท

สมัยนั้นพ่อค้าแม่ขายที่แม่สอดทั้งคนท้องถิ่นหรือยิปซีต่างแดนต่างขายกันสนุกรับเงินกันจนมือบานหลายรายเจอลูกฟลุ๊ก เพราะพี่หม่องและกะเหรี่ยงอิสระที่เข้ามากว้านซื้อสินค้าบางทีไม่ได้เอาเงินมาซื้อ แต่พวกนี้เอาทองแท่งมาแลก เอาหยกที่ไม่ได้เจียระไนมากำนัล เอาทับทิมเม็ดงามมาเปลี่ยนระบบบาร์เตอร์เช่นนี้ส่งผลให้แม่สอดกลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายอัญมณีที่เลื่องลือของโลกไปอีกแห่งหนึ่ง

กล่าวกันว่าราคาที่ดินในแม่สอดก็แพงหูดับตับไหม้พอๆ กับราคาที่ดินย่านธุรกิจในกรุงเทพฯเลยทีเดียว สนนราคาซื้อขายมิตรภาพที่สุดตกตารางวาละ 15,000-20,000 บาท และเคยเกิดคดีความซื้อที่ดินกันกลางศาลมาแล้วเนื่องจากแย่งชิงที่ดินเพียงไม่กี่งานย่านกลางเมืองด้วยราคาหลักล้านถึงสองล้าน!!

เสน่ห์ของแม่สอดทำให้ใครต่อใครหลงใหลได้ปลื้มกลายเป็นเศรษฐีกันไปมากหน้าหลายตาที่กำลังก่อร้างสร้างตัวก่อหวังกันว่า หากมีการเปิดพรมแดนค้าขายกันอย่างเสรีด้วยการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยไปบรรจบถนนสายเอเชียพาดทะลุไปถึงย่างกุ้งของพม่าได้เมื่อไร?

วันแห่งความใฝ่ฝันนั้นย่อมจะเป็นจริง!!!

จริงอยู่ที่ว่าระบบการค้าในตลาดมืด (BLACK MARKET) ที่เกิดขึ้นยุบยับตามด่านต่างๆ ของแม่สอด-พม่า นั้นอาจไม่มีประโยชน์โภชผลอะไรโดยตรงกับรัฐบาลไทย เนื่องจากเป็นการค้านอกระบบที่ไม่สามารถไล่บี้ภาษีมาได้ ทว่าผลทางอ้อมที่ทำให้เศรษฐกิจไทยคึกคัก เติบโตสูงขึ้น มีการว่าจ้างงานมากขึ้น ก็พอที่จะถูไถไปได้อย่างไม่น่าเจ็บช้ำอะไรมากนัก

ทุกสิ่งทุกอย่างควรที่จะดำเนินไปอย่างราบรื่น!!!!

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่อยากจะให้เกิดก็เกิด เมื่อประมาณกลางปีที่แล้วเป็นต้นมารัฐบาลพม่าได้มีการรุกปราบปรามกะเหรี่ยงกู้ชาติอย่างหนักหน่วง มีการเคลื่อนกำลังพลจำนวนมากจากย่างกุ้งเข้าตีฐานที่มั่นหลายแห่งของกะเหรี่ยงจนแตกยับเยิน ซึ่งฐานที่มั่นเช่น ด่านวังข่า ด่านวังแก้ว ด่านแม่ตะวอ ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขต อ.แม่ระมาด กับ อ.ท่าสองยาง ล้วนเป็นตลาดมืดขนาดใหญ่ที่กำหนดความเป็นความตายของการค้าไทย-กะเหรี่ยง-พม่ามานับนาน เมื่อไปอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารพม่า จึงส่งผลให้การติดต่อค้าขายกับกองทัพกะเหรี่ยงอิสระต้องชะงักไปโดยปริยาย (เหตุผลของการบุกโจมตีอ่าน "เมือเมืองม่าน")

ปัจจุบันคงเหลือช่องทางระบายสินค้ากับกะเหรี่ยงอิสระได้เพียงไม่กี่แห่งเช่น ด่านพบพระ ด่านวะเลย์ ด่านมูรชัย ด่านผาลู ด่านแม่หละ และด่านเหล่านี้ก็เริ่มมีปัญหาขึ้นบ้างแล้วเนื่องจากบางแห่งเป็นจุดชักลากไม้ที่สำคัญซึ่งทางสำนักนายกฯเข้าไปคุมอย่างเข้มงวด จนทำให้การลักลอบขนสินค้าไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

การปฏิบัติการอย่างเฉียบขาดซึ่งหลายคราวมองข้ามความเป็นจริงทางการค้าไปนั้นหลับตาแล้วนึกคิดเอาเองว่า หากทุกด่านถูก "ปิดตาย" สภาพของเมืองแม่สอดจะเป็นเช่นไร? และนั่นเป็นผลลัพธ์ที่สาแก่ใจพระเดชพระคุณท่านแล้วหรือยัง!?

ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บางคนของรัฐบาลจะรู้ซึ้งหรือไม่ว่าตลอดแนวการค้าชายแดน 360 กิโลเมตรเลียบแม่น้ำเมยนั้นต้องยอมรับว่ากะเหรี่ยงอิสระเป็น "คู่ค้า" ที่สำคัญเอกอุมูลค่าขายให้กับพวกนี้ปีหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งบรรดาพ่อค้าทั้งหลายต่างก็บอกว่าการค้ากับกะเหรี่ยงสามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้มากกว่าพวกหม่องหลายเท่าตัว

ระบบการค้ากับกะเหรี่ยงมีทั้งเล็กและใหญ่ รายย่อยๆ ก็มีการติดต่อการค้าขายกันเองตามฝั่งแม่น้ำ แต่สินค้าล็อตใหญ่ๆ ที่จะส่งเข้าไปยังกองบัญชาการสู้รบของกะเหรี่ยง (ตั้งอยู่ในเขตแม่ฮ่องสอน) จะมีตัวแทนทางการค้าของเขาเข้ามาประสานกับพ่อค้าในเมืองแม่สอด ซึ่งบางทีพวกนี้มีบ้านพักขนาดใหญ่อยู่ในแม่สอด (บ้านพักนี้ยังใช้เป็นที่พำนักของผู้นำเวลาเข้ามาติดต่องานในแม่สอดด้วย) และหลายรายก็ทำให้ยอดเงินฝากของแบงก์พาณิชย์สูงท่วมท้น

ปริมาณเงินฝากของกะเหรี่ยงชั้นนำที่อยู่ในบัญชีชื่อของคนต่างๆ ตามแบงก์ต่างๆ ในแม่สอดนั้นคาดว่าเป็นจำนวนเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท/เดือน ซึ่งเงินในจำนวนนี้นอกจากจะใช้จ่ายในการขอเปิด "ไฟเขียว" เพื่อให้ได้รับความสะดวกในการติดต่องานจากทางราชการแล้ว ด้านหนึ่งยังเป็นเงินต่อลมหายใจให้กับพ่อค้าบางคนอีกด้วย

"ผู้จัดการ" ทราบมาว่าครั้งที่พม่าสั่งยกเลิกเงินจ๊าตที่สร้างความโกลาหลอย่างมากเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รายการนี้พ่อค้าที่ได้รับความบาดเจ็บทั้งหลายพอจะยิ้มออกมาได้บ้าง เมื่อมีการแทงเงินส่วนตัวของผู้นำระดับนายพลกะเหรี่ยงคนหนึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทเพื่อให้การช่วยเหลือ

หรือครั้งที่มูลนิธิหยาดน้ำค้างขอบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงพยาบาลในสมเด็จย่าฯที่แม่สอดในเวลาเพียงสองวันปรากฏว่าทำยอดได้สูงถึงสี่แสนบาท ซึ่งครึ่งหนึ่งของเงินที่บริจาคนี้เป็นที่รู้กันอย่างลึกๆ เงียบๆ ว่าเป็นเงินที่ส่งผ่านโดยตรงจากนายพลโบเมียะผู้นำกู้ชาติของกะเหรี่ยงนั้นเอง และถ้าสำรวจเงินบริจาคให้หน่วยงานราชการต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกกะเหรี่ยงถ้าไม่โดยตรงก็โดยอ้อมแทบทั้งสิ้น!!

ยี่สิบกว่าที่ติดต่อทำการค้าขายกับกะเหรี่ยงอิสระทำให้พ่อค้ารายใหญ่ในแม่สอดกลายเป็นเจ้าสัวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กระทั่งนายทหารหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบันของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งไล่เรียงกันมาตั้งแต่ระดับแม่ทัพนายกอง อีกด้านหนึ่งของนายทหารเหล่านั้นล้วนเชื่อมโยงการค้ากับเกรี่ยงอย่างลับๆ จนร่ำรวยกันไปตามๆ กัน

ข้อมูลที่เปิดเผยกันมากนักก็คือว่า เพราะนายทหารที่มีอิทธิพลในพื้นที่เหล่านี้นี่เองที่เป็นสะพานเชื่อมต่อให้ผู้นำกะเหรี่ยงสามารถเข้า-ออก แม่สอด-กรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกตลอดเวลา และผู้นำกะเหรี่ยงบางคนยังหาซื้อบ้านพักงามๆ กับมีหุ้นในโรงแรมขนาดใหญ่ 1-2 แห่งของเชียงใหม่ได้ด้วย แต่ก็เป็นที่ยืนยันได้ว่ากะเหรี่ยงเหล่านี้ไม่มีผลต่อความมั่งคั่งของประเทศไทยมากนัก

"ข่าวกรองของทหารด้านนี้เราเช็คตลอดเวลา ว่าไปแล้วกะเหรี่ยงนี่เชื่อใจได้มากกว่าพม่าเยอะ พวกหม่องนี่เราไม่ลืมว่าสมัยอยุธยาทำเราเจ็บแสบเพียงใด ตอนนี้นะบ้านกะเหรี่ยงแทบทุกบ้านมีรูปในหลวงไว้เทิดทูลกันหมด" นายทหารคนหนึ่งกล่าว

ความล้มเหลวทางการค้าที่มีผลมาจากการทำลายล้างกะเหรี่ยงอิสระของพม่าที่ส่งให้แม่สอดกลายเป็นเมืองวังเวงยังไม่ทันรักษาบาดแผลให้หายสนิท ในระยะห่างกันไม่กี่เดือน (เมษายน 2530) ก้อเหมือนฟ้าผ่าลงกลางเมืองแม่สอดให้ล้มทั้งยืน เมื่อมีการจับกุมรถขนไม้สักจากฝั่งพม่าและตามมาด้วยนโยบายเฉียบขาดของรัฐบาลไทยที่จะไม่ให้มีการขนไม้ในรูปแบบนี้อีกต่อไป (ดังเรื่องราว)

เพราะนโยบายรักษาน้ำใจพม่า ต้องการจะเป็นคนดีของศรีอยุธยา ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ให้เพื่อนบ้านอย่างแข็งขันโดยไม่เหลียวดูข้อเท็จจริงบางอย่างเลยทำให้การค้าที่เงียบเหงาอยู่ก่อนแล้วพลอยซบเซาหนักยิ่งขึ้น ธุรกิจต่างๆ จากที่เคยรอวันฟ้าใส กลายเป็นรอวันลงหลุม!!!

แม่สอดนั้นผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่าสมารถประทังตัวเองไปได้กับการค้าขายชายแดนเล็กๆ น้อยๆ แต่คนที่สัมผัสลึกๆ แล้วเท่านั้นจึงจะรู้ดีว่า ที่นั่น!! คนที่นั่น!! เขาอยู่!! เขากิน!! เขามีความหวัง!! ที่ผูกทอดกันเป็นลูกโซ่ก็ด้วยกิจการไม้สักนุ่งโสร่งจากพม่าทั้งนั้น และกาค้าเช่นนี้ใช้ว่าจะเสียหายอะไรมากนัก เพราะผลประโยชน์ที่เขาควรดูแลเองเมื่อกวดขันตรวจจับกันไม่ได้ มันผิดนักหรือที่จะถูกส่งผ่านมาให้เราโดยชอบธรรม

เรื่องพรรค์อย่างนี้สิงคโปร์ก็ดำเนินการให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วกับแร่เถื่อนที่ทะลักไปจากประเทศไทย ในเรื่องสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเชื่อว่าคนของรัฐบาลไทยคงไม่ถึงกับอับจนชนิดว่าไอคิวสูง ไอเดียต่ำจนไม่สามารถพลิกกระบวนท่าทางการทูตให้พม่าเชื่อใจได้ว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลไทยหา ได้เกื้อหนุนขบวนการค้าไม้เถื่อนแต่ประการใดไม่!?

ทีเรื่องยากๆ กว่านี้ยังแต่งเติมจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันกันได้ แล้วเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อปากท้องของประชาชนก็ให้รู้กันไปว่า "จะทำกันไม่ได้"!!!

หรือจะปล่อยให้แม่สอดสะอื้นถูกข่มขืนด้วยการบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น จากพี่หม่องต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!!

พม่าเองก็ดูเหมือนจะได้ชื่อเป็น "นักเล่นกล" ทางการค้าชั้นเซียน เพราะบาปกรรมต่างๆ มักโยนมาให้ฝ่ายไทยรับผิดชอบอยู่เนืองๆ อย่างเช่น การประกาศยกเลิกเงินจ๊าตที่ผ่านมา 3 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2507 ที่ยกเลิกเงินจ๊าตราคา 50 จ๊าต วันที่ 3 พฤศจิกายน 2528 ยกเลิกเงินจ๊าตราคา 20, 50 และ 100 จ๊าต และล่าสุดเมื่อ 5 กันยายน 2530 ที่ยกเลิกเงินจ๊าตราคา 25, 35, 75 จ๊าตได้สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่พ่อค้าชายแดน

เนื่องในระบบการค้าขายกับพม่านั้นจำเป็นที่จะซื้อขายกันโดยอาศัยเงินจ๊าตแล้วจู่ๆ วันดีคืนดีรัฐบาลพม่าคิดอยากจะเลิกก็เลิกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้พ่อค้าที่สะสมเงินจ๊าตเอาไว้เป็นฟ่อนๆ ไหวตัวกันไม่ทันล้มละลายกันอย่างไม่เป็นขบวน และแม้ข่าวที่ออกมาว่าจะพิมพ์ธนบัตรราคาใหม่ขึ้นใช้นั้นก็ใช่ว่ารัฐบาลพม่าจะดำเนินการอย่างเร่งรีบจนต้องมีการประท้วงกันให้วุ่นวาย

สาเหตุที่พม่ายกเลิกเงินจ๊าตอยู่เนืองๆ นั้นเป็นเพราะ ต้องการที่จะถล่มทลายการค้านอกระบบที่เกิดขึ้นตามชายแดนให้ราบพนาสูญ ทั้งนี้ไม่ใส่ใจกับเครดิตทางการค้าระหว่างประเทศไม่ กับอีกเหตุผลหนึ่งเพื่อบั่นทอนกำลังของชนกลุ่มน้อยที่เป็น "หอกข้างแคร่" โดยเฉพาะพวกกะเหรี่ยงอิสระ ซึ่งพม่าเข้าใจว่ากะเหรี่ยงจะเก็บเงินตราสกุลจ๊าตเอาไว้มาก ซึ่งในเรื่องนี้นัยว่าหน่วยข่าวกรองของพม่าที่เพ่นพ่านอยู่ในแม่สอดนั้นทำผิดอย่างมหันต์!!

เพราะกะเหรี่ยงอิสระก็ทันชั้นเชิงของพม่าหันมาใช้เงินบาทเป็นที่พึ่งเสียแล้ว ดังนั้นการเลิกเงินจ๊าตที่หวังจะฆ่าจึงไม่มีผลอะไร ทว่าบาปกรรมและความเจ็บปวดกลับมาลงที่พ่อค้าคนไทย กับการกระทำของพม่าที่ไม่พึงรักษาถนอมน้ำใจกันเลยนั้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us